ตอนที่ 67 ฉือกุยปรากฏตัว

“เด็กน้อย จงกลับมาหาข้า”

ในตอนที่เขารู้สึกสิ้นหวังและหวาดกลัวมากที่สุดนั้นอารมณ์ต่างๆก็ถูกปลดปล่อยออกมาทันที มู่อี้ได้เห็นท่านปู่ของเขาอีกครั้งราวกับว่าท่านปู่ของเขาได้ยื่นมือออกจากมาหลุมฝังศพและดึงเขาออกไปจากความมืดในตอนนี้

ฝ่ามือที่หนาใหญ่นั้นช่างอบอุ่นเหลือเกินและมู่อี้ก็จำความรู้สึกนี้ได้เป็นอย่างดี

ในตอนนี้ชายชรากำลังยื่นมือของเขาเข้ามาใกล้

“ท่านปู่” มู่อี้พูดเบาๆกับตัวเอง จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปพยายามจะจับมือของท่านปู่ที่จะพาเขาออกไปจากที่นี่

นี่ก็ผ่านมานานมากแล้วนับตั้งแต่ท่านปู่ตายไปและเขาไม่อาจรู้สึกได้ถึง ‘ความสงบสุข’ ที่แท้จริงเลย

“ไม่ ท่านปู่ตายไปแล้ว” ในตอนที่มือของมู่อี้กำลังจะเอื้อมไปสัมผัสกับฝ่ามือของอีกฝ่ายนั้น ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในใจของเขาทันทีและในเวลาเดียวกันเขาก็นึกขึ้นได้ว่าท่านปู่ตายไปแล้ว

และในตอนนี้เขายังฝึกฝนอย่างหนักเพื่อที่จะออกตามหาหลี่เฉียจื่อและนำศพของท่านปู่กลับมาทำพิธีใหม่เพื่อให้ท่านปู่ได้จากไปอย่างสงบสุขเสียที

ในเมื่อท่านปู่ตายไปแล้ว แล้วชายชราที่อยู่ตรงหน้านี้คือใคร?

ความทรงจำมากมายปรากฏออกมาอย่างต่อเนื่องและในที่สุดมู่อี้ก็ตื่นขึ้นมาทันที เขากระพริบตาและในตอนที่เขาลืมตาขึ้นมานั้นตรงหน้าของเขาก็เป็นชายชราคนหนึ่งที่อ้าปากกว้างจนถึงลำคอ นี่คือวิญญาณตนหนึ่งที่ดูน่าสะพรึงกลัวมาก

มู่อี้รู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที ผิวหนังของเขารู้สึกชาราวกับว่ามีกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่านและเขารู้สึกได้ว่าเส้นขนทุกเส้นบนร่างกายของเขากำลังลุกชันขึ้นมา ในตอนนี้เขายังรู้สึกได้ถึงกลิ่นของความตายอีกด้วย

ความจริงแล้วแม้ว่าความตายจะไร้รูปร่างหรือรสสัมผัสใดๆ

แต่ในตอนนี้มู่อี้ก็รู้สึกได้ว่าเขาอยู่ใกล้กับความตายอย่างมาก

“ตู้ม!”

ในช่วงเวลาที่วิกฤตนั้นมู่อี้ก็แปะยันต์ปราบปีศาจลงบนร่างกายของเขาทันทีพร้อมกับใช้พลังแห่งจิตใจ แสงสีขาวคั่นกลางระหว่างเขากับวิญญาณอาฆาตตนนั้นและวิญญาณอาฆาตก็ถูกผลักให้กระเด็นออกไปทันที

แต่ในตอนนี้มู่อี้ก็กระเด็นออกไปด้วยเช่นกัน เขารู้สึกราวกับว่ามีค้อนขนาดใหญ่ทุบลงมาบนหน้าอกของตนเองจนกระเด็นออกมาและในตอนนี้เขารู้สึกหายใจได้ลำบากมากขึ้น

แต่มู่อี้ก็ไม่ได้ตื่นตระหนกมากนัก ในขณะที่เขากระเด็นไปนั้นเขาก็กัดฟันและโยนยันต์ปราบปีศาจออกมาอีกครั้งเพื่อสร้างความเสียหายแก่ศัตรูให้มากที่สุด

หลังจากนั้นมู่อี้ก็โยนธงราชันย์แห่งวิญญาณออกมา ธงราชันย์แห่งวิญญาณขยายใหญ่ทันทีและปลดปล่อยแรงดูดที่มหาศาลออกมาจากนั้นมันก็เข้าไปโจมตีต่อจากยันต์ปราบปีศาจที่เขาโยนออกไปก่อนหน้านี้ทันที วิญญาณอาฆาตยังคงดูอ่อนแรงจากการโจมตีก่อนหน้านี้และในตอนที่มู่อี้โยนธงราชันย์แห่งวิญญาณออกไปนั้นมันก็ถูกดูดเข้าไปทันที

วิญญาณอาฆาตไม่ได้ขัดขืนมากนัก มันถูกดูดเข้าไปอยู่ภายในธงราชันย์แห่งวิญญาณและเสียงกระดิ่งที่ดังอย่างต่อเนื่องก็หายไปทันที

ในตอนนี้มู่อี้ต้องสูญเสียยันต์ปราบปีศาจไปถึง 2 แผ่น มู่อี้เชื่อว่าแม้ว่าวิญญาณตนนี้จะทรงพลังมากขนาดไหนแต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะรับการโจมตีของยันต์ปราบปีศาจได้อย่างแน่นอน

ในตอนนั้นฉือกุยได้ครอบครองอาวุธวิญญาณที่ทรงพลังอย่างธงราชันย์แห่งวิญญาณแม้ว่ามันจะอยู่ในขั้นแรกเริ่มก็ตามแต่เขาก็รู้ว่าการจัดสร้างอาวุธวิญญาณเช่นนี้ขึ้นมานั้นคงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก และมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสร้างวิญญาณอาฆาตขึ้นมาด้วยเช่นกัน

มู่อี้รับรู้ได้ว่าวิญญาณจำนวนมากที่เขาได้ทำลายไปก่อนหน้านี้รวมไปถึงวิญญาณอาฆาตทั้ง 2 ตัวที่อยู่ที่นี่ต่างก็มีชื่อที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า เจ้า วิญญาณเหล่านี้ต้องเคยเป็นมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้อย่างแน่นอน

แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นและวิญญาณเหล่านี้ต่างก็ไม่ได้ไปผุดไม่ไปเกิด กลับกันพวกมันยังคงวนเวียนอยู่ภายในหมู่บ้านแห่งนี้และกลายเป็นอาวุธของผู้พิทักษ์วิญญาณตนนั้น

ในตอนที่ธงราชันย์แห่งวิญญาณดูดวิญญาณเข้าไปและกำลังจะกลับมาหาเขานั้นก็มีร่างร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในความมืดทันที ร่างนี้ถูกห่อหุ้มเอาไว้ด้วยชุดคลุมสีดำไม่รู้ว่าเป็นมนุษย์หรืออะไรกันแน่

ทันใดนั้นร่างนั้นก็เดินเข้าไปหาธงราชันย์แห่งวิญญาณและยื่นมือออกมาคว้ามันเอาไว้ทันที

“ฮึ่ม” มู่อี้ถอนหายใจออกมาอย่างเย็นชาจากนั้นเขาก็สะบัดยันต์ปราบปีศาจในมือออกไปทันทีพร้อมกับแสงสีขาวที่ระเบิดออกไป จากนั้นเขาก็พุ่งเข้าไปประชิดตัวของผู้ที่อยู่ในชุดคลุมสีดำนั้น

ถ้าหากผู้ที่อยู่ในชุดคลุมสีดำต้องการยึดครองธงราชันย์แห่งวิญญาณเช่นนั้นแล้วเขาก็ไม่มีทางหยุดยันต์ปราบปีศาจได้เลย แม้ว่าเขาจะเป็นมนุษย์แต่ยันต์ปราบปีศาจก็ยังมีผลมากแน่นอน ชายในชุดคลุมสีดำที่มู่อี้ได้เจอก่อนหน้านี้ก็ได้พิสูจน์พลังของยันต์ปราบปีศาจเป็นอย่างดี

เมื่อเห็นว่ามู่อี้สามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็วในสถานการณ์เช่นนี้ ผู้ที่อยู่ในชุดคลุมสีดำก็ดูจะประหลาดใจด้วยเช่นกันและในตอนนี้ผู้ที่อยู่ในชุดคลุมสีดำได้เลือกทางออกให้กับตัวเองแล้ว เขาดึงมือขวาของตนเองกลับเข้าไปอีกครั้งและปะทะกับยันต์ปราบปีศาจทันที

มือขวาของเขาเป็นสีดำและมีลักษณะเหมือนกับมือโลหะ

“ตู้ม!”

หลังจากเสียงของการปะทะกันดังขึ้นชายในชุดคลุมสีดำคนนั้นก็ก้าวถอยหลังออกไปทันทีและมู่อี้ก็ใช้โอกาสนี้เก็บธงราชันย์แห่งวิญญาณกลับมา ในครั้งนี้เขาไม่ได้สังเกตเห็นว่าน้ำหนักของธงราชันย์แห่งวิญญาณนั้นเพิ่มขึ้นมาด้วยเช่นกัน มืออีกข้างหนึ่งของเขามียันต์สายฟ้าเตรียมเอาไว้แต่เขาก็ไม่ได้โจมตีออกไปในทันที

การปะทะที่รุนแรงยังทำให้ชุดคลุมสีดำที่อีกฝ่ายสวมใส่อยู่นั้นต้องเปิดออกและเผยให้เห็นถึงใบหน้าของผู้ที่อยู่ในชุดคลุมนี้

ในตอนที่เขาเห็นเจิ้งสือซงกลายเป็นวิญญาณซากศพนั้น มู่อี้ก็รู้สึกประหลาดใจมากเพราะเขาไม่เคยคิดว่า เจิ้งสือซงจะถูกทำให้กลายเป็นวิญญาณซากศพ

แต่ในตอนนี้หลังจากได้เห็นเจิ้งสือซง มู่อี้ก็รู้อยู่แล้วว่าบุคคลตรงหน้าของเขาต้องเป็นฉือกุยอย่างแน่นอน ดังนั้นมู่อี้จึงไม่ได้ประหลาดใจมากเท่าไหร่

สิ่งเดียวที่ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจนั่นก็คือรูปลักษณ์ของฉือกุยที่เปลี่ยนไปจากก่อนหน้านี้มาก สิ่งแรกที่สุดที่เขามองเห็นนั่นก็คือใบหน้าของอีกฝ่ายที่ในตอนนี้มีรอยไหม้ไปถึงครึ่งหน้าแล้วและยังมีรอยแผลเป็นที่น่าเกลียดขนาดใหญ่อีกด้วย

ฉือกุยกลายเป็นคนหัวล้าน เส้นผมบนศีรษะของเขาได้หายไปหมดแล้วและมันทำให้ใบหน้าที่น่าเกลียดของเขาดูน่าสะพรึงกลัวมากยิ่งขึ้น จนแม้แต่เด็กทารกที่ร้องไห้อยู่ยังต้องหยุดร้องเมื่อได้เห็นเขา

มือข้างขวาของเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มือข้างขวาของเขานั้นไม่ใช่โลหะแต่มันมีสีดำสนิทและมีลักษณะเหมือนกับรากไม้แห้งๆเห็นได้ชัดว่ามันเปลี่ยนแปลงไปจากปกติอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าเขาจะใช้มือขวาปะทะกับยันต์ปราบปีศาจตรงๆ แต่ก็ไม่มีอาการบาดเจ็บใดๆแสดงให้เห็นเลย

แขนซ้ายของเขาได้หายไปแล้ว เป็นเพราะว่าในตอนที่เขาหลบหนีออกจากเมืองฟุเนียวนั้นเขาต้องเสียสละแขนซ้ายของตนเองไป

ในตอนนี้ขณะที่มู่อี้จ้องมองมายังฉือกุย ฉือกุยก็จ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังด้วยเช่นกัน

มู่อี้อยากจะรีบใช้ยันต์สายฟ้าออกไปทันทีเพื่อให้การต่อสู้ครั้งนี้จบๆไป เมื่ออยู่ต่อหน้าฉือกุยนั้นทางที่ดีที่สุดคืออย่าให้โอกาสเขาได้พูดอะไรเลย แต่จงใช้พลังที่มากที่สุดเพื่อฆ่าเขาโดยเร็วที่สุด

แต่ในตอนนี้มู่อี้ก็ต้องยั้งมือเอาไว้ก่อนเพราะเขายังไม่รู้ว่าซูจินหลุนนั้นอยู่ที่ใดและผู้พิทักษ์วิญญาณนั้นก็ยังไม่ปรากฏตัวออกมา เขาเชื่อว่าเมื่อฉือกุยกล้าปรากฏตัวออกมาก็ต้องมีอะไรบางอย่างที่ทำให้อีกฝ่ายมั่นใจด้วยเช่นกัน

“โอ้ ยันต์สายฟ้า ตะเกียงนั่น ธงราชันย์แห่งวิญญาณ พลังแห่งจิตใจของเจ้าเหลืออยู่เท่าไหร่แล้วล่ะ?” ฉือกุยหัวเราะออกมา น้ำเสียงของเขาแสดงความเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด

มันเป็นไปตามที่เขาพูดไว้แม้ว่าตอนนี้มู่อี้จะมาถึงก้าวที่ 3 ของความยากแห่งการฝึกฝนจิตใจขั้นที่ 1 แต่พลังแห่งจิตใจของเขาก็เหลืออยู่ไม่มากนัก

ในมุมมองของฉือกุยนั้น มู่อี้ในตอนนี้ไม่สมควรจะเป็นศัตรูของเขาเลยด้วยซ้ำเหมาะสมที่จะเป็นลูกแกะให้เขาเชือดมากกว่า

เรียกได้เลยว่าแผนการที่เขาวางเอาไว้นั้นสำเร็จไปได้ด้วยดี

น่าเสียดายที่แม้ว่าฉือกุยจะประเมินพลังของมู่อี้เอาไว้สูงมากแล้วแต่ท้ายที่สุดนั้นเขาก็ประเมินพลังของมู่อี้ต่ำเกินไปอยู่ดี ในตอนนี้มู่อี้ใช้พลังแห่งจิตใจเป็นจำนวนมากแต่เขาก็เหลือพลังแห่งจิตใจให้ใช้ได้อีกจำนวนหนึ่งก่อนที่ร่างกายของเขาจะไร้ซึ่งเรี่ยวแรง

แม้ว่าการฝึกฝนของมู่อี้จะไม่ได้ก้าวหน้าไปมากนักในช่วงก่อนหน้านี้ เพราะเขาใช้เวลาส่วนหนึ่งไปกับการฝึกฝนการเขียนอักขระยันต์ด้วยเช่นกัน แต่จิตใจของเขาก็แข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆและด้วยผลของตะเกียงทองแดงมันยังทำให้จิตใจของเขาบริสุทธิ์มากยิ่งขึ้น ในตอนนี้มู่อี้นั้นเทียบได้กับอัจฉริยะอย่างเจี่ยเหรินและเขายังสามารถเติบโตต่อไปได้อีกมาก

ด้วยสภาวะจิตใจที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงนั้นเจี่ยเหรินสามารถไปได้ถึงเพียงแค่ความยากแห่งการฝึกฝนจิตใจขั้นที่ 2 เท่านั้นและการฝึกฝนจิตใจของเขาก็หยุดชะงักไปทันที อย่างน้อยที่สุดพลังของฉือกุยในตอนนี้ก็ยังไม่อาจเทียบกับมู่อี้ได้อยู่ดี

พลังแห่งจิตใจที่เหลืออยู่ของมู่อี้นั้นยังมีให้ใช้ได้อีกประมาณ อย่างน้อยเขาก็ยังสามารถโจมตีได้อีกหลายครั้งและไม่มีปัญหาที่จะใช้ยันต์สายฟ้าออกไปในตอนนี้เลย

เขาเก็บตะเกียงทองแดงกลับไปตอนนี้ เหตุผลข้อแรกนั่นก็เพราะมันไม่มีผลกับศัตรูที่เป็นมนุษย์และเหตุผลข้อที่สองนั่นก็เพราะว่าเขาต้องการแกล้งหลอกอีกฝ่ายว่าเขาไม่เหลือพลังแห่งจิตใจแล้ว

อย่างน้อยที่สุดในตอนนี้เมื่อดูจากสายตาที่ฉือกุยมองมา มู่อี้ก็รู้ดีว่าเขาทำสำเร็จแล้ว