ตอนที่ 89 ไม่สับมันหรือจะให้สับเจ้า?
แม้ภายในใจจะเปี่ยมล้นด้วยความประหลาดใจ แต่หญิงชราผู้นั้นก็ยังเดินไปด้านหลังอย่างเชื่อฟัง เพียงครู่หนึ่ง ก็นำกริชมามอบให้อวี้ชิงลั่วหนึ่งเล่ม
ครั้นวางกริชไว้ในมือ อวี้ชิงลั่วก็ชักออกมาด้วยความพึงพอใจ
ปลายกริชที่แหลมคม ภายใต้แสงสว่างยิ่งดูเย็นเยียบ ทำให้คนที่เห็นถึงกับเกิดความหนาวเหน็บ
หลิ่วเซียงเซียงเห็นนางชักกริช จึงถอยหลังออกไปสองสามก้าวโดยไม่รู้ตัว ริมฝีปากสั่นระริกเบา ๆ “เจ้า เจ้าคิดจะทำอะไร? ข้าบอกเจ้าไว้ก่อนนะ หากเจ้ากล้าทำเรื่องฆาตกรรมที่นี่ เจ้าเองก็ไม่รอดเช่นกัน”
“ฆาตกรรม?” อวี้ชิงลั่วเลิกคิ้ว พูดด้วยรอยยิ้มว่า “อย่ามาขู่ให้ข้ากลัวเลย ข้ามิอาจห้ามความกลัวได้เสียด้วยสิ หากทนไม่ไหวขึ้นมา ลงมีดกับคนขึ้นมาจริง ๆ จะทำเช่นไร?”
“เจ้ากล้า?” หลิ่วเซียงเซียงเบิกตาโต ถลึงมองนางด้วยสายตาชั่วร้าย
“ไม่กล้า” อวี้ชิงลั่วส่ายหน้า ก่อนจะยิ้มอีกครั้ง จากนั้นเสียง ‘ฟึ่บ’ ก็ดังขึ้น แส้ถูกดึงเป็นเส้นตรง กางไว้บนโต๊ะที่อยู่ข้าง ๆ
จากนั้นนางก็สับกริชในมือลง แส้ที่มีความประณีตเส้นนั้นถูกสับออกเป็นสองท่อน….สามท่อน…สี่ท่อน…ห้าท่อน…ภายในชั่วพริบตา
“กรี๊ด กรี๊ด กรี๊ดดด…” ขณะเศษแส้หล่นลงพื้นทีละท่อน รูม่านตาของหลิ่วเซียงเซียงก็ค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้นพร้อมกับมือกุมศีรษะและกรีดร้องออกมา
ทุกคนที่อยู่ภายในห้องโถงถึงกับตกตะลึง มองอวี้ชิงลั่วที่สับแส้เป็นท่อน ๆ จำนวนนับไม่ถ้วนราวกับหั่นผักอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง ในส่วนของด้ามจับถูกโยนออกไปด้านนอกประตู
เผิงอิงที่ลูกสมุนรายงานให้รีบกลับมาเกือบถูกของชิ้นนั้นกระแทกเข้าใส่ โชคดีที่เขามีฝีมือปราดเปรียวจึงรีบเบี่ยงตัวหลบด้านข้าง
ตอนที่เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ก็ได้ยินอวี้ชิงลั่วกำลังเดาะลิ้นชื่นชมกริชที่อยู่ในมือ “มีดดีนะ”
ขาซ้ายของเผิงอิงที่เดิมทีกำลังจะก้าวเข้าไปด้านในค่อย ๆ ดึงกลับมา เมื่อเห็นสถานการณ์ตึงเครียดภายในห้องรับรอง จึงครุ่นคิดอย่างเงียบ ๆ สองวินาที และตัดสินใจถอยออกมา ไม่เข้าไปอยู่ท่ามกลางพายุมรสุม
มีแม่นางอวี้อยู่ คง…ไม่เสียเปรียบหรอกกระมัง
ถึงอย่างไรหลิ่วเซียงเซียงก็เป็นสตรี สตรีก็ต้องให้สตรีเป็นคนจัดการ เขาเองก็นับว่ารู้ทันเหตุการณ์ รอดูอย่างเชื่อฟังก็แล้วกัน
“กรี๊ด…” เสียงกรีดร้องของหลิ่วเซียงเซียงดังอยู่นานกว่าจะหยุดลง นางมองแส้ของตัวเองที่เปลี่ยนเป็นเศษสวะอย่างสมบูรณ์ราวกับไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเงยหน้าขึ้นอย่างฉับพลัน ถลึงมองอวี้ชิงลั่วด้วยสายตาเหี้ยมเกรียม แค่นเสียงออกมาจากปากทีละคำ “เจ้ากล้ามากนะ ถึงได้กล้าหั่นแส้ของข้าจนขาด นี่เป็นของขวัญวันเกิดที่ท่านพ่อมอบให้ข้า เจ้ากลับกล้าหั่นมัน?”
สายตาของอวี้ชิงลั่วที่กำลังตรวจสอบคมมีดค่อย ๆ ดึงกลับมา เหลือบมองไปที่พื้นปราดหนึ่งอย่างเงียบ ๆ ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ที่แท้นี่ก็เป็นของขวัญวันเกิดของเจ้านี่เอง มีความสำคัญมากด้วย ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ ใครใช้ให้มันมาทำร้ายสาวใช้และหญิงชราในจวนของข้ากันล่ะ? ข้าก็ต้องช่วยระบายโทสะให้พวกนางสิถึงจะถูก”
“คนที่ฟาดพวกนางคือข้า เกี่ยวอะไรกับแส้ของข้ามิทราบ?”
อวี้ชิงลั่วเบิกตาโตทันใด นางพูดราวกับไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “ความหมายของเจ้าก็คือ ข้าควรจะสับเจ้าเพื่อระบายความโกรธแทนสาวใช้และหญิงชราในจวนของพวกเราหรือ? เรื่องนี้…” นางมองกริชในมือปราดหนึ่ง ก่อนจะวัดขนาดของหลิ่วเซียงเซียง พูดด้วยความลำบากใจว่า “แต่ว่ากริชเล่มนี้เล็กเกินไป หากให้สับเจ้าดูเหมือนว่าคงมิอาจสับให้ขาดได้ภายในอึดใจเดียวน่ะสิ อืม…แม่เฒ่าฟาง ช่วยไปเปลี่ยนมีดที่ใหญ่ขึ้นหน่อยเถอะ ทางที่ดีที่สุดขอแบบที่สามารถสับหัวคนได้ภายในครั้งเดียวนะ”
พูดจบ นางก็ยื่นกริชในมือไปให้หญิงชราที่อยู่ข้าง ๆ
แม่เฒ่าฟางถึงกับชะงักงัน เมื่อได้ถือกริชเล่มนั้นก็ดูราวกับกำลังถือเผือกร้อน ตัวสั่นระริกเท้าไม่ขยับเขยื้อน
นางคิดไม่ถึงเลยว่าแม่นางอวี้จะถามถึงกริชเพราะต้องการทำลายแส้ของหลิ่วเซียงเซียง นางคิดว่าการปรากฏตัวของแม่นางอวี้ คาดว่าคงทำให้หลิ่วเซียงเซียงกลับไป คิดไม่ถึงเลยว่านางจะไม่เห็นหลิ่วเซียงเซียงอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย ทั้งยังข่มขู่อย่างทรงพลังว่าจะระบายความโกรธให้พวกนาง
นี่…นี่มัน…หากเกิดปัญหาจนถึงชีวิตขึ้นมาจริง ๆ จะทำเช่นไร? พวกนางจะอธิบายกับนายท่านอย่างไร?
หลิ่วเซียงเซียงเกิดความสงสัยว่าตนเองหูแว่วไป สตรีผู้นี้มีความกล้าหาญถึงขั้นคิดจะจัดการกับนาง?
ไม่มีทาง เมืองหลวงแห่งนี้ นอกจากเชื้อพระวงศ์เหล่านั้นแล้ว ใครจะกล้าสร้างความขุ่นเคืองให้นาง? ทั้งยังคิดจะใช้มีดสับนางอีก
อีกอย่าง อวี้ชิงลั่วก็หั่นแส้ของนางจนขาดแม้แต่ขอโทษก็ยังไม่ปริปากเอ่ย แส้เส้นนั้นเป็นของที่ท่านพ่อมอบให้ เป็นของที่นางชอบและรักมากที่สุด สตรีผู้นี้สับของของนาง เช่นนั้นก็อย่าหาว่านางไม่เกรงใจ
หลิ่วเซียงเซียงยิ้มด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น ตะโกนกับคนที่อยู่ด้านนอกประตูโดยพลัน “พวกเจ้ายืนทำอะไรด้านนอกประตู? จับตัวสตรีผู้นี้ให้ข้า ข้าจะฝังนางพร้อมกับแส้ของข้า”
เสียงของนางทั้งโหดเหี้ยมและป่าเถื่อน คนรับใช้ของจวนถึงกับตกใจจนสะดุ้งโหยง หลิ่วเซียงเซียงเป็นใครพวกนางย่อมทราบดีกว่าอวี้ชิงลั่ว ก่อนหน้านี้สตรีผู้นี้เห็นชีวิตของมนุษย์เป็นดั่งของเล่น แอบข่มเหงผู้อื่นไปไม่รู้ตั้งเท่าไร ทว่าเว่ยหยวนโหวบิดาของนางก็ยังพะเน้าพะนอนางอยู่ตลอด มีคนคอยคุ้มกันอยู่ ใครก็ทำอะไรนางไม่ได้
บัดนี้ กลับคิดจะลงไม้ลงมือภายในจวนแห่งนี้
คนรับใช้ของจวนอยากช่วยเหลืออวี้ชิงลั่ว แต่ความเร็วก็ยังสู้ลูกสมุนเหล่านั้นของหลิ่วเซียงเซียงที่ยืนอยู่หน้าประตูไม่ได้
ครั้นหลิ่วเซียงเซียงออกคำสั่ง เหล่าผู้คุ้มกันที่เป็นลูกสมุนกลุ่มใหญ่ที่นางพามาด้วยก็วิ่งเข้ามาด้วยความโกรธเคือง แต่ละคนพุ่งเข้าใส่อวี้ชิงลั่วเพื่อที่จะลงมือกับนาง
ช่างน่าเสียดาย ยังไม่ทันได้เข้าใกล้อวี้ชิงลั่ว ก็ถูกขัดกลางทางเสียแล้ว
จินหลิวหลีลงมืออย่างไร้ความปรานี แส้ในมือเกิดเสียงดัง แม้ว่าหนามของแส้เส้นนั้นจะถูกนางเก็บกลับไปแล้ว แต่เมื่อนำมาฟาดกลับไม่ได้มีความคลุมเครือแม้แต่น้อย คนรับใช้ที่วิ่งนำอยู่ด้านหน้าสุดเหล่านั้นชนเข้ากับเก้าอี้และโต๊ะในเวลาอันรวดเร็ว ก่อนจะนอนแผ่หลาอยู่บนพื้นภายในห้องรับรองขนาดใหญ่
หลิ่วเซียงเซียงถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก สตรีที่ใช้แส้ผู้นี้แตกต่างจากนางอย่างสิ้นเชิง ฝีมือนั้นยอดเยี่ยมขั้นสุด นางยังเห็นไม่ชัดเจน แส้ของอีกฝ่ายก็ถูกฟาดออกไปและดึงกลับมาแล้ว
หลิ่วเซียงเซียงยิ่งโกรธเคือง นางตะโกนใส่ผู้คุ้มกันที่กำลังประหลาดใจเหล่านั้น “ยังจะเหม่ออะไรอีก? พวกเจ้ามีคนเยอะขนาดนี้ หรือว่ายังสู้สตรีเพียงคนเดียวไม่ได้? จวนของเราเลี้ยงดูสวะแบบพวกเจ้าไว้จะไปมีประโยชน์อะไรกัน ร่วมมือกันจัดการมันสิ”
แม้ว่าผู้คุ้มกันเหล่านั้นจะกลัวแส้ที่อยู่ในมือของจินหลิวหลี แต่ก็เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบ ไม่สามารถถอยหลังได้ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงพุ่งตัวเข้าไปใหม่อีกหน
พวกเขาแตกต่างจากคนรับใช้ธรรมดา ตรงที่พวกเขาเหล่านี้ได้ผ่านการฝึกฝนมาแล้ว ฝีมือไม่ได้ถึงขั้นแนวหน้าแต่ก็สามารถรับมือกับได้สามสี่กระบวนท่าอย่างสบาย ๆ
ดวงตาของจินหลิวหลีเป็นประกายเล็กน้อย เรื่องการทะเลาะวิวาทเป็นเรื่องที่นางชอบที่สุด นางเก็บแส้กลับเข้าไป สถานที่แห่งนี้มีขนาดเล็ก ใช้แส้ไม่ค่อยราบรื่นเอาเสียเลย นางจึงใช้วิธีเตะและต่อยแบบตรง ๆ
ขอแค่ไม่ให้คนเหล่านี้เข้ามาจัดการอวี้ชิงลั่วได้ก็พอแล้ว
หลิ่วเซียงเซียงร้อนใจแทบแย่แล้ว ผู้คุ้มกันเหล่านี้เป็นคนที่ท่านพ่อของนางเหลือไว้ให้คุ้มกันนาง คิดไม่ถึงเลยว่ามากับนางมากขนาดนี้ แต่กลับมิอาจสัมผัสได้แม้กระทั่งชายเสื้อของอวี้ชิงลั่ว
นางขบฟันกรอด หันไปถลึงมองอวี้ชิงลั่วด้วยท่าทีดุร้าย กลับพบว่าอีกฝ่ายกำลังดื่มน้ำชาสบายใจเฉิบ ราวกับว่าไม่ได้สังเกตเห็นนาง
ดวงตาหรี่ลง นางปรี่ตัวเข้าหาอวี้ชิงลั่วในทันที
อีกฝ่ายกำลังดื่มน้ำชา ขอบถ้วยแอบซ่อนรอยยิ้มที่มุมปากของนาง แค่นเสียงเบา ๆ ‘ไม่รู้จักประมาณตนเองเอาเสียเลย’
อย่างไรก็ตาม วินาทีต่อมาหางตาของนางกลับพบว่าแม่เฒ่าฟางที่ยืนข้างนางตลอดเวลาไม่ยอมไปไหน กำลังถือกริชไว้ในมือและเล็งเป้าไปที่หลิ่วเซียงเซียงที่กำลังพุ่งตัวเข้ามาด้วยใบหน้าที่แน่วแน่
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เล่นงานผิดคนแล้วนังคุณหนูหลิ่ว อย่าให้ชิงลั่วใช้ท่าไม้ตายนะ
ไหหม่า(海馬)