ตอนที่ 10-1 พี่ใหญ่

เรือนร่างอันแสนจะบอบบางได้ปรากฎขึ้น เละกำลังเดินเข้ามาหาพวกนางด้วยท่าทีอันสง่างาม

นางมีดวงตาที่ดำเป็นประกายพร่างพราวคู่งาม ซึ่งมีขนตาที่งอนยาวเป็นแพ และหนา

ชุดที่สวมใส่มีสีเขียวอ่อน ซึ่งมีลายดอกบีโกเนียปักอยู่บนกระโปรง และกำลังส่องแสงระยิบระยับ เนื่องจากสะท้อนกับแสงแดดในยามบ่าย

สายคาดเอวโปร่งแสงถูกผูกเอาไว้รอบเอวเรียวบางนั้น ซึ่งเน้นให้เห็นรูปร่างที่เล็กกะทัดรัด ทำให้ดูเรียวเล็กราวกับต้นหลิว

แต่ยังคงมีความสง่างาม ดั่งนกคีรีบูนที่กำลังโบยบินอยู่ท่ามกลางสายลม

ทรงผมของหญิงสาวผู้นี้เรียบง่ายประดับด้วยปิ่นสีทองประดับมุก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ช่วยเน้นคุณสมบัติที่นุ่มนวล และมีเสน่ห์ของนาง

สิ่งเหล่านี้ช่วยทำให้จางเล่อดูอ่อนเยาว์ และสง่างามอย่างเป็นธรรมชาติ

ภายใต้ท้องฟ้าสีคราม นางเดินก้าวมาข้างหน้าอย่างใจเย็น พร้อมกับรอยยิ้มที่หวานสดใส

มันทำให้ทุกคนมีความรู้สึกราวกับว่า บริเวณตรงหน้านี้ มีดอกไม้นับพันกำลังเบ่งบานเหมือนกับในฤดูใบไม้ผลิ

เช่นเดียวกับดวงจันทร์ที่ส่องแสงในยามราตรีกลางฤดูใบไม้ร่วง

เสียงเพลงอันไพเราะที่ดูเหมือนจะดังมาจากทุกทิศทางขณะที่นกกระเรียนโบกบินไปบริเวณโดยรอบ ทำให้ทุกคนสูญเสียจิตวิญญาณไปชั่วขณะ

นี่คือสิ่งที่สามารถดึงดูดใจผู้คนของคุณหนูใหญ่ หลี่จางเล่อ มิมีผู้ใดจะสามารถรอดพ้นจากเสน่ห์เย้ายวนนี้ไปได้

หลี่เว่ยหยางจ้องมองนาง ด้วยสายตาที่มีนัยยะอันลึกซึ้งของความเศร้าโศก

มิน่าแปลกใจเลยแม้แต่น้อย ที่นางต้องพ่ายแพ้ใหักับหลี่จางเล่อ

ความงดงามเช่นนี้ น้ำเสียงที่นุ่มนวลและอ่อนหวานเช่นนี้ ชายใดที่ได้พบเห็น คงจะต้องหลงใหลทุกรายไป

หลี่เว่ยหยางเป็นผู้หญิงชาวบ้านธรรมดา เมื่อมีผู้ใดสักคนมาตกหลุมรักนาง หวังเพียงว่า เขาผู้นั้นจะรักในทุกสิ่งที่นางเป็น

แปดปีของการเป็นสามีภรรยากับทัวเป่าเจิ้น! พวกเขาอยู่ด้วยกันมาแปดปี

นางกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า ได้มอบทุกสิ่งทุกอย่างให้ไปแล้ว ทั้งหัวใจและวิญญาณ

แม้ว่าทุกคนบนโลกใบนี้จะเกลียดชังเขา แต่นางก็จะเป็นผู้ที่ปกป้องและรักเขาจนถึงจุดที่มิใส่ใจในชีวิตของตนเอง

ตลอดแปดปีที่ได้แสดงความเมตตาต่อผู้ที่ท่านมิได้รัก

แม้ว่ามันจะเป็นแปดวัน มันก็เหนื่อยมาก แล้วนับประสาอะไรกับแปดปี!

เป็นผลให้ เว่ยหยางต้องปรบมือให้กับทัวเป่าเจิ้น ในฐานะนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ที่เขาสามารถสวมบทบาทนี้ได้นานถึงแปดปี

อดทนจนถึงช่วงเวลาที่เขาได้กลายเป็นจักรพรรดิ จากนั้นจึงได้รู้ว่า ผู้ที่เขาต้องการตั้งแต่แรกนั้นก็คือ หลี่จางเล่อ

แต่หากจะคิดในแง่ของเหตุผล ก็ดูเหมือนจะถูกต้องแล้ว

เมื่อเทียบนางกับคุณหนูใหญ่ของตระกูลหลี่แล้ว ความแตกต่างนั้น ช่างเหมือนกับสวรรค์และนรก

หลี่เว่ยหยางตระหนักดีว่า แม้จะเคยมีชีวิตอยู่มาเกือบจะครึ่งชีวิตแล้ว

แต่นางก็ยังเป็นเพียงแค่ตัวประกอบในเรื่อง ช่างน่าหัวเราะเยาะ และน่าสมเพชยิ่งนัก

“ฉางซี เจ้ากล่าวเช่นนั้นกับเว่ยหยางได้อย่างไร?” หลี่จางเล่อขมวดคิ้วพร้อมกับมองไปยังหลี่ฉางซี

การแสดงออกของคุณหนูใหญ่นั้นเต็มไปด้วยความมิพอใจ

หลี่ฉางซี ซึ่งกำลังแสดงท่าทีข่มขู่ จึงรีบเปลี่ยนท่าทีในทันที

คุณหนูห้าเดินเข้าไปหาหลี่จางเล่อ และจับแขนของผู้เป็นพี่สาวแกว่งไปมา แสดงถึงการออดอ้อน

“พี่ใหญ่ ข้าเพียงแค่ล้อเล่นกับพี่สามเท่านั้นเอง ได้โปรดอย่าบอกกล่าวเรื่องนี้กับท่านแม่ มิเช่นนั้นข้าต้องโดนดุด่าแน่!”

ดวงตาอันงดงามของหลี่จางเล่อจ้องมองไปยังใบหน้าของหลี่เว่ยหยาง พร้อมกับยิ้มและกล่าวว่า

“นั่นขึ้นอยู่กับว่า พี่สามของเจ้าจะให้อภัยหรือไม่

หากนางมิเก็บมาใส่ใจ ข้าก็จะละเว้นเจ้าสักครั้ง แต่หากนางมิให้อภัย ข้าก็ช่วยอันใดมิได้”

จากนั้นหลี่ฉางซีจึงจ้องมองไปยังเว่ยหยางด้วยอารมณ์ที่มิค่อยพึงพอใจ

และได้เห็นหลี่เว่ยหยางหัวเราะออกมาอย่างเย็นชาจากภายใน แต่บนใบหน้าของนางกลับมีรอยยิ้ม

“พี่ใหญ่มิต้องกังวลใจ เป็นเรื่องจริงที่น้องห้าแค่เพียงล้อเล่นกับข้าเท่านั้น”

หลี่จางเล่อจึงพยักหน้า

“นั่นก็ดีแล้ว ฉางซีไปขอโทษพี่สามของเจ้าเดี๋ยวนี้”

หลี่จางเล่อก็ยังคงเป็นหลี่จางเล่ออยู่วันยังค่ำ

นางได้แสดงบทบาทของผู้ที่รักความยุติธรรมมาโดยตลอด มักมีท่าทีเมตตากรุณา มีความยุติธรรม มีความเห็นอกเห็นใจ และเข้าถึงได้ง่าย

ในชาติที่แล้ว การกระทำเช่นนี้สามารถหลอกลวงเว่ยหยางให้เชื่อใจจางเล่อ

แต่สุดท้ายแล้ว เว่ยหยางก็เป็นผู้ที่ถูกแทงข้างหลัง

และคนที่แทงนางที่หลังก็คือ พี่สาวที่แสนดี และมีเมตตาผู้นี้นี่เอง

เมื่อเปรียบเทียบกับหลี่จางเล่อแล้ว หลี่ฉางซีมีความหยิ่งผยองมากกว่า

ด้วยความรู้สึกของอัตตาตัวตนที่สูงลิบลิ่ว วิธีที่นางใช้สถานะข่มขู่ และดูหมิ่นผู้อื่นนั้น มากกว่าจางเล่อถึงสิบเท่าเลยทีเดียว

ในดวงตาของหลี่เว่ยหยางมีความคับแค้นใจฉายออกมา และมันหายไปเร็วที่สุด จนมิมีผู้อื่นสามารถสังเกตเห็นมันได้

หลี่ฉางซี ซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง กล่าวอย่างเย็นชาว่า

“พี่สาม ข้าขอโทษ!”

เมื่อนางกล่าวคำสองคำคือ ‘พี่ สาม’ นางพยายามเน้นย้ำในลักษณะที่ทำให้ดูเหมือนกับว่า กำลังกัดฟันแน่น

หลี่เว่ยหยางแสดงออกด้วยความอ่อนโยน และยิ้มกว้างออกมา

“มิเป็นไรน้องห้า”