“ขอเวลาให้ผมสักครึ่งวันครับ เพราะว่า ทางเขาฝั่งนั้นยังคงดำเนินการกันอยู่” หันจื่ออี้เอ่ย “รอให้การดำเนินการของเขาเสร็จสิ้นลงก่อน สถานะก็คงจะเปิดเผยออกมาแล้วครับ เพียงแต่ การประชุมเมื่อวานนี้ คุณกับพ่อของคุณถ้าหากว่าสามารถมากันได้ ทั้งหมดนี้ก็อาจจะไม่เป็นแบบนี้ก็ได้ครับ”
“พ่อผมก็ไม่ได้ไปงั้นหรือครับ?!” สือมูเฉินตกตะลึง ไม่เพียงแต่ไม่ไปเท่านั้น อีกทั้งตอนนี้ก็ยังไม่ได้ส่งข้อความมาหาเขาอีกด้วย
หันจื่ออี้เอ่ย “ครับผม ผมต่อสายโทรศัพท์หาประธานสือหลายสายแล้วครับ แต่ทว่ากลับไม่มีคนรับเลยทั้งหมด ก็เลยพลาดโอกาสที่ดีที่สุดไปแล้ว”
สือเพ่ยหลินหน้าซีดเผือด “ครับ สืบหาคนคนนั้น แล้วรีบบอกผม”
เขาวางสายไปแล้ว ก็รีบต่อสายโทรศัพท์หาสือมูชิงทันที
เพียงแต่ ครั้งนี้คนที่รับสายคือเริ่นเหม่ยเฟิ่ง เมื่อเธอได้ยินเสียงของสือเพ่ยหลินแล้ว ก็รีบเอ่ยขึ้นมาราวกับจะร้องไห้ก็ไม่ปานว่า “เพ่ยหลิน พ่อของลูกทำผิดต่อแม่……”
“แม่ครับ เกิดอะไรขึ้น?” หัวใจของสือเพ่ยหลินหนักอึ้ง
“วันนี้พ่อของลูกไม่เอาอะไรไปด้วยเลยสักอย่าง แล้วก็ไปกับผู้หญิงคนนั้นแล้ว……” เริ่นเหม่ยเฟิ่งพูดไป ก่อนจะเช็ดน้ำตาไปพลาง “แม่อยู่กับพ่อเขามาหลายปีมากขนาดนี้ เขาในตอนที่ยังหนุ่ม แอบกินเล็กกินน้อยข้างนอกบ้านแม่ก็ยังพอทนได้ แก่จนถึงขนาดนี้แล้ว เขากลับยัง……”
“แม่ครับ แม่อย่างพึ่งรีบร้อนไป บางทีอาจจะมีการเข้าใจผิดกันก็ได้นะครับ?” สือเพ่ยหลินเอ่ย “พ่อไปตอนไหนครับ เมื่อวานพ่อทำอะไรบ้าง? เมื่อวานตอนบ่ายมีประชุมสำคัญมากอยู่หนึ่งประชุม เขาก็ไม่ได้ไปครับ จึงทำให้ตอนนี้……”
คำพูดของสือเพ่ยหลินยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยจนจบ เริ่นเหม่ยเฟิ่งก็เอ่ยแทรกขึ้นมาก่อนแล้วว่า “จะเข้าใจผิดได้อย่างไรกัน?! เมื่อวานตอนบ่าย เป็นแม่เองที่เห็นกับตาว่าเขากำลังนัวเนียกับผู้หญิงอยู่บนถนน อีกทั้งยังทำอะไรกันบนรถด้วย! แม่ตบยายผู้หญิงคนนั้น วันนี้ตอนเช้า พ่อลูกได้รับสายโทรศัพท์จากผู้หญิงคนนั้น ก็ออกไปแล้ว เมื่อครู่นี้แม่พึ่งทะเลาะกับเขาไปเอง พ่อเขาไม่ได้เอาอะไรไปเลย บอกว่าจะไม่กลับมาแล้วด้วย!”
พูดจบ เริ่นเหม่ยเฟิ่งก็ร้องไห้ในสายโทรศัพท์
สือเพ่ยหลินรู้สึกเพียงแต่ว่าปวดหัวไปหมด “แม่ครับ แม่อย่าพึ่งร้องก่อน แม่รู้ไหมครับว่าจะหาพ่ออย่างไรได้บ้าง? เพราะว่าวันนี้ตอนเช้ามีคนกว้านซื้อหุ้นของบริษัทเราไป ตอนนี้ผู้ถือหุ้นรายใหญ่อาจจะไม่ใช่พวกเราแล้วนะครับ!”
“อะไรนะ?!” เริ่นเหม่ยเฟิ่งที่กำลังร้องไห้อยู่นั่งตัวตรงอย่างรวดเร็ว “เพ่ยหลิน ลูกพูดใหม่อีกทีสิ!”
“เมื่อวานทางบริษัทซอฟต์แวร์ฝั่งนั้นค้นพบความผิดปกติ แต่ทว่าพ่อกลับไม่ไปร่วมประชุม ดังนั้นวันนี้ตอนเช้า……” สือเพ่ยหลินเอ่ย “แม่ครับ เรื่องนี้ด่วนมาก แม่สามารถตามหาพ่อได้ไหมครับ? บริษัทซอฟต์แวร์บอกว่าตอนนี้ผู้ถือหุ้นในบริษัทต่างก็โยนหุ้นในมือทิ้งกันไปหมดแล้ว ผมอยากให้พ่อเรียกเปิดประชุมผู้ถือหุ้นเดียวนี้เลย เพื่อดูว่าจะสามารถช่วยเหลืออะไรได้หรือเปล่า”
“เมื่อตอนเช้าแม่ได้ยินมาว่ายายคนนั้นอยู่ที่โรงพยาบาลราษฎร ลูกรอแม่นะ แม่จะไปตามพ่อกลับมาเดี๋ยวนี้เลย! แม่จะดูสิว่าเขาจะเอายายหน้าไม่อายคนนั้น หรือว่าจะเอาบริษัท!” เริ่นเหม่ยเฟิ่งพูดไปพลางเช็ดน้ำตาไปพลาง ก่อนจะหยิบกระเป๋าเครื่องสำอางแล้วออกจากบ้านไปแล้ว
เธอมาถึงโรงพยาบาล ตามหาไปทั่ว ในท้ายที่สุดแล้ว ก็เห็นเลขาธิการของสือมูชิงอยู่ที่ห้องพักของผู้ป่วยนอก
เริ่นเหม่ยเฟิ่งพุ่งเข้าไปหาด้วยโทสะ ก่อนจะเห็นสือมูชิงกำลังจูงมือผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ สีหน้าอ่อนโยนปานน้ำผึ้ง
ไฟในหัวใจตีขึ้นมาจนถึงศีรษะ เริ่นเหม่ยเฟิ่งพุ่งเข้าไปหา ง้างมีจะตบคน แต่ทว่า ข้อมือกลับถูกสือมูชิงคว้าจับเอาไว้
เธอบันดาลโทสะและดึงมือกลับ แต่ทว่าสือมูชิงบีบเอาไว้แรงมาก เดิมเธอก็ไม่มีเรี่ยวแรงจะต่อต้านเลย
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เธอจึงหันไปตะคอกกับสือมูชิงว่า “ถ้าคุณยังคอยอยู่ดูยายผู้หญิงหน้าไม่อายนี่อีกละก็ บริษัทก็จะไม่มีแล้วนะ!”
สือมูชิงขมวดคิ้ว “หมายความว่าอย่างไร?”
เริ่นเหม่ยเฟิ่งมองผู้หญิงที่อยู่ในชุดคนไข้ เอ่ยว่า “คุณจะให้ฉันพูดต่อหน้าเธอจริง ๆ หรือไงคะ?”
“ไปคุยกันด้านนอกเถอะ” สือมูชิงลุกขึ้นยืน ก่อนจะหันไปเอ่ยกับผู้หญิงคนนั้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน หลังจากนั้นก็เดินออกมาแล้ว
ถึงแม้ว่าเริ่นเหม่ยเฟิ่งจะบันดาลโทสะขึ้นมาอีก แต่ว่ายังจะต้องแจ้งเรื่องสำคัญ เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว จึงนำเรื่องที่สือเพ่ยหลินเอ่ยให้ฟังมา แล้วบอกเล่าอีกรอบอย่างละเอียด
สือมูชิงได้ยินเช่นนั้น ก่อนจะตกตะลึงไปหลายวินาที ในตอนที่มีสติกลับคืนมาแล้ว เลือดในกายพลุ่งพล่าน อีกทั้งยังคงต้องใช้กำแพงช่วยพยุงเอาไว้ด้วย ถึงจะสามารถยืนได้อย่างมั่นคง
เขามองไปทางเริ่นเหม่ยเฟิ่ง ก่อนจะบันดาลโทสะจนร่างสั่นเทา ” เป็นเพราะคุณทั้งหมดเลย! ถ้าหากว่าเมื่อวานไม่ใช่เป็นเพราะคุณจิกผมและก่อความวุ่นวายบนถนน ผมจะไม่ได้ไปเข้าร่วมประชุมได้อย่างไรกัน?!”
“คุณมาทำอะไรลับ ๆ ล่อ ๆ กับยายผู้หญิงหน้าไม่อายคนนั้นแต่กลับมาโทษฉันอีกแล้วหรือ?!” เริ่นเหม่ยเฟิ่งเติบโตขึ้นมาจากตระกูลมั่งมี ถูกตามใจมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ดังนั้น เธอจึงไม่อ่อนข้อให้ “หรือว่าจะให้ฉันมองดูคุณจูบกับยายคนหน้าไม่อายนี่บนรถหรือไงกันคะ ให้ฉันช่วยพวกเขาเลื่อนกระจกขึ้นด้วยไหมละคะ เพื่อที่จะให้พวกคุณทำรถสั่นน่ะ?!”
“ผมกับเธอ เดิมก็เป็นเพียงแค่การบังเอิญพบหน้ากันก็เท่านั้น!” สือมูชิงสบตามองเริ่นเหม่ยเฟิ่งด้วยความรังเกียจ “คุณในหลายปีมานี้ ในตระกูลสือก็ถือเป็นลูกรักเองอยู่มากแล้ว คุณไม่มองดูสภาพของตนเองในตอนนี้บ้างเลยหรือไง อย่างกับว่าเป็นหญิงที่ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนเลย!”
“ฉันไม่ได้รับการสั่งสอนหรือ!” เริ่นเหม่ยเฟิ่งบันดาลโทสะจนร่างสั่นเทา “สือมูชิง คุณอธิบายกับฉันมาให้กระจ่างเลยนะ คุณไม่อยากอยู่ด้วยกันกับฉันแล้วใช่ไหม?!”
“ใช่ ผมทนเกินพอแล้ว!” สือมูชิงพูดไป ก่อนจะสาวเท้ายาวก้าวออกไปด้านนอก “ตอนนี้ผมจะไปเรียกประชุมผู้ถือหุ้น รอให้ประชุมเสร็จแล้ว ผมค่อยมาจัดการเรื่องระหว่างพวกเรา!”
เริ่นเหม่ยเฟิ่งฟังท่าทางที่ดูแทบจะจริงจังของเขา หัวใจก็บันดาลความหวาดหวั่นขึ้นทันที หลังจากที่หวาดหวั่นแล้ว กลับมีความเกลียดชังอย่างลึกซึ้ง เธอกำมือเข้าหากันแน่น ปลายเล็บจิกเขาไปในฝ่ามือ หลุบตามองต่ำ เต็มไปด้วยไฟโทสะ!
เป็นเพราะว่าการประชุมผู้ถือหุ้นใกล้เข้ามาแล้ว ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องให้เลขาธิการของสือมูชิงแจ้งให้ทราบเรื่อง
เพียงแต่ หลังจากที่ต่อสายโทรศัพท์ไปแล้ว สือมูชิงก็ดูกลับกลายเป็นคนโง่เล็กน้อยไปแล้ว
ในทุกสายโทรศัพท์ หลังจากที่เลขาธิการของเขาอธิบายโดยละเอียดแล้ว มีทั้งผู้ถือหุ้นบางคนบอกว่าตนเองป่วยบ้าง บอกว่าตอนเองไปพักผ่อนวันหยุดที่ต่างประเทศแล้วบ้าง สรุปแล้ว ติดต่อโทรหาไปทั้งหมดแล้วรอบหนึ่ง ก็ไม่มีใครสามารถมาเข้าร่วมประชุมได้เลย!
ถึงตอนนี้แล้ว สือมูชิงเข้าใจแล้ว เขานั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ล้อหมุนในห้องทำงาน ใบหน้าซีดเผือด
ทางด้านข้าง เลขาธิการเอ่ยขึ้นมาว่า “ท่านประธานสือคะ ตอนนี้ผ่านตอนเที่ยงมาแล้วนะคะ ท่านจะทานอะไรสักหน่อยไหมคะ?”
เขาโบกมือไปมาอย่างไร้เรี่ยวแรง “ออกไปก่อนไป ให้ฉันอยู่เงียบ ๆ คนเดียวสักหน่อย”
สือมูชิงเปิดประตูเซฟในห้องทำงาน ก่อนจะหยิบปฏิทินเก่าอันหนึ่งออกมา
ปฏิทินนั่น มีต้อนช่วงต้นปี ช่วงต้นปีของกระดาษที่กลายเป็นสีเหลืองไปแล้ว
สือมูชิงลูบไล้บนหน้ากระดาษ หลังจากนั้นถึงเปิดออก
เห็นเพียงแค่ที่ด้านบนมีวันที่อยู่เท่านั้น ทางด้านข้างเขียนเอาไว้ ได้หุ้นสิบแปดเปอร์เซ็นต์มาจากสือมูเฉิน ครองตำแหน่งผู้ถือหุ้นรายใหญ่
ตามต่อมาด้วย เขาเลื่อนอ่านไปทางด้านล่างเรื่อย ๆ จนถึงวันที่วันที่หนึ่ง ที่ด้านบนเขียนเอาไว้ว่า ได้หุ้นที่เหลือสิบเปอร์เซ็นต์ที่เหลือมาจากสือมูเฉิน นั่งตำแหน่งผู้ถือหุ้นใหญ่ได้อย่างมั่นคง
เขามองดูในวันต่อมา ระยะห่างจากวันนี้ทั้งหมดรวมแล้วสิบแปดปี
เขาที่อยู่ในตำแหน่งประธานผู้บริหารของ Times Group ผ่านเรื่องราวมากมายมาสิบแปดปี เป็นผู้นำของ Times Group เป็นบริษัทผู้ผลิตภายในประเทศลำดับที่แปด จนถึงปัจจุบันก็เป็นหนึ่งในสาม!
แต่ทว่า ตอนนี้ ที่เขาทุ่มเทมาทั้งหมด กลับถูกเอาไปแล้ว!
สือมูชิงหยิบปากกาขึ้นมา ก่อนจะค่อย ๆ เขียนลงไปบนปฏิทิน บันทึกวันหนึ่งเอาไว้ ว่ามันคือวันนี้
เขาเขียนกำกับเอาไว้ที่ทางด้านข้างว่า “สูญเสียตำแหน่งผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ Times Group บางทีตำแหน่งประธานบริหารก็ใกล้จะสิ้นสุดลงในไม่ช้านี้แล้ว”
ปิดปฏิทินเข้าหากัน สือมูชิงถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง “มูเฉิน เป็นนายหรือเปล่า? เป็นนายที่มาแก้แค้นฉันแล้วหรือเปล่านะ?”
ในเวลาอยู่กับคนที่ไม่เหมือนกันและความรู้สึกที่ไม่เหมือนกัน ตอนนี้ถึงช่วงบ่ายแล้ว
สือมูเฉินมองดูนาฬิกาอยู่ครู่หนึ่ง อีกหนึ่งชั่วโมงหลานเสี่ยวถางก็จะลงจอดแล้ว เขาก็เตรียมตัวที่จะไปรับเธอแล้ว อืม อีกทั้งยังกะว่าจะแวะไปหาสือเพ่ยหลินอีกครั้งหนึ่งด้วย
ในตอนที่เขากำลังจะต่อสายโทรศัพท์หาสือเพ่ยหลินอยู่นั้นเอง ประตูห้องพักของเขาก็ถูกเคาะ เขาเดินไปเปิดออก
“สือมูเฉิน!” สือเพ่ยหลินพุ่งหมัดเข้ามา มันพุ่งเข้าไปหาใบหน้าของสือมูเฉินอย่างรวดเร็ว!
สือมูเฉินหลบด้วยความเร็ว หมัดนั้นเฉียดแก้มของเขาไป ให้ความเจ็บเบา ๆ
เขาหรี่ตาลง ก่อนจะสบตามองสือเพ่ยหลินด้วยโทสะ เอ่ยเสียงราบเรียบว่า “ทำไมหรือ หลานชายแท้ ๆ ของฉัน?”
“สือมูเฉิน แกก็รู้ว่าฉันคือหลานชายแท้ ๆ ของแก!” สือเพ่ยหลินบันดาลโทสะจนไม่เรียกเขาว่าคุณอาแล้ว เขาพุ่งเข้าไปตรงหน้าของสือมูเฉิน ก่อนจะคว้าจับเข้าที่คอเสื้อของเขาเอาไว้ “แกมันเป็นไอ้หมาป่าใจร้าย! กล้าที่จะโยนฉันออกไป เพื่อที่จะให้แกดำเนินการกับหุ้นในวันนี้!”
สือมูเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย “เพ่ยหลิน ฉันโยนนายออกไปแล้วตอนไหน? นายลืมไปแล้วหรือไงว่าเมื่อวานใครกันที่ได้ยินข่าวว่ามียาแล้ว ก็รีบรุดมาถึงฟลอริดากับฉันแบบนี้?”
“ดังนั้นแล้ว เดิมทีก็ไม่มียา ใช่ไหม?!” สือเพ่ยหลินพุ่งเข้าใส่สือมูเฉินด้วยความบ้าคลั่งก็ไม่ปาน “แกจงใจ! แกมันชั่วร้าย! แกให้ความหวังกับฉัน แต่ทว่ากลับทำมันเพื่อประโยชน์ของตัวเอง!”
“เพ่ยหลิน ใจเย็น” สือมูเฉินออกแรงดึงมือของเขาออกไป “อันดับแรก ยาย่อมมีแน่นอน อยู่ในมือของแบรนด์ออเนอร์แน่ ๆ อันดับสอง ฉันฮุบ Times Group อย่างนั้นหรือ ฉันเพียงแค่เอาของที่ฉันควรมีกลับมาเท่านั้น ของสิ่งนี้พ่อของนายช่วยฉันดูแลเอาไว้ตั้งหลายปี ตอนนี้พอแล้วล่ะ ถ้าหากว่ายังเป็นแบบนี้ต่อไป บางทีโลกทั้งใบนี้ก็อาจจะเป็นของไปแล้วก็ได้นะ”
“อามีจิตใจอยู่หรือเปล่า ในตอนที่ปู่เสียไป อาในตอนนั้นอายุเท่าไหร่เอง? อีกทั้งยังเป็นพ่อของผมที่ช่วยเลี้ยงดูอาไม่ใช่หรือไง ช่วยให้อาได้เข้าเรียน อีกทั้งยังให้ตำแหน่งรองประธานของ Times Group กับอาอีกด้วย! แต่ทว่า ตอนนี้อากลับตอบแทนเขากลับแบบนี้!” หน้าผากของสือเพ่ยหลินเป็นเส้นสีเขียวปรากฏออกมาให้เห็น “นั่นคือพี่ชายแท้ ๆ ของอานะ! ผมเองก็เป็นหลานชายแท้ ๆ ของอาด้วย!”
“นายก็รู้นี่ เขาเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของฉัน?” สือมูเฉินยิ้มเย็น “ถ้าอย่างนั้นแล้วนายรู้หรือเปล่า ตอนนั้นหลังจากที่พ่อของนายรู้ว่าปู่ของนายทิ้งสมบัติอะไรไว้ให้กับฉัน เคยผลักฉันตกแม่น้ำ มองดูฉันอย่างน่าเวทนาแล้วก็หมุนตัวจากไปแล้วน่ะ? หลังจากที่ฉันเข้าเรียน ก็ประสบอุบัติเหตุและการโจมตีหลายครั้ง ไม่ได้เกิดขึ้นจากเงื้อมมือของเขาหรือไงกัน! สือเพ่ยหลิน ฉันช่วยนายหายา ก็เมตตากับนายมามากพอแล้วนะ แม้กระทั่งหุ้น อันนั้นเดิมทีมันก็เป็นของของฉัน!”
เมื่อเห็นสือเพ่ยหลินตกตะลึง สือมูเฉินก้มหน้ามองนาฬิกาอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยว่า “ไปเก็บของ จัดการความรู้สึกของตัวเองเสีย พวกเราจะไปสนามบินเพื่อไปรับคนคนหนึ่งด้วยกัน”
สือเพ่ยหลินยังคงตกอยู่ในโทสะเมื่อครู่นี้อยู่ไม่หาย เขาสบตามองสือมูเฉินด้วยไฟโทสะ “ไปเจอใคร?”
“บางทีอาจจะเป็นคนที่มีความเกี่ยวข้องกับยาของนายก็ได้” สือมูเฉินเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ “สรุป เมื่อถึงสนามบินแล้วก็จะรู้เอง”
ถึงแม้ว่าสือเพ่ยหลินจะเกลียดอีกสักแค่ไหน แต่ทว่า เมื่อได้ยินว่ามีความเกี่ยวข้องกับยาของเขาแล้ว เขาจึงทำได้เพียงแค่อดทนต่อไป หลังจากนั้น ก็กำมือเข้าหากันแน่นแล้วเดินออกไปจากห้องพักของสือมูเฉิน หลังไปหยิบคีย์การ์ดและโทรศัพท์
ทั้งสองคนในระหว่างการเดินทาง แทบจะไม่มีอะไรให้ต้องพูดคุยกันเลย เป็นแบบนั้นมาโดยตลอดจนถึงสนามบิน
เป็นเพราะว่าทั้งสองคนมีรูปร่างหน้าตาโดดเด่น ดังนั้นแล้ว เมื่อเข้าไปยืนตรงนั้นได้อยู่ครู่หนึ่งแล้ว ก็ดึงดูดสายตาของหญิงสาวจำนวนไม่น้อยเลย
ที่ผ่านมา สือเพ่ยหลินมักจะได้ประโยชน์จากสายตาเช่นนี้ แต่ทว่า ในตอนนี้กลับรู้สึกได้แต่ความรำคาญใจ
เขาจ้องเขม็งราวกับมีดกลับไปหลายครั้ง ทันใดนั้นเอง จึงทำให้ผู้หญิงที่มาทอดสายตาให้ตื่นตะลึงแล้วจากไปแล้ว
ในตอนนั้นเอง เมื่อเขาหันสายตากลับไป ก็มองเห็นร่างคุ้นเคยของคนคนหนึ่งเข้าให้แล้ว
หลานเสี่ยวถางกำลังลากกระเป๋าเดินทาง ก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินออกมาจากประตูทางออก แทนจะเห็นพวกเขาเข้าให้แล้ว ริมฝีปากของเธอยกยิ้มขึ้น หลังจากนั้น ก็เดินมุ่งหน้าตรงไปหาสือมูเฉิน
สือเพ่ยหลินหันไปหาสือมูเฉินและกำลังจะเอ่ยถามขึ้นด้วยความงุนงง แต่ทว่ากลับเห็นหลานเสี่ยวถางเดินเข้าไปหาเขาเรียบร้อยแล้ว
ความสงสัยในหัวใจของสือเพ่ยหลินเพิ่มกว่าเดิม ไม่เพียงเท่านั้นยังคงสาวเท้าก้าวเดินเข้าไปหาอีกด้วย
สือมูเฉินหยุดลงที่ตรงหน้าของหลานเสี่ยวถาง ก่อนจะรับกระเป๋าเดินทางของเธอมาถือไว้ก่อน หลังจากนั้น ก็ประทับริมฝีปากกดจูบลงไปบนหน้าผากของเธอต่อหน้าสือเพ่ยหลินแล้ว สุดท้าย ก็หมุนตัวมาประจันหน้าเข้ากับสือเพ่ยหลินที่ยังคงประหลาดใจอยู่แล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “เพ่ยหลิน นี่คืออาสะใภ้ของนาย ตอนนี้พวกเราแต่งงานกันแล้วล่ะ”