บทที่ 81 ท่านรู้คำนี้ได้อย่างไร
ข้อเสนอของเหยาซูทำให้เถ้าแก่เนี้ยเซวียรู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย หลายปีมานี้ไม่ใช่ว่านางไม่เคยคิดจะปักหลักใช้ชีวิตอยู่ที่ใดที่หนึ่ง เพียงแต่…
เถ้าแก่เนี้ยเซวียมองลึกไปในดวงตาใสกระจ่างของเหยาซูพร้อมกับถอนหายใจ “น้องหญิง ข้าจะบอกกับเจ้าว่าเมื่อถึงวัยเช่นข้าโดยเฉพาะสตรี ใครจะอยากเดินทางทุกวันกันเล่า แต่อันที่จริงแล้ว ก็เป็นเรื่องยากที่จะพูด…”
เหยาซูค่อนข้างถนัดในการสำรวจอารมณ์ของผู้อื่น เมื่อเห็นสีหน้าลำบากใจของอีกฝ่าย นางจึงยิ้มและกล่าวว่า “พี่เซวียไม่ต้องลำบากใจ วันนี้ข้าจะเรียกท่านว่าพี่สาว เพราะคิดว่าท่านเป็นเพื่อนที่คุยได้จริง ๆ การที่สหายเจอปัญหาเราก็ควรช่วยเหลือกันเป็นเรื่องปกติ หากท่านไม่สะดวกที่จะพูดมันออกมาก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามีปัญหาใด ๆ ท่านสามารถมาหาข้าได้ในเวลาว่าง ตราบใดที่ข้าสามารถช่วยท่านได้ข้าพร้อมจะช่วย”
หลินเหราที่ยืนอยู่ด้านข้าง เมื่อได้ฟังเสียงอ่อนโยนของนาง หัวใจของเขาพลันรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา ไม่ต้องพูดถึงเถ้าแก่เนี้ยเซวียที่ยืนอยู่ตรงหน้าเหยาซู นางย่อมเข้าใจความกล้าหาญและตรงไปตรงมาของหญิงสาว
นางจับมือของเหยาซูพลางกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “น้องหญิง วันนี้ข้าจะจดจำคำพูดของเจ้าไว้ ในทำนองเดียวกันหากเจ้ามีปัญหาต้องการใช้ข้าก็อย่าได้เกรงใจ”
บางครั้งมิตรภาพของหญิงสาวก็ง่ายเหมือนคำพูดที่พูดตรงกัน นิสัยใจคอของทั้งสองคนที่เหมือนกัน ทำให้กลายเป็นสหายที่ดีได้อย่างง่ายดาย ทั้งสองคนพูดคุยกันอีกสองสามประโยคพอดีมีลูกค้ามาถามที่แผงลอย เถ้าแก่เนี้ยเซวียจึงหันไปทักทายลูกค้า
เหยาซูเดินไปหาหลินเหราและถามเขาเสียงเบาว่า “เป็นอย่างไรบ้าง เลือกเสร็จแล้วหรือยัง?”
หลินเหรารู้สึกว่าเสื้อผ้าทุกตัวนั้นล้วนดูเหมือนกันไปหมด ไม่มีสิ่งใดที่จะให้เลือก เขายืนอยู่ตรงนี้อยู่นานก็เพราะเห็นว่าเหยาซูกับเถ้าแก่เนี้ยเซวียพูดคุยกันเรื่องการทำงานและเก็งกำไร เขานึกว่านางจะพูดคุยกันนานกว่านี้
เมื่อเห็นเหยาซูเข้ามาถาม เขาก็ชี้นิ้วไปที่ผ้าสองชิ้นที่วางอยู่ด้านนอกสุด “เลือกแล้ว สองชิ้นนี้ก็พอ”
เมื่อเหยาซูเห็นท่าทางของหลินเหรา นางก็รู้ทันทีว่าทุกตัวล้วนไม่ต่างกัน เขาใส่อะไรก็ได้ นางจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินเข้าไปช่วยเขาเลือกเสื้อผ้า
จากนั้นนางก็ถามเขา “ขนาดตัวของท่านเท่าไร”
หลังจากถามจบนางก็ไม่ได้ยินเสียงหลินเหราตอบกลับ นางจึงหันกลับไปมองเขาด้วยความสงสัย “หืม?”
หลินเหราเม้มปากไม่กล่าวคำใด
เหยาซูรู้สึกขบขันเล็กน้อย “ท่านคงไม่รู้ขนาดของตัวเองสินะ”
เมื่อพูดแล้วในใจของนางก็เต้นระรัว นางรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ การที่เขาไม่รู้ขนาดของตัวเองนั้นเป็นเรื่องธรรมดา ทว่าในฐานะภรรยา นางเคยทำเสื้อผ้าให้เขาหลายครั้ง นางจะไม่รู้ไม่ได้…
ทว่าในความจริงแล้วคนที่เคยเย็บเสื้อผ้าหลินเหราคือเหยาซูคนเดิมไม่ใช่นาง! นางไม่มีทักษะเช่นสตรีโบราณควรจะมี ถุงเงินที่ปักก่อนหน้านี้ก็ใช้เวลาตลอดทั้งฤดูหนาว…
เมื่อคิดถึงตรงนี้เหยาซูก็อดนิ่งงันไม่ได้ ถุงเงินที่หลินเหราตามกลับมา ไม่แปลกใจเลยที่เขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการไล่ตามถุงเงินกลับมา หรือว่าตอนนั้นเขาสงสัยนางอีกแล้ว?
เหยาซูคิดอย่างรวดเร็วว่าควรใช้เหตุผลอะไรเพื่อให้ผ่านพ้นสถานการณ์นี้ไปได้ หลินเหราสังเกตว่ามีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยที่ม่านตาของนางจึงรู้ว่านางกำลังตอบสนองต่อคำพูดของตัวเอง เขาจึงเป็นฝ่ายช่วยนางแก้ปัญหา
“ข้าแข็งแรงกว่าแต่ก่อน ขนาดจึงเปลี่ยนไป”
เขาไม่ได้ถามเหยาซูว่าเหตุใดนางถึงไม่รู้ขนาดของเขา เช่นเดียวกับที่เขาไม่ได้ถามในวันนั้นว่าทำไมถุงเงินใบเล็กถึงต้องปักในฤดูหนาว และปักลายกล้วยไม้ที่นางไม่ชอบมาตลอด
ในใจของเหยาซูค่อนข้างสับสน นางยืดตัวไปหยิบไม้บรรทัดมาเพื่อสงบสติอารมณ์ก่อนจะปรับเปลี่ยนสีหน้า
เมื่อนางหันหน้ากลับมาสีหน้าของนางก็เป็นปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น นางพูดกับหลินเหราว่า “หากเช่นนั้นก็วัดอีกสักเล็กน้อยก็เพียงพอแล้ว”
หลังจากพูดจบเหยาซูก็ดึงไม้บรรทัดออกมาและเริ่มวัดไหล่ของหลินเหรา นางขยับเข้าไปใกล้เขา นิ้วขาวเนียนของนางจับแถบผ้าสีเข้มและค่อย ๆ ทาบบนไหล่ของเขา ดึงความยาวออกและเปรียบเทียบแขนของนาง หลังจากนั้นนางก็มองไปที่หน่วยวัดที่วัดได้
ถัดไปก็คือการวัดหน้าอก หลินเหรายกแขนขึ้นโดยไม่รู้ตัวเมื่อเห็นว่านางเข้ามาใกล้มากขึ้น จากนั้นนางก็โอบกอดร่างท่อนบนของเขาด้วยสองมือ…
ปลายจมูกของหลินเหราสัมผัสถูกผมสีดำเนียนนุ่ม ทันใดนั้นเขารู้สึกเหมือนได้กลิ่นที่คุ้นเคยซึ่งทำให้เขารู้สึกสบายใจยิ่งนัก
ผ้าห่มและหมอนในบ้านก็ให้ความรู้สึกถึงกลิ่นอ่อน ๆ เช่นนี้เหมือนกัน
น่าเสียดายที่นี่เป็นเพียงอ้อมกอดชั่วคราว หลังจากวัดรอบอกเสร็จ เหยาซูก็ถอยหลังไปหนึ่งก้าวและก้าวกลับมายังตำแหน่งเดิม
นางวางไม้บรรทัดบนไหล่ของหลินเหราอีกครั้ง ตั้งใจจะวัดความกว้างของไหล่อีกครั้ง ทว่าพอเห็นเขาจ้องมองหน้าตัวเองโดยไม่กะพริบตา สีหน้าของนางก็หนักอึ้งเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
“ท่านมองหน้าข้าแบบนี้ทำไม นี่ไม่ใช่วันแรกที่เราพบกันเสียหน่อย”
ดวงตาของนางชัดเจนและสดใสเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน เสียงของชายหนุ่มแหบพร่าเล็กน้อย ก่อนเอ่ยพึมพำว่า “สมแล้วที่ตั้งชื่อให้กับซานเป่าว่า ‘หลินเซิน’ อาซู ดวงตาของเจ้าช่างงดงามเหมือนกวาง”
หัวใจของเหยาซูเต้นรัว นางเกือบถือไม้บรรทัดในมือไม่อยู่และรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าเป็นคำนี้”
หลินเหราเองก็กลับมามีสติอีกครั้ง
แม้จะไม่เข้าใจว่าเหตุใดเหยาซูถึงประหลาดใจเพียงนี้แต่ก็ยังคงอธิบายให้นางฟัง “เอ้อเป่าบอกว่าชื่อน้องชายของนางนั้นมาจากคำว่า ‘หลินเซิน’ ที่แปลว่ากวาง ข้าจำได้”
เหยาซูส่งเสียง ‘อือ’ ออกมาแล้วเริ่มวัดไหล่ของเขาต่อ นางลืมไปว่านางเคยพูดประโยคนี้กับเอ้อเป่าไปแล้ว เกือบคิดว่าเขาเข้าใจความลับของนางในวันนั้นเสียแล้ว
นางรู้ว่าวันที่นางตั้งชื่อให้ซานเป่า ตอนที่มองดูเขาหัวใจนางเต้นระรัวราวกับกวางน้อย
“เอาละวัดเสร็จแล้ว” นางกระแอมเบา ๆ เพื่อปกปิดอารมณ์แล้วเก็บไม้บรรทัด “รูปร่างของท่านกับพี่ใหญ่ไม่ต่างกันนัก ซื้อเหมือนกับที่เขาใส่ในวันธรรมดาก็แล้วกัน”
หลินเหราไม่ได้คัดค้านอะไร เขาเคยชินกับความุกข์ยากมาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยเรียกร้องอะไรเกี่ยวกับการกินหรือเสื้อผ้าเลย กลับรู้สึกว่าเหยาซูใส่เสื้อผ้าอะไรก็จะสวยไปหมด ควรซื้อให้นางเพิ่มอีกสักสองสามชุด
ทว่าเงินทั้งหมดของเขาถูกมอบให้กับแม่เฒ่าตระกูลหลินไปแล้ว หลินเหราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากคิดที่จะวางแผนหาเงินในอนาคตให้เร็วที่สุด
เหยาซูเลือกเสื้อผ้าให้กับหลินเหรา กล่าวกับเถ้าแก่เนี้ยเซวียอีกสองสามประโยค ก่อนจะจากไปเถ้าแก่เซวียยังหยิบเสื้อคลุมสีขาวออกมาและมอบให้กับหลินเหรา
เมื่อเหยาซูเห็นก็รู้สึกตะลึงงันไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยปากปฏิเสธอย่างอ้อมค้อม “ปกติแล้วหลินเหราไม่ค่อยใส่เสื้อผ้าสีอ่อน”
เถ้าแก่เนี้ยเซวียมองไปยังใบหน้าของหลินเหราด้วยสีหน้ายากจะคาดเดา “ข้ารู้สึกว่าคุณชายหลินใส่ชุดนี้น่าจะเหมาะสมกว่า”
เมื่อเป็นเช่นนั้น เหยาซูจึงปฏิเสธไม่ลงและเก็บเสื้อผ้าพร้อมกับกล่าวคำอำลา
ขณะที่เดินออกจากตลาดฝั่งเหนือ เหยาซูก็เอ่ยขึ้นมา
“เถ้าแก่เนี้ยเซวียเป็นคนดีมาก คิดไม่ถึงว่าเราซื้อเสื้อผ้ามาแค่สี่ชุดเท่านั้น นางยังส่งให้อีกชุดหนึ่งด้วย”
หลินเหราเฉียบคมกว่าเหยาซูมาก เขาจึงพูดขึ้นมาว่า “ข้ารู้สึกว่านางมองข้าราวกับเคยรู้จักกันมาก่อน”
เหยาซูอึ้งไปก่อนแย้มยิ้ม “พี่เซวียเคยเจอคนมากมายที่เดินทางไปทางใต้จรดเหนือ บางทีท่านอาจจะดูคล้ายใครบางคนที่นางเคยพบเห็นมาก่อนก็เป็นได้”
นางไม่สนใจเรื่องนี้ หลินเหราจึงไม่หยิบมาพูดอีก ทั้งสองคนเดินเตร็ดเตร่ไปพลางพูดคุยไปพลาง
เมื่อเดินผ่านร้านแผงลอย หลินเหราหยุดเดินเป็นครั้งคราว และกวาดสายตามองของที่อยู่บนแผงลอยอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้เหยาซูสังเกตเห็น
จนกระทั่งทั้งสองเดินมาถึงร้านขายปิ่นปักผม เจ้าของร้านเป็นชายชราคนหนึ่ง บนแผงขายปิ่นปักผมไม่มากนัก มีเพียงสี่ห้าชิ้นล้วนแต่เป็นเงิน อีกด้านแกะสลักด้วยลวดลายประณีต ด้านนึงขัดอย่างคมกริบ
เมื่อหลินเหราเห็นแผงลอยนี้ เขาก็หยุดเดินทันที
………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
อย่าโป๊ะนะอาซู อาเหราเป็นผู้ชายเงียบๆ เหมือนไม่คิดอะไรแต่ในใจคิดไปร้อยแปดพันเก้าแล้ว
ตอนนี้ช่างหวานเหลือเกินค่ะ
ไหหม่า(海馬)