“นางไปกับข้า พวกเจ้าเชิญตามสบาย” หลงเฟิงยังคงดื้อดึง

ยามนี้ แม้แต่ติงหลันก็ฟังออกแล้วว่าอีกฝ่ายหมายความว่าอย่างไร ต้องพองแก้มออกด้วยความโกรธ สองมือเท้าสะเอว อารมณ์เปลี่ยนทันที

“ตัวชั่วร้าย รู้หรือไม่ท่านย่าเป็นใคร?” ติงหลันเท้าสะเอวด่ากราด สาวงามดั่งน้ำค้างกลางขุนเขาเช่นติงหลัน ฉับพลันเปลี่ยนเป็นใบเลื่อยติดไฟแถมหนามแหลมทั่วตัว

หลงเฟิงไร้ปฏิกิริยาใดๆ คนแผ่พุ่งพลังออกผลักเหยาอินออกห่าง “ไปเถอะ”

“สารเลว พวกเราคือศิษย์ของหุบเขาเพลิงราชัน ต่อให้เจ้าเป็นกลั่นดวงธาตุ ก็ไม่ใช่จะตอแยได้!” ติงหลันแยกเขี้ยวกางเล็บ ภาพลักษณ์กุลสตรีพังยับไม่เหลือหลอ ตอนนี้ดูไปเหมือนถั่วระเบิดมากกว่า

“หุบเขาเพลิงราชัน?” หลงเฟิงใคร่ครวญ คล้ายคุ้นหูอยู่บ้าง

ติงหลันผงกศีรษะราวนกน้อยดำขลับของนางระรัว “กลัวแล้วใช่หรือไม่?”

“ไม่เคยได้ยินมาก่อน” หลงเฟิงเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเฉยเมย ไม่กลัวล่วงเกินอีกฝ่าย ชื่อฉายานี้กับมันแล้วไม่มีอำนาจใดๆ

เผ่าพิสดาร ไม่เชื่อฟ้า ไม่เชื่อดิน ไม่เชื่อมนุษย์

“เจ้า!”

เหยาอินไม่อาจปล่อยผ่าน คนจู่โจมออกหนึ่งกระบวนท่า ส่งประกายกระบี่ห้าหกสายพร่างพรมราวเกล็ดหิมะ ศิษย์คนอื่นๆ ของเพลิงราชันต่างชักกระบี่ออกจี้ใส่คอหอยหลงเฟิงโดยพร้อมเพรียง

“พวกเจ้าขวางข้าไม่ได้หรอก ในเมื่อข้าก็ช่วยชีวิตพวกเจ้าแล้ว ก็ให้นางตามข้าไปแทนการขอบคุณเถอะ!” หลงเฟิงเมินเฉยต่อการสกัดขัดขวาง พลังดวงธาตุทองคำอันยิ่งใหญ่ผนึกใส่มวลอากาศ ผลักดันศิษย์ทั้งหลายออกไป

“ไสหัวไป!” ติงหลันกระชับศาสตราบรรพกาลในกำมือ สะบัดคว้านกระบี่ยาวโจมตี เหินบินเข้าใส่

หลงเฟิงกระแทกรังสีฆ่าฟันทั้งสองสายทิ้งอย่างง่ายดาย มือหนึ่งสะกดกระบี่โบราณของติงหลันไว้ ฝ่ามือหมุนควงเป็นวง ประกบนิ้วมือทั้งห้ากล้าแข็งดั่งเหล็กไหล เกาะกุมใส่ลำคอระหงของติงหลัน

“หยุดมือ!” เหยาอินหางตาแทบฉีกขาด ภายใต้แรงกดดันมหาศาล ฝ่าเท้าจมลึกลงไปในดินถึงสองรอย “ปล่อยนางไป เอาข้าไปแทน!”

“ศิษย์พี่!” ศิษย์สตรีหลายนางขวางร่างอ้อนแอ้นไว้ได้ทัน ในห้วงอากาศคล้ายบังเกิดลมเย็นยะเยือกพลิ้วผ่าน

“ประมุขน้อยของพวกเรารสนิยมเลวร้าย เป็นนางน่ะดีแล้ว” หลงเฟิงกล่าวจบก็สะกิดเท้าเหินขึ้นท้องฟ้า เหยาอินถลาตามติดในพริบตา

ระยะเหนือพื้นไม่กี่ร้อยเมตร นั่นคือขีดจำกัดของเหยาอินในการเหินบินแล้ว

เหนือขึ้นไป สายลมเมฆบางเบาแฝงไว้ด้วยคมมีดสายลม ฟังว่าลมจักรวาลเก้าสวรรค์ยิ่งร้ายกาจ สามารถกรรโชกกลั่นดวงธาตุจนตกตายได้

เหยาอินเบิกตามองดูหลงเฟิงนำร่างของติงลันแทรกเข้าไปในก้อนเมฆ ต้องตะโกนสุดเสียง “เจ้าคอยดูเถอะ เพลิงราชันเราต่อให้ต้องพลิกแผ่นดิน ก็ไม่มีทางละเว้นเจ้า!”

“เร็ว รีบส่งสัญญาณเสียงบอกผู้อาวุโส!”

เสียงออกคำสั่งดังขึ้น ข่าวสารถูกส่งไปถึงเพลิงราชันหนึ่งในสี่พรรคใหญ่ฝ่ายมนุษย์ ถ่ายทอดไปถึงหูอาวุโสหลายท่านทันที

ในสี่พรรคใหญ่ของมนุษย์ กอปรด้วยเพลิงราชันและประตูหายนะที่ครอบครองพื้นที่ทางฝั่งทิศตะวันออกเฉียงเหนือ คือสองเสาหลักที่ค้ำยันการรุกรานของเผ่าอสูรไว้

พรรคใหญ่ทั้งสองนี้ อยู่ใกล้กับพรมแดนอสูรมนุษย์มากที่สุด

สำหรับสระมารสุดขั้ว อยู่ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ กั้นขวางพรมแดนมนุษย์และมาร

พรรคดาวตกที่เหลือ ตั้งอยู่ ณ ใจกลางเผ่ามนุษย์

“ตัวบัดซบ ไอ้หน้าเหม็น กล้าจับข้างั้นหรือ!” ติงหลันที่ถูกอีกฝ่ายพาเหินขึ้นฟ้า ทะลุผ่านทะเลเมฆสี่ทิศ อ้าปากด่าทอไม่หยุดยั้ง

หลงเฟิงโบกมือผ่านๆ พลังวิญญาณสะกดควบคุมพลังฝีมือของติงหลัน มุ่งหน้าไปบรรพตสละฟ้าต่อไป

ปากนักเขียน ขานักร้อง

ฉินจิ่วเกอยังคงเอกเขนกอยู่ในเมืองอวี่เกอ มือตบหัวเข่าเป็นจังหวะจะโคน โยกเก้าอี้ไปมาช้าๆ

สายตาทอดมองแสงอันอบอุ่นเยียบเย็นของดวงอาทิตย์แปรเปลี่ยนเป็นเงียบงันงดงาม แผ่นดินฉาบทอด้วยประกายสีเงินชั้นหนึ่ง เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นหมองหม่น

ราตรีกาลมาเยือน หลงเฟิงกลับมาถึงเมืองอวี่เกอ เข้าพบประมุขขุนเขาทั้งสี่

“ไม่เลวๆ น่าจะถูกรสนิยมของประมุขน้อย” ประมุขหยางโบกมือคราหนึ่ง ให้หลงเฟิงพาคนออกไป จากนั้นจึงเชื้อเชิญประมุขน้อยออกมารับประทานอาหาร

ในเมื่อเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์ แน่นอนว่าไม่อาจบอกต่อฉินจิ่วเกอล่วงหน้า

ช่วงเวลาว่างที่เชิญฉินจิ่วเกอออกมารับประทานข้าวปลาอาหาร ประมุขหยางก็ให้หลงเฟิงแอบพาเหยื่อดักอุ้มไปไว้ในห้องนอนของประมุขน้อย

เชื่อว่าคืนนี้ย่อมมีเรื่องน่าตื่นเต้นสะท้านขวัญเป็นแน่

ติงหลันที่ถูกหลงเฟิงสะกดพลังฝีมือเอาไว้ เมื่อได้ยินตาแก่หน้าแกะภูเขาออกคำสั่ง ต้องบังเกิดแววตาสิ้นหวัง แค้นที่ไม่อาจกัดลิ้นฆ่าตัวตายให้สิ้นเรื่องสิ้นราว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนทั้งสี่นี้ พลังฝีมือสูงส่งสุดยอด ไม่ด้อยไปกว่าอาวุโสฝ่ายในของเพลิงราชันเลยแม้แต่น้อย

เมื่อคิดจินตนาการถึงเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้น ติงหลันก็ไม่กล้าคาดคิดต่อ ดวงตางดงามทั้งคู่บังเกิดหยาดน้ำตาคลอ

คนที่ไม่รู้ชะตากรรมว่ามีหายนะกำลังจะตกใส่หัว นั่งอยู่ในบ้านดีๆ ที่อันตรายที่สุดก็มีเพียงการร่วงจากเก้าอี้เท่านั้น

ฉินจิ่วเกอในใจยามนี้กลับพลันรู้สึกหายใจว่างโหวงแปลกๆ เมื่อลองคำนวณชะตา คล้ายว่าคืนนี้คือวันล่าล้างโลหิตใหญ่

“ไม่มีเรื่องอะไรใช่มั้ย?” ฉินจิ่วเกอยกชามข้าวขึ้นลิ้มรสชาติอันจืดชืด ในใจคิดว่าไฉนรอยยิ้มของสี่ประมุขในค่ำคืนนี้ดูชั่วร้ายเป็นพิเศษ

“ไม่มีเรื่องราวร้ายแรงอันใด เพียงแต่หอกลืนตะวัน ตำหนักผนึกน้ำแข็ง วังสุนัขป่าทั้งสาม ประมุขของพวกมันนำพาอาวุโสทั้งหลาย แอบลักลอบเข้ามาประชิดยังเขตแดนของเรา แต่ยามนี้ยังไม่มีการเคลื่อนไหวใหญ่อันใด”

“จับตาดูพวกมันไว้ รอจนพวกมันเข้าเมืองอวี่เกอเมื่อใด พวกเราก็ใช้กลวิธีเขย่าขุนเขาข่มขู่พยัคฆ์ใส่พวกมันสักครา”

ฉินจิ่วเกอเคาะชามข้าวอย่างไร้แรงบันดาลใจ พอดีมองเห็นหลงเฟิงที่ตัวเลอะเทอะกลับออกมาจากด้านนอก บนศีรษะยังมีใบไม้ติดอยู่ยุ่งเหยิง

“ดูท่าอากาศจะเย็นมากเลยนะนั่น? ถึงกับต้องเอาดินโคลนใบไม้มาโปะเพิ่มความอบอุ่น ทำอย่างกับบรรพตสละฟ้าเราไร้น้ำใจ ข้ามีศิลาวิญญาณระดับต่ำสามก้อน เจ้ามาเอาไปซื้อเสื้อผ้าใส่ไป”

หากถามตนเอง ฉินจิ่วเกอคิดว่ามันเป็นประมุขที่ทำหน้าที่อย่างดียิ่ง

ปฏิบัติต่อผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยอาทร คลี่คลายปัญหาด้วยคุณธรรม

ขนาดยามพบหน้าหลงเฟิงเจ้าคนดื้อด้าน ยังสามารถสำแดงบุคลิกภาพของสุภาพบุรุษออกมาได้ตลอดเวลา

หลงเฟิงกลอกตาขาวลอบปรายตามอง รับเอาศิลาวิญญาณทั้งสามก้อนมาอย่างไม่คิดมาก

สามารถเอารัดเอาเปรียบฉินจิ่วเกอไก่เหล็กได้ นับว่าไม่ง่ายดาย

คนทั้งห้านั่งล้อมโต๊ะ ใช้สายตาสื่อสารโดยไร้เสียง มิชชั่นคอมพลีท

“เห็นหน้าเจ้าแล้วข้าเสียอารมณ์จริงๆ” ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กน้อยนี้ไปบึงโคลนลงเกลือกกลิ้งมากี่รอบ มันไปหากินไส้เดือนงั้นรึ?

ฉินจิ่วเกอวางชามข้าวลง ยืดเอวบิดขี้เกียจ เอ่ยพลางอ้าปากหาว “ข้าจะกลับไปนอนต่อ ตอนค่ำๆ ส่งอาหารมื้อดึกให้ข้าอีกมื้อ ช่วงนี้เหน็ดเหนื่อยจริงๆ เหนื่อยจนแม้แต่นอนยังเหนื่อยล้าแทบตาย”

กล่าวจบ ฉินจิ่วเกอลุกโซซัดโซเซ เดินกลับห้องนอน

ยิ่งเดินไป ในใจก็ยิ่งไม่สงบ หัวใจของมันเต้นเร็วจนปัดความง่วงงุนออกไปสิ้น เมื่อมาถึงประตูห้อง ถึงกับเหงื่อไหลโซมหน้า

“อย่าลืมมื้อดึกของข้าอีกมื้อ” ฉินจิ่วเกอออกคำสั่งตบท้าย ก่อนผลักเปิดประตูเข้าไป

สี่ประมุขหัวเราะอย่างชั่วร้าย หนุ่มสาวผ่านทางมาพบกัน พวกมันต้องถูมือเข้าหากันด้วยความตื่นเต้น

เมื่อเข้าไปภายในห้องนอน พอดีกับมันไม่ได้จุดไฟ ภายในจึงมืดมิดสนิท แสงจันทร์ในค่ำคืนนี้ยิ่งประหลาดแปลกตา มัวสลัวหม่นทะมึนยังไงชอบกล สรุปแล้วคล้ายแฝงกลิ่นอายวิญญาณน่าหวาดหวั่น อับหมองจนในใจผู้คนต้องเต้นกระหน่ำ

ฉินจิ่วเกอมึนงงศีรษะ มือเอื้อมแตะเทียนตามสัญชาตญาณโดยปราศจากความระแวงสงสัยใดๆ เนื่องเพราะมันอยู่ในอาณาเขตของตนเอง ดังนั้นมิได้ใช้สัมผัสจิตกวาดสำรวจในห้อง

สงสัยงั้นหรือว่าทำไม? นั่นก็เพราะฉินจิ่วเกอขี้เกียจไงล่ะ

เมื่อคลำพบเทียน คนก็ตระเตรียมจุดไฟส่อง แต่จู่ๆ พลันได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวบางอย่าง เสียงนั้นดังกว่าหนูลักน้ำมัน แต่ก็ดันเบากว่าเสือขย้ำเหยื่อ

ฉินจิ่วเกอสงสัยใจ ถือเทียนเข้าไปอย่างพร่าเลือน มันเพิ่งจุดไฟขึ้นก็มองเห็นผ้าม่านคลุมเตียงถูกดึงรวบไปไว้ทางหนึ่ง บนเตียงมีวัตถุบางอย่างคลุมไว้ ไม่อาจมองเห็นว่าเป็นสิ่งใด

ฉินจิ่วเกอยกชูเทียนในมือเลิกผ้าเปิดออก พลันพบเห็นเป็นวิญญาณตาแดงก่ำดุร้าย ตลอดร่างปกคลุมด้วยดินโคลนสีเหลืองอันสดใหม่ ยามเคลื่อนไหวยังปรากฏเนื้อหนังแต่ละชั้นหลุดร่วงออกมา

สารรูปราวกับผีตายซากเน่าที่ปีนป่ายตะกายออกมาจากหลุมฝังศพ นัยน์ตาปีศาจแดงเถือกจ้องเขม็งมาดุร้ายจนขนหัวลุก

“แม่จ๋า!” ฉินจิ่วเกอขวัญหนีดีฝ่อ คิดไม่ถึงว่าในบ้านตัวเองยังถูกผีหลอกได้ คนแตกตื่นจนขวัญสั่นวิญญาณบิน

ฟู่วววว!

เทียนดวงน้อยร่วงหล่นลงพื้น แสงเทียนแรงร้อนสีส้มอมแดงดับวูบเหลือแต่ควันลอยกรุ่น ทั่วห้องกลับคืนสู่ความมืดมิดในพริบตา

ก้อนปีศาจคลายออก สองแขนเย็นเยียบชั่วร้ายฉกวูบเข้าใส่ฉินจิ่วเกอ

ฉินจิ่วเกอที่แตกตื่นจนขวัญบินยังไม่ทันบังเกิดปฏิกิริยา ก็ถูกอีกฝ่ายกดทับลงสู่เบื้องล่าง เล่นเอาจมูกเจมิกหัวหูบวมเป่ง

ภายในความมืด ยังถูกผีร้ายเตะใส่อีกหลายเท้า ฉินจิ่วเกอร่ำร้อง เลือดตกยางออกขึ้นมาจริงๆ แล้ว!

เตียงหรูที่ทำจากไม้จันท์แตกหักเป็นเสี่ยงๆ ปีศาจอาฆาตอันร้ายกาจทับอยู่บนตัวชายหนุ่ม บนตัวเลอะเปื้อนดินโคลนเหลืองเหนียวเหนอะ ทับฉินจิ่วเกอจนแทบขาดอากาศหายใจตาย

“ช่างร้อนแรงกันจริงๆ!” ประมุขหยางรำพึงรำพัน เมื่อมีประมุขน้อยที่ร้อนเร่ารุนแรงราวมังกรพยัคฆ์คะนองศึกเช่นนี้ อนาคตอันรุ่งโรจน์ของบรรพตสละฟ้าเป็นอันว่านอนมาแน่แล้ว

ประมุขหลิวหวนคะนึงถึงความหลังอันอุดมด้วยเรื่องราวมากมาย ต้องเอ่ยอย่างพออกพอใจ “ฮูหยินน้อยที่พวกเราลักเอาตัวมาสมควรตรงรสนิยมของประมุขน้อย พวกเจ้าฟังสิ เคลื่อนไหวกันอย่างถึงพริกถึงขิง ดูท่าครึ่งคืนล้วนไม่สร่างซา”

หลงเฟิงรู้สึกประหลาดใจ ต้องเอ่ยถามคำถามอันชาญฉลาด “ไฉนเสียงร้องดูเจ็บปวดทรมานปานนั้น?”

“ประมุขน้อยยามจัดการเรื่องราวไม่ต่างจากแกะพยศเขาผงาด ไร้ร่องรอยให้สืบสาว ไม่แน่นา มันอาจจะชมชอบเสียงทำนองนี้ก็ได้” ประมุขโหวคาดเดา

ประมุขจูเอ่ยขึ้น “งั้นพวกเราออกห่างหน่อยดีกว่า อย่าได้รบกวนเรื่องมงคลของหนุ่มสาว”

“ถูกต้องที่สุดๆ ไปๆ พวกเราไปหาสถานที่นั่งชมจันทร์กันดีกว่า” คนทั้งห้าเริ่มสาวเท้าเดินออกห่าง คืนนี้เมฆาบังจันทร์ ก้อนเมฆหนากลืนกินจันทราสีทองนวลอร่ามราวหยก ประกายแสงจันทร์หรุบหรู่กระพร่องกะแพร่ง ไม่อาจมองสิ่งเปิดเผยซ่อนเร้นใดได้ชัดตา

ภายในห้องนอน ฉินจิ่วเกอหลับตาปี๋ปากบิดเบี้ยว ดิ้นกระแด่วกระแด่วอยู่บนพื้นเย็นเยียบ ในใจท่วมท้นด้วยความกลัวร้อนผ่าวเผาผลาญท่วมอก

จบสิ้นกัน กรรมตามสนองแล้ว เป็นเพราะกระทำความชั่วร้ายมากเกินไป เลยต้องเจอผีร้ายทวงวิญญาณ!

หลังเตียงถล่ม ภายในความมืดกลับบังเกิดเสียงปีศาจโคลนเหลืองที่เบิกตาโปนถลนเรืองรองราวแสงไฟภูติ “โจรหื่นกาม กล้าคิดทำลายพรหมจรรย์ข้า วันนี้ข้าขอเสี่ยงกับเจ้าแล้ว!”

“พุ้ย ปีศาจเจ้าอุบาทว์น่ากลัวขนาดนี้ เจ้าต่างหากที่คิดทำมิดีมิร้ายข้า!” ฉินจิ่วเกอที่กำลังมึนงงพลันคืนสติทันตา สวนกลับไปอย่างชัดเจน ตนเองต่างหากที่รับความลำบากที่สุด

ผัวะผัวะ!

ฝ่ามือหลายผัวะตบจนฉินจิ่วเกอหัวหมุนงุนงง ขณะกำลังจะสารภาพต่อสวรรค์ว่ามันทำอะไรผิดไปบ้าง ฉินจิ่วเกอกลับพลันรู้สึกได้ถึงเสียงลมหายใจในอากาศ รวมทั้งหยดน้ำเย็นเยียบสองสามหยด

“เจ้าเป็นคนหรือ?” ฉินจิ่วเกอห้วงสมองสะท้านสะเทือน หรือว่าที่มันเจอจะไม่ใช่ผี

“ไอ้บ้ากาม เจ้าน่ะสิไม่ใช่คน ท่านย่าจะฆ่าเจ้า แล้วค่อยฆ่าตัวตาย!” ติงหลันร่ำร้องคิดอยากตายถ่ายเดียว ทั้งอับอายทั้งอัปยศ ถูกคนชิงตัวมาก็แล้ว ยังมาถูกคนผู้นี้ลบหลู่ศักดิ์ศรี ตนเองยามอยู่ในหุบเขาเพลิงราชันไหนเลยจะต้องรับความโกรธถึงเพียงนี้

ฉินจิ่วเกอได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย สมองยังไม่ทันสั่งการก็กล่าวถาม “เจ้าเป็นตัวเมีย?”

“บัดซบ! เจ้าน่ะสิตัวผู้!”

“เอ๋ พี่สะใภ้ใหญ่ท่านนี้ ท่านหน้าตาฟ้าโกรธาคนโกรธกริ้วขนาดนี้ หนังหน้าเหลืองเป็นแผ่นๆ ไม่ใช่ผีไม่ใช่คน เหมือนเกิดบนยามสาม อยู่ๆ มาโผล่ขึ้นบนเตียงของคุณชายรูปงามเช่นข้า ไม่ว่ามองอย่างไรก็เป็นเจ้ายั่วยวนข้า ยังมาใส่ความข้าอีก!”

“อ๊าาาาาาาาาา ข้าจะฆ่าเจ้า!” ท่ามกลางความมืด ปรากฏประกายแสงเย็นเยียบขึ้น

ฉินจิ่วเกอที่ใช้บรรทัดตารางนิ้วเป็นศาสตราประจำกาย มันแยกแยะออกในทันที นั่นคือศาสตราบรรพกาลที่แข็งแกร่ง ทั้งยังคุณภาพไม่ด้อยไปกว่าบรรทัดตารางนิ้วของมันเลยแม้แต่น้อย!

“อะไร รู้สึกละอายขึ้นมา?” ฉินจิ่วเกอปิดหน้าปิดตา เรียกร้องความยุติธรรม “ข้าฉินจิ่วเกอรักษาความสะอาดบริสุทธิ์มานมนาน วันนี้ต้องมาเผชิญกับเรื่องฉาวคาวโลกีย์ เสื่อมเสียความเป็นผู้มีการศึกษา ข้าไม่มีหน้าไปพบพานใครอีกแล้ว!”

“เจ้าลักพาตัวท่านย่ามา ยังมีหน้ามาพร่ำรำพันอะไร!” ติงหลันยิ่งโทสะอัดอก กระบวนท่าในมือไม่คิดออมรั้งไว้อีก อย่างไรต้องฆ่าไอ้โจรปล้นสวาท แล้วค่อยตายตามมันไปทีหลัง!