ตอนที่ 131 หวนคะนึงวันวานอันคึกคักเข้มแข็ง

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

ด้วยระดับวรยุทธกลั่นดวงธาตุขั้นสองของหลงเฟิง มันสามารถท่องไปในทวีปฉงหลิงได้อย่างไร้ซึ่งอุปสรรค

ตลอดชายแดนหลายหมื่นลี้ พิสุทธิ์ไพศาลบุกตะลุยได้เพียงลำพัง ตราบใดที่ไม่ไปตอแยสัตว์อสูรและผู้ฝึกวิชาปีศาจพวกนั้น ต่างคนต่างอยู่ ก็ไม่มีปัญหาอะไร

มีค่ายสำนักมากมายที่รอให้ศิษย์ในพรรคสำเร็จวิชาในเกณฑ์ที่น่าพอใจแล้วค่อยส่งออกมาหาประสบการณ์ข้างนอก

ความสามารถทางการต่อสู้ของผู้ฝึกยุทธ์อิสระ ส่วนใหญ่มักแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกยุทธ์ที่สังกัดค่ายสำนัก เพราะพวกมันต้องต่อสู้เสี่ยงชีวิตกันตลอดปี ดังนั้นการขัดเกลาลับฝีมือย่อมขาดไปไม่ได้

ตามกิจวัตรประจำวันของฉินจิ่วเกอ ข้าวสามมื้อในแต่ละวันจะต้องมีคุณภาพถึงเกณฑ์

ถ้วยโถโอชามล้วนต้องงดงามดั่งแก้วผลึก ถ้าจะให้ดีล้วนต้องมีสีเหมือนวารีนภากาศหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว

ส่วนกับข้าว ต้องกลิ่นหอมรสเลิศราวอาหารเจียงหนัน รูปลักษณ์น่ายลลิ้มชมรสชาติราวภาพวาด

สรุปคือ ฉินจิ่วเกอมีโรคประสาทมากประเภทเกินไป

สี่ประมุขส่งตัวหลงเฟิงออกไป ให้มันได้ไปเปิดหูเปิดตา คัดสรรสาวงามสะโพกผายหน้าอกอวบอัดขาวนวลที่น่าจะถูกรสนิยมประมุขน้อยมาสักคน

ในโลกแห่งผู้ฝึกตน ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าผิดหรือถูกมาตั้งแต่แรก

บนโลกนี้มีคนอยู่สองประเภท ไม่ใช่คนดีคนเลว แต่เป็นผู้เข้มแข็งและผู้อ่อนแอ

ฉินจิ่วเกอที่ยังนอนแอ้งแม้งอยู่ในห้องไม่ได้รู้เลยว่ากำลังมีเรื่องประหลาดใจครั้งใหญ่รอมันอยู่

สำหรับการฝึกตน ฉินจิ่วเกอคร่ำเคร่งอยู่สามนาที อย่างไรเสียมันก็ไม่ใช่พระเอกที่จะรุดหน้าพันลี้ในวันเดียว

ฝนตกอากาศชื่นฉ่ำ ไม่เหมาะแก่การฝึกปรือ แต่เหมาะแก่การนอนตีพุง

ตะวันออกจ้า เหงื่อออกง่าย ไม่เหมาะแก่การขยับร่างกาย

ส่วนในวันที่อากาศอึมครึม ตนก็จะออกไปเดินทอดน่อง ป้องกันไม่ให้เป็นโรคกระดูกพรุน

ในทวีปฉงหลิง ผู้ฝึกวิชาปีศาจพัฒนาความแข็งแกร่งโดยไม่เลือกวิธีการ

โจรภูเขาปล้นชิงเงินทองไม่เลือกหน้าเพื่อความอยู่รอด ผู้ฝึกตนอิสระแต่ละวันมุ่งหน้ามาแลกเปลี่ยนทรัพยากรฝึกฝีมือ ศิษย์สำนักเปี่ยมล้นความทะเยอทะยาน ตระเตรียมสำแดงให้เป็นที่ประจักษ์

ทุกชนชั้นต่างก็ทำงานกันตัวเป็นเกลียว เหน็ดเหนื่อยจนแทบตาย บ้างโอบกอดความคิดแค้นต่อโลกหล้า บ้างมีความปรารถนาดำรงชีวิต หากทว่าประเภทที่ชั่วช้าน่ารังเกียจที่สุด ก็คือพวกขี้เกียจสันหลังยาว

กินแล้วนอน นอนแล้วกิน ไม่ฝึกปรือ ไม่ทำงาน

ไม่ขวนขวาย ไม่กระตือรือร้น คนยิ่งละโมบ มือยิ่งสั้น

ฉินจิ่วเกอไม่เข้าใจ คนเราต้องใช้ชีวิตเช่นนี้สิ

ส่วนต่อสู้แลกชีวิต นั่นเป็นเรื่องของพระเอก ไว้รอชมความสนุกก็พอแล้ว

ฉินจิ่วเกอที่กำลังนอนขี้เกียจไม่มีอะไรทำ ไม่ได้ตระหนักเลยว่านอนอยู่ในบ้านดีๆ บนฟ้ากลับมีหายนะกำลังจะร่วงหล่นใส่กบาล

จะมีก็ตอนที่ผล็อยหลับไปบางครั้ง อยู่ๆ ก็รู้สึกกระสับกระส่าย เนื้อตัวหนาววาบๆ เป็นระยะ

พิสุทธิ์ไพศาลเหาะเหินเดินอากาศ กลั่นดวงธาตุยิ่งทำได้มากกว่านั้น กล่าวคือเคลื่อนย้ายตัดเวหา

อัตราความเร็วในการเดินทางของหลงเฟิงนั้นเร็วยิ่ง เพียงพริบตาก็เหาะร่างออกจากเขตการจัดการของบรรพตสละฟ้ามุ่งหน้าไปทางพรมแดนเผ่ามนุษย์ ระหว่างทางหากมีผู้ฝึกตนสรรพสัตว์พบพาน ล้วนต้องหลีกทางหนีเป็นพัลวัน ด้วยกลัวว่ามหาวิถีดวงธาตุทองคำจะพุ่งชนจนร่างแหลกเละ

หลังเคลื่อนย้ายตัดเวหามาได้เป็นระยะทางพอสมควร ก็มาถึงอาณาเขตที่ถือว่าใกล้เผ่าพันธุ์มนุษย์แล้ว

หลงเฟิงหยุดร่างแล้วร่อนตัวลงอย่างสงบสเงี่ยมเจียมตัว จากนั้นจึงเริ่มเดินทางด้วยเท้า มุ่งหน้าตามหาเป้าหมายที่สี่ประมุขกำหนดไว้

ดื่มด่ำลุ่มหลงไม่รู้เดือนรู้ตะวัน ยามผ่อนคลายทอดตามองเมฆเดียวดายสูงตระหง่าน

ท่ามกลางขุนเขาสิบหมื่นชิดชายแดนเผ่ามนุษย์ ตำราเก่าตระหง่านฟ้า ผืนป่ามืดครึ้มม่านหมอกแน่นหนา

สัตว์อสูรชุกชุม ต่างแยกย้ายครองอาณาเขตเป็นของตน เฝ้าจับตาโอสถสมุนไพรวิเศษหลากชนิด หากถูกนักปรุงยาพบเห็น ย่อมต้องหวั่นไหวใจอย่างยิ่งยวด

ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่มักจะเลือกสถานที่เช่นนี้เป็นที่หาประสบการณ์

โอกาสและความเสี่ยงดำรงอยู่ร่วม รอให้มีคนมาท้าทาย

ลึกเข้าไปในหุบเขา ปรากฏเหล่าสตรีชุดขาวสวมที่คาดผมสีม่วงออกมาหลายนาง

แต่ละนางเส้นเกศาดำขลับทอดยาวราวน้ำตก รวบไว้เบื้องหลังศีรษะ

เรือนร่างสูงอ้อนแอ้น ดวงหน้าปกปิดไว้ด้วยผ้าคลุมบางเบา กระโปรงยาวสีขาวชมพู ฝ่ามือขาวกุมกระบี่ยาววิญญาณน้ำแข็ง

เหนือข้อมือข้างซ้าย ปักไว้ด้วยตัวอักษร “เพลิงราชัน” รูปร่างลักษณะดั่งลูกไฟลุกโชนเดือดพล่าน แสงสีทองส่องประกายแปรเปลี่ยนราวมายาคลื่นวิญญาณไหววะวับ

“ศิษย์พี่เหยา สัตว์อสูรตัวนั้นไล่ตามมาแล้ว!” ศิษย์สตรีผู้หนึ่งวิ่งถลาเข้าหาศิษย์สตรีที่เป็นหัวหน้ากลุ่มตรงกลางซึ่งมีพลังฝีมือสูงที่สุด

เหยาอินใช้สัมผัสพลังกวาดกราดสำรวจไม้หนาทึบสูงร้อยเมตรทางด้านหลัง ยอดไม้ทะยานสูงขึ้นทับซ้อนกันไปมา ปิดกั้นสายตาและพื้นที่

“สัตว์อสูรตนนั้นบรรลุกลั่นดวงธาตุแล้ว พวกเราต้านไม่ไหว รีบถอย!” เหยาอินเป็นศิษย์พี่ของสตรีทั้งหมด พลังฝีมือย่อมไม่อ่อนด้อย ที่จริงบรรลุชั้นพิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุดแล้ว

ศิษย์สตรีที่วิ่งมารายงาน ข้อมือปักอักษรเพลิงราชันเช่นกัน พลังฝีมืออ่อนด้อยที่สุด เพียงปราณสุริยันขั้นสูงสุด

ส่วนใหญ่พวกนางล้วนมีพลังชั้นพิสุทธิ์ไพศาล ล้วนเป็นศิษย์ที่โดดเด่นของสำนัก

เดิมทีการฝึกครั้งนี้สงบราบรื่น ต่างร่วมมือผสานกำลังโค่นล้มสัตว์อสูรขั้นพิสุทธิ์ไพศาลได้ห้าตัว นับว่าเพียงพอในการผ่านภารกิจแล้ว

แต่ในด่านสุดท้าย กลับไปกระตุ้นถูกแมงป่องวายุแดงอันร้ายกาจเข้า

เมื่อต้องเผชิญสัตว์อสูรร้ายขั้นกลั่นดวงธาตุ แน่นอนว่าพิสุทธิ์ไพศาลไม่กี่คนย่อมไม่อาจต้านทานได้ ศิษย์สตรีทั้งหลายแตกตื่นจนเสียอาการ หนึ่งในนั้นมีศิษย์สตรีคนหนึ่งที่แปลกแยกจากผู้อื่นที่สุด

นัยน์ตาแวววาวราวหยดน้ำ คิ้วโค้งดั่งกิ่งหลิวประดับบนหน้าผาก หน้าตาน่าชมดูที่สุด

นอกจากนี้ ที่นางต่างจากคนอื่น คือสภาวะพลังของนาง ราวกับกล้วยไม้แต้มจันทราคราดวงดาราอับแสง เปี่ยมล้นจิตวิญญาณ

คิ้วโก่งดั่งใบหลิวของนางพลันแข็งทื่อ จากนั้นเลิกขึ้นสูง ดึงรั้งเหยาอินไว้กล่าวว่า “ศิษย์พี่ ข้าจะรั้งท้ายคอยสกัดเอง”

“ไม่ได้!” เหยาอินหยิบกระบี่หักขึ้นมาเล่มหนึ่ง “ข้าคือพิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุด สามารถสกัดกั้นมันไว้ได้ชั่วครู่ ติงหลัน เจ้าพาพวกนางออกไป!”

ศิษย์น้องผู้นี้ ก่อนออกเดินทางอาวุโสในพรรคกำชับให้คอยดูแลนางให้ดี แม้ไม่ทราบศักดิ์ฐานะนางคือใคร แต่หากสามารถทำให้อาวุโสกลั่นดวงธาตุต้องคอยจับตาดูเป็นพิเศษ เหยาอินไม่กล้าคิดมากความ

นัยน์ตาสั่นสะท้าน เหยาอินผลักศิษย์น้องคนอื่นๆ พ้นทาง คนควงกระบี่ฉายเดี่ยว แม้นางจะมีพลังฝีมือสูงส่งที่สุดในกลุ่ม แต่ผู้รั้งท้ายไม่แน่ว่าจะรอดได้กี่คน

หากอาศัยเพียงพวกนาง เกรงว่าทั้งกลุ่มคงไม่อาจรักษาชีวิตไว้

ตอนนี้ คงได้แต่ต้องเสียสละแล้ว!

“สัตว์อสูรนั่นตามมาแล้ว!” ลมพายุสลาตันพัดถล่ม เสียงขับขานกึกก้อง ระลอกกระเพื่อมในอากาศถูกกวาดราบจากแรงกระทำ

“รีบไป!” แววตาของเหยาอินเด็ดเดี่ยว นัยน์ตาอาวรณ์แปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบดุจน้ำแข็ง ร่างเหินบินหมุนวนราวพายุหมุน

เงากระบี่ซ้อนทับชั้นแล้วชั้นเล่านับร้อยนับพันสาย เสียบแทงทะลุเปลือกนอกของสัตว์อสูรดังสวบ

ผ่าขุนเขา ทลายสิ่งกีดขวาง

ท่ามกลางเสียงคำราม สัตว์อสูรร่างใหญ่โตยาวร่วมสิบเมตรทะลวงผืนป่าหนาทึบออกมา ภายใต้แสงตะวันอันเบาบาง เกราะปล่อยควันพิษพวยพุ่ง ขาหกข้างสามคู่สะกิดแผ่วเบาคราหนึ่งก็เปิดหลุมยักษ์อยู่บนพื้น

ด้านหน้าปรากฏก้ามสองข้างขนาดใหญ่ราวโต๊ะตัวหนึ่ง ขยับย้ายซ้ายขวา ลมที่กรรโชกมาจากแรงงับส่งเสียงแกร๊บแกร๊บแตกหัก

เหนือศีรษะคือเข็มพิษที่ห้อยแกว่งไกว ยาวราวนิ้วมือ ประดับอยู่บนปลายหางโค้งยาวราวจันทร์เสี้ยว สะบัดไปมาราวมังกรไหว

แมงป่องวายุแดง ระดับกลั่นดวงธาตุขั้นหนึ่ง พิษร้ายกาจถึงตาย พละกำลังมหาศาล

ต้นไม้ร้อยปีใหญ่ราวสามคนโอบ ถูกก้ามแมงป่องวายุแดงตัดฉับเดียวขาดครึ่งอย่างง่ายดาย

รัศมีพลังปั่นป่วนกรรโชก แมงป่องวายุแดงขยับเคลื่อนไหวขาทั้งหกข้างพาลมมรสุมน่าสะอิดสะเอียนพุ่งเข้าโจมตี ปากอ้ากว้างเผยให้เห็นเขี้ยวขาวอัดแน่นไปด้วยโลหิตพิษร้าย

ปงปง!

พันหมื่นเงากระบี่ยังไม่อาจต้านทานแมงป่องวายุแดงได้ เพียงพึ่งพาความแข็งแกร่งตามธรรมชาติปัดเป่าการโจมตีวิชายุทธ์ระดับเจ็ดออกไป หางแมงป่องยกชูขึ้นสูง กวาดกราดผ่านหมื่นพันประกายกระบี่ ปลายเข็มพิษเปล่งประกายวาววับ!

“ศิษย์พี่ระวัง!” ติงหลันส่งเสียงดัง ระเบิดพลังพิสุทธิ์ไพศาลขั้นกลาง เหินบินเข้าใส่

แมงป่องวายุแดงพ่นลมออกจากปาก ก้ามทั้งสองอ้างับดังฉับฉับ ปลายหางพิษตวัดแทง เหยาอินถูกกระแทกกระบี่ยาวหักครึ่ง พ่ายแพ้หมดรูป

ติงหลันอายุเพียงยี่สิบปียังเยาว์วัยมุทะลุ ยามนี้บรรลุพิสุทธิ์ไพศาลขั้นกลาง นับเป็นพรสวรรค์ขั้นสูงอันหายาก

ในมือของนางกุมกระบี่แคบเรียวสีเงินยวงราวหิมะ แผ่ไอพลังบริสุทธิ์ กลับเป็นศาสตราบรรพกาลที่คุณสมบัติไม่เลว!

ชิ้งชิ้ง!

พิสุทธิ์ไพศาล อย่างไรก็ไม่อาจต้านทานกลั่นดวงธาตุได้อยู่แล้ว

ต่อให้เป็นศาสตราบรรพกาล หากอานุภาพของสัตว์อสูรดวงธาตุทองคำที่เป็นไปได้ว่าอาจสืบทอดมาจากบรรพกาลตนนี้ ห่างไกลจากระดับเดียวกันอย่างยิ่ง

ติงหลันมุมปากปรากฏรอยโลหิต กระบี่เรียวในมือสั่นสะท้าน เสียดแทงจนกระดูกเย็นเยียบ

คนไร้เรี่ยวแรงตอบโต้ แมงป่องวายุแดงถาโถมเข้าเข่นฆ่า ปากกว้างของอสูรร้ายอ้าออกงับกิ่งไม้ต้นไม้ที่ขวางทาง เร่งรีบเข้าสวาปามเหยื่ออันหวานหอมของมัน!

ต้อง.. ตายจริงๆ แล้วสินะ?

ติงหลันปิดตาลงอย่างสิ้นหวัง กลับสัมผัสได้ว่ากระแสลมจากคมเขี้ยวพิฆาตพลันหยุดยั้งลง เสียงการเคลื่อนไหวสวบสาบเองล้วนหายไป หลงเหลือเพียงเสียงใบไม้ร่วงหล่นลงข้างใบหู

นางลืมตาขึ้นอย่างมึนงง เห็นแมงป่องวายุแดงที่อาละวาดฟาดหางเมื่อครู่ยังอยู่กับที่ ถูกพลังไร้สภาพสายหนึ่งกั้นขวางไว้

เมื่อเพ่งพิจารณา ที่แท้พลังไร้สภาพ มาจากที่เบื้องหน้าของแมงป่องวายุแดง ปรากฏเงามนุษย์ผอมสูงร่างหนึ่งขึ้น!

ใต้ล่างขายาวราวสิบเมตรของแมงป่อง เงาคนราวกับเมล็ดพืชในมหาสมุทร เล็กจ้อยจนแทบไม่อาจมองเห็น

และก็เป็นเงาร่างที่เปรียบกันแล้วยังอ่อนด้อยกว่ามหาศาลนั่นเอง สองมือกางออกค้ำยันการโจมตีของก้ามทั้งสองของแมงป่องวายุแดงเอาไว้

ก้ามดำมะเมื่อมงับฉับฉับ อย่าว่าแต่แขนขามนุษย์ แม้แต่เหล็กกล้าพิสุทธิ์ขนาดหลายเมตรล้วนต้องถูกก้ามแกร่งที่ระเบิดพลังมหาศาลตัดขาดไป

“อย่าประมาทศัตรู!” เหยาอินเร่งเคี้ยวโอสถฟื้นพลัง ต้องตะโกนเตือนอีกฝ่ายด้วยความกังวล

ประกายวิญญาณสั่นสะท้านในแววตาของติงหลัน คิ้วขนงโก่งดั่งใบหลิวปรากฏริ้วรอยย่นลึก ต้องลอบหลั่งเหงื่อเย็นเยียบแทนอีกฝ่าย

คว้าก!

เสียงดังสนั่นลั่นหู ก้ามที่อ้ากว้างขับเคลื่อนด้วยพลังอันดุร้าย คิดตัดแขนของศัตรูด้านหน้าให้ขาดด้วน

เสียงคว้ากคว้ากหยุดลงกะทันหัน ก้ามแมงป่องขนาดมหึมาถูกสองแขนผอมซูบค้ำยันไว้ ไม่ว่าอย่างไรล้วนไม่อาจงับลงมาได้

แมงป่องวายุแดงแตกตื่นสงสัย มันขยับเคลื่อนขายาวตันทั้งหกข้าง ทุ่มพลังทั้งหมดเข้าใส่ก้ามแข็งแกร่งของมัน!

มั่นคงดั่งไท่ซาน!

แมงป่องวายุแดงร้อนรนแล้ว เข็มพิษที่ปลายหางร่วงหล่นกระหน่ำใส่อย่างต่อเนื่อง กวาดกราดพุ่งแทงโถมสะบัด รวดเร็วประดุจสายฟ้า

บุรุษที่ขวางกั้นแมงป่องวายุแดงอยู่นั้น บนศีรษะของมันมีเขางอกออกมาเขาหนึ่ง

ภายใต้ปลายเข็มพิษอันแหลมคม ผจญเขาแหลมเหนือศีรษะ เขาคู่บนหน้าผากปะทะเข็มพิษโปร่งใสที่ปลายหางแมงป่องชั่วขณะ ประกายไฟสาดกระจายออกรอบทิศ

คนผู้นั้นสะกิดเท้าเหินขึ้นตามติด เสียงแคร่กดังคราหนึ่ง กลับเหยียบกระดองหนาพละกำลังมหาศาลของแมงป่องวายุแดงแตกหักไป น้ำสีเหลืองแตกกระจายไหลท่วมออกมา ผสมปนเปไปกับเลือดเนื้อเลอะเลือน ใบหน้าของแมงป่องวายุแดงถูกทำลายหายไปกว่าครึ่ง

แมงป่องวายุแดงราชันเจ้าถิ่นบังเกิดความหวาดหวั่นแล้ว มันยกปลายหางสับหกเท้าสามคู่ระรัวเพื่อเผ่นหนี ไม่มีทางมาตอแยพวกมันอีกตลอดกาล

“ชนะแล้ว!” ติงหลันทะลึ่งลุกขึ้นจากพื้นทันควัน โบกไม้โบกมือด้วยความยินดี กระโดดโลดเต้นประกาศชัยชนะ

“ติงหลัน!”

เหยาอินปราม จู่ๆ พลันปรากฏคนลึกลับขึ้น ทั้งยังเป็นยอดยุทธ์ระดับที่พวกนางถวิลหา กลั่นดวงธาตุ!

“ขอบพระคุณอาวุโสที่ช่วยชีวิต ผู้เยาว์เหยาอิน ยินดีขอบคุณอย่างหนัก” รัศมีพลังบนร่างของคนผู้นี้ยังน่ากลัวกว่าแมงป่องวายุแดงอีก เหยาอินมิอาจไม่ระมัดระวัง

หัวเราะเสียงขื่น เมื่อใดกันที่ท่านสามารถทำเหมือนกลั่นดวงธาตุเป็นหัวผักกาดหัวหนึ่งได้

หลงเฟิงยังคงใช้สายตาราวปลาตายของมันกวาดกราดไปทั่วอย่างไร้อารมณ์ รีดเค้นมารยาทจากบรรพบุรุษมันสิบแปดรุ่นออกมาก่อนเอ่ยว่า “เจ้า มากับข้า”

ติงหลันงุนงง เรียวนิ้วประดุจหยกชี้เข้าหาตัว “ข้า?”

“อืม” หลงเฟิงผงกศีรษะ แม้มันจะไม่รู้จักรสนิยมความงามของเผ่ามนุษย์ว่าเป็นเช่นไร ทว่าสตรีนางนี้เปี่ยมด้วยไอพลังวิญญาณจักรวาล แม้ในตอนนี้ที่เหงื่อใสไหลซึม ยังคงท่วงท่าอ่อนโยนบอบบางราวดอกท้อถูกฝนพรำ

“อาวุโส ท่านหมายความว่ายังไง?” เรื่องราวเกี่ยวพันถึงศิษย์ที่อาวุโสในพรรคคอยจับตา เหยาอินมิอาจไม่แข็งใจก้าวออกไปขวางทางหลงเฟิง

หลงเฟิงยังคงใช้สีหน้าหลุมฝังศพไร้ความดีงามของมัน ส่งสายตาพิฆาตคนเอ่ยออกมา “เจ้าสู้ข้าไม่ได้”

“ผู้น้อยสำนึกตัวดี ของสมนาคุณที่ควรมอบให้ พวกเราจะไม่ยอมให้น้อยไปแม้สักส่วนเดียว” เหยาอินลอบด่าคนในใจ คิดว่าพบพานดาวช่วยชีวิต ที่แท้กลับเป็นสุนัขป่าสารเลว

ไม่ใช่สิ!

สุนัขสารเลวต่างหาก