ตอนที่ 398 – ตกลง
โม่เทียนเกอถอนหายใจยาว ตบไหล่ของเนี่ยอู๋ชาง พูดไม่ออก
รู้แต่แรกว่าเนี่ยอู๋ชางจะต้องมีเรื่องปวดใจ แต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเช่นนี้
บุรุษที่เดิมควรจะเป็นบิดาของนางทั้งเลี้ยงดูนางและทรมานนาง เอาความแค้นที่มีต่อมารดานางมาแก้แค้นบนตัวนาง นางไม่เคยเห็นมารดา แม้แต่ความรักอย่างเด็ก ๆ ที่เด็กซึ่งสูญเสียมารดาคนหนึ่งควรจะมีก็ยังไม่มี หนึ่งร้อยกว่าปีที่มีชีวิต ไม่มีอิสรภาพ ไม่มีความหวัง แม้กระทั่งความคิดจิตใจล้วนไม่มี
นี่เป็นชีวิตเช่นไรกัน โม่เทียนเกอรู้สึกว่ายากจะจินตนาการ ถ้าหากว่านางเคยมีความขุ่นเคืองนิดหน่อยต่อเนี่ยอู๋ชาง ขณะนี้ก็หายไปไม่เหลือร่องรอยแล้ว มิใช่เพราะเห็นใจ ทว่าเป็นเพราะถึงนางจะเคยมีส่วนที่ทำให้ตนเองไม่ชอบใจมันก็มิใช่จิตใจดั้งเดิมเลย
นางนึกได้ว่า เนี่ยอู๋ชางเคยพูดว่า สาเหตุที่นางสามารถเลื่อนระดับรวดเร็วขนาดนี้เป็นเพราะซงเฟิงซ่างเหรินใช้ปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มทะลวงชีพจรปราณของนาง และปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มนี้ทุก ๆ ระยะหนึ่งก็จะปะทุขึ้น ตอนที่ปะทุ นางมีชีวิตไม่สู้ตกตาย หรือว่านี่ก็เป็นหนึ่งในวิธีการทรมาน?
“ปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มของท่าน ช่วงนี้ยังปะทุไหม”
น้ำเสียงที่เจือความห่วงใยทำให้เนี่ยอู๋ชางเหม่อลอย นางเอ่ยว่า “ตั้งแต่เลื่อนขึ้นก่อเกิดตานขั้นกลางจนถึงวันนี้ยังไม่เคยปะทุเลย ตัวข้ารู้สึกว่า พลังวิญญาณตอนที่เลื่อนระดับสะกดปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มในชีพจรปราณเอาไว้ คาดว่าช่วงนี้จะไม่ปะทุ”
“เช่นนั้นก็ดี”
เนี่ยอู๋ชางทอดมองนาง อยากพูดแต่ลังเล
โม่เทียนเกอเห็นแล้วเอ่ยอย่างอยากรู้ว่า “ทำไมหรือ”
เนี่ยอู๋ชางลังเลครึ่งค่อนวัน สุดท้ายถามว่า “ท่าน……นับข้าเป็นสหายไหม”
โม่เทียนเกอเลิกคิ้วถามยิ้ม ๆ ว่า “ไม่เช่นนั้นข้าจะร่วมทางกับท่านเพื่ออันใดเล่า”
เนี่ยอู๋ชางเงียบไปครึ่งค่อนวัน ไม่ปริปากเลย
ผ่านไปเนิ่นนาน โม่เทียนเกอจึงได้ยินนางถอนหายใจคำหนึ่ง “ข้ายังนึกว่า……บุตรผยองแห่งสวรรค์อย่างท่านจะไม่เห็นคนอย่างข้าอยู่ในสายตาเสียอีก แล้วก็จะไม่เข้าใจ……”
ที่แท้นางในสายตาของเนี่ยอู๋ชางมีภาพพจน์อย่างนี้หรือ โม่เทียนเกอหลุดหัวเราะ เอ่ยว่า “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าเป็นบุตรผยองแห่งสวรรค์ตั้งแต่เริ่มแรก”
เนี่ยอู๋ชางตะลึง กล่าวว่า “ตอนที่ข้าเห็นท่านครั้งแรก ท่านยังเพียงมีระดับสร้างฐานพลัง เวลานั้นก็เป็นศิษย์ชั้นในของประมุขเต๋าจิ้งเหอแล้ว จะไม่ใช่ได้อย่างไร”
โม่เทียนเกอถอนหายใจ เอ่ยว่า “ก่อนสร้างฐานพลังเล่า ข้าตอนยี่สิบปีจึงเข้าโรงเรียนเสวียนชิง ในเวลานั้นเป็นหลอมรวมพลังวิญญาณสิบชั้นแล้ว”
“ยี่สิบปีก็หลอมรวมพลังวิญญาณสิบชั้นแล้ว ความเร็วในการฝึกตนอย่างนี้ ในศิษย์ชั้นนำสำนักใหญ่ก็นับว่าโดดเด่นแล้วนะ”
“มิผิด” โม่เทียนเกอเอ่ย “แต่ตอนนั้น ข้าเป็นเพียงรากวิญญาณสวะห้าธาตุ เศษสวะที่ต้องอาศัยการกรอกยาจึงสามารถฝึกตน”
นางพูดอย่างเรียบเฉย เนี่ยอู๋ชางฟังจนตะลึงงัน “เป็นไปได้อย่างไร หากเป็นคุณสมบัติอย่างนี้ ท่านถูกประมุขเต๋าจิ้งเหอรับเป็นศิษย์ได้อย่างไร แล้วทำไมเยาว์วัยขนาดนี้ก็……”
โม่เทียนเกอยิ้ม กล่าวว่า “ข้ามีคุณสมบัติแปลกประหลาด ก่อนที่จะถูกซือฟุรับเข้าสำนัก ทุกผู้คน รวมถึงตัวข้าเองล้วนนึกว่าตนเองเป็นรากวิญญาณสวะ”
“อ้อ……” เนี่ยอู๋ชางไม่ได้ล้วงลึกจนเกินไป โลกของการฝึกเซียนมหัศจรรย์มาก มีเรื่องราวแปลกประหลาดมากมายอยู่เสมอ ถึงแม้นางเป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตานก็ไม่สามารถเข้าใจไปหมดทุกอย่าง
คิดเยี่ยงนี้แล้ว นางถามว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ยี่สิบปีนั้นท่านผ่านมาอย่างไรหรือ”
โม่เทียนเกอหลุบตา มองมือของตนเอง เริ่มพูดเรื่องราวหนหลังอย่างช้า ๆ ว่า “ข้าถือกำเนิดในโลกปุถุชน ก่อนเจ็ดขวบเป็นเพียงสตรีชนบททั่วไปคนหนึ่ง……”
บอกเล่าประสบการณ์วัยเยาว์ของตนเองอย่างคร่าว ๆ หนึ่งรอบ ปิดสิ่งที่ไม่สะดวกจะบอกคนอื่น รอจนพูดทุกอย่างจบก็เป็นครึ่งชั่วยามให้หลังแล้ว
หลังเนี่ยอู๋ชางฟังแล้วก็เงียบงันไปครึ่งค่อนวัน ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
ผ่านไปพักหนึ่ง นางจึงพ่นลมหายใจออกมา เอ่ยว่า “มิน่าเล่า มิน่าเล่าท่านกับศิษย์สำนักใหญ่เหล่านั้นจึงไม่เหมือนกันอย่างมาก ถึงขนาดที่มีบางส่วนทำให้ข้ารู้สึกคุ้นเคยมาก……”
โม่เทียนเกอยิ้มบาง “คิดไม่ถึงว่าบุตรผยองแห่งสวรรค์ในสายตาตนเองก็มีประสบการณ์อย่างนี้หรือ”
เนี่ยอู๋ชางมองนาง กล่าวอย่างจริงจังว่า “คิดไม่ถึงจริง ๆ ข้ายังนึกว่าท่านราบรื่นมาตลอดตั้งแต่เกิดเสียอีก……”
การนึกอย่างนี้ไม่ได้ประหลาดเลย ขอเพียงทราบศักดิ์ฐานะของนาง แล้วมาเห็นว่านางอายุน้อย ๆ ระดับการฝึกตนล้ำหน้า คนกว่าครึ่งจะมีความคิดอย่างนี้ อันที่จริง เดือนปีที่เร่ร่อนไร้หลักแหล่งช่วงนั้นในช่วงชีวิตฝึกเซียนอันแสนยาวนานเป็นเพียงหลายปีสั้น ๆ เวลาที่ฝึกตนยิ่งนานยิ่งไม่มีค่าให้เอ่ยถึง เพียงแค่ รอยประทับของชีวิตที่ทิ้งเอาไว้กลับหนักหนากว่าหลายสิบปีอันราบรื่นนี้มาก
เคยไม่ได้รับอะไรทั้งนั้น ดังนั้นหลังจากได้รับ นางรู้จักทะนุถนอม ในอดีตคนที่สำคัญในชีวิตจากไปทีละคน ดังนั้นจิตส่วนลึกค่อย ๆ แข็งแกร่ง สามารถเผชิญหน้ากับคลื่นลมเหล่านั้นอย่างสงบนิ่ง เทียบกับบุตรผยองแห่งสวรรค์อันแท้จริงเหล่านั้น นางประสบกับความเป็นความตายและจากลา สูญเสียและอยุติธรรมมากยิ่งกว่า ตอนที่เผชิญหน้ากับเรื่องราวในโลกจึงสามารถจิตใจเปิดกว้างยิ่งกว่า
“ดังนั้นแล้ว ตรงที่ท่านมองไม่เห็น คนอื่นก็กำลังสัมผัสกับชีวิตเหมือนอย่างท่าน ก็กำลังเติบโต ถึงแม้ว่าคนคนนั้นจะดูแล้วน่ารำคาญมาก”
“……” เนี่ยอู๋ชางมองนาง สีหน้าครุ่นคิด
“ทำไมทำสีหน้าอย่างนี้ล่ะ” โม่เทียนเกอแตะใบหน้าตนเอง
เนี่ยอู๋ชางถอนหายใจ เงยหน้ามองท้องฟ้า “ข้าดูเบาผู้ฝึกตนคนอื่นเกินไปจริง ๆ นึกเสมอว่าตนเองประสบการณ์ซับซ้อน ความตระหนักรู้ไม่เหมือนกับคนอื่น กลับไม่เคยคิดว่าประสบการณ์ของคนอื่นอาจจะซับซ้อนยิ่งกว่า”
โม่เทียนเกอหลุดหัวเราะ “ข้าไม่ได้โชคร้ายขนาดท่าน ถึงจะสูญเสียบิดามารดาแต่เด็ก แต่กลับไม่ขาดคนที่รักเอ็นดู”
“วาจาเป็นเช่นนี้ สิ่งที่ข้าคิดกลับไม่ทะลุปรุโปร่งเช่นท่าน” เนี่ยอู๋ชางก้มหน้ามองมือของตนเอง อาการบาดเจ็บของมือซ้ายยังไม่หาย ที่ที่ถูกน้ำดำกัดกร่อนยังทิ้งรอยสีดำเอาไว้ นางพันแผลใหม่อีกรอบ กำหมัดแน่น เงยหน้ากล่าวว่า “หลังเรื่องครั้งนี้สิ้นสุด ข้าตัดสินใจจะเดินทางไปทั่ว ๆ สัมผัสกับชีวิตของผู้ฝึกตนทั่วไป ท่านเล่า อยากจะไปกับข้าหรือไม่”
โม่เทียนเกอใคร่ครวญครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “ไว้ค่อยว่ากันเถอะ ข้าก็ตัดสินใจในตอนนี้ไม่ได้” นางมาถึงอวิ๋นจงต้องการจะท่องเที่ยวหาประสบการณ์ แต่ยังมีเป้าหมายที่สำคัญยิ่งกว่า จุดนี้กลับต้องดูหลังจากเจอหลิงอวิ๋นเฮ่อจึงจะสามารถยืนยัน
เนี่ยอู๋ชางไม่ได้ผิดหวัง ยิ้มบางเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ค่อยว่ากัน อย่างน้อยที่สุด ก่อนกลับเมืองเทียนเสวี่ย เราท่านยังสามารถกระทำการร่วมกันกระมัง”
“แน่นอน” โม่เทียนเกอยิ้มตอบ มองจากตอนนี้ เนี่ยอู๋ชางพฤติกรรมน่าเชื่อถือ ความแข็งแกร่งไม่สามัญ การร่วมมือกับนางเป็นเรื่องที่น่ายินดี
ทั้งสองคนพูดอย่างนี้จบแล้วก็เชิญหญิงรับใช้ให้ไปแจ้งเจ้าเมืองเหมย ไม่ทันไรเจ้าเมืองเหมยผู้นั้นก็ส่งคนเชิญพวกนางไปหา
“สหายน้อยทั้งสอง” ยังคงเป็นห้องโถงเล็กที่พบหน้าในตอนแรก เจ้าเมืองเหมยเดินเข้าประตูมาอย่างยิ้มแย้ม
โม่เทียนเกอและเนี่ยอู๋ชางล้วนลุกขึ้น กุมมือคารวะ “เจ้าเมืองเหมย”
เจ้าเมืองเหมยยิ้มบาง มือหนึ่งไพล่หลัง มือหนึ่งกดลงเป็นเชิงให้พวกนางนั่งลง
การกระทำนี้เป็นผู้ใหญ่ถึงสิบส่วน แต่เขาดันมีรูปลักษณ์เป็นเด็กหนุ่ม ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ ดูแล้วแปลกแยกเป็นพิเศษ
เจ้าเมืองเหมยนั่งในตำแหน่งเจ้าบ้าน สั่งคนให้นำชามา แล้วจึงยิ้มเอ่ยว่า “ฟังว่าสหายน้อยทั้งสองรับปากข้อเรียกร้องนี้ของเปิ่นจั้วแล้ว เปิ่นจั้วดีใจถึงสิบส่วน!”
โม่เทียนเกอได้ยินแล้วก็เลิกคิ้ว “ฟังว่ายังมีพวกพ้องก่อเกิดตานมากมายที่นี่ เจ้าเมืองเหมยเหตุใดเห็นความสำคัญพวกเราเยี่ยงนี้”
เจ้าเมืองเหมยมองพวกนาง ชี้ไปที่ศีรษะของตนเอง ยิ้มเอ่ยว่า “สัญชาตญาณ”
“สัญชาตญาณ?” เนี่ยอู๋ชางไม่เข้าใจ
“ฮา ๆ” สายตาของเจ้าเมืองเหมยตกลงบนร่างนาง ท่าทีเป็นมิตร “สหายเต๋าเทียนฉาน ในฐานะผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ ย่อมมีณานศักดิ์สิทธิ์อันวิเศษ อย่างเช่นการรับรู้ชะตาสวรรค์”
โม่เทียนเกอกลับยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ทราบเจ้าเมืองเหมยรับรู้ได้ถึงอะไรเล่า หรือจะรับรู้ว่าพวกเราสามารถผ่านด่าน”
“นี่กลับมิใช่ สัมผัสรับรู้มิใช่การทำนาย” เจ้าเมืองเหมยยิ้มกล่าว “เพียงแต่ว่า ข้าดูคำพูดการกระทำของสหายน้อยทั้งสอง บวกกับประสบการณ์อีกจำนวนหนึ่ง รู้สึกอยู่ตลอดว่าครั้งนี้หากมีคนสามารถผ่านด่าน ความน่าจะเป็นของสหายน้อยทั้งสองค่อนข้างสูง”
สายตาของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ย่อมไม่ธรรมดาสามัญ เพียงมองหน้าคร่าว ๆ ก็ดูออกว่าความแข็งแกร่งของโม่เทียนเกอและเนี่ยอู๋ชางไม่สามัญแล้ว ความน่าจะเป็นในการผ่านด่านมากกว่าผู้ฝึกตนที่ความแข็งแกร่งธรรมดาเหล่านั้นอยู่บ้าง
สายตาวนบนร่างโม่เทียนเกอและเนี่ยอู๋ชางสองคนหนึ่งรอบ เจ้าเมืองเหมยยิ้มเอ่ยอีกว่า “ข้าดูสหายน้อยทั้งสอง ระดับการฝึกตนไม่สามัญ สมบัติวิญญาณไม่ขาดแคลน อายุก็คล้ายจะไม่มากนัก คิดว่าเป็นศิษย์มีอาจารย์กระมัง”
ถึงโลกฝึกเซียนไม่ขาดกรณีที่ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน แต่ผู้ที่เป็นศิษย์มีอาจารย์ย่อมต้องง่ายดายกว่าผู้ฝึกตนอิสระอย่างมากมาย ผู้ฝึกตนอิสระโดยมากแล้วเป็นผู้ฝึกตนระดับต่ำ เพราะพวกเขาส่วนใหญ่คุณสมบัติด้อยกว่า ยาสร้างฐานพลังก็หายาก ผู้ที่สามารถเลื่อนขึ้นสร้างฐานพลังน้อยยิ่ง ผู้ที่ก่อเกิดตานยิ่งเป็นในหมื่นคนไม่มีสักคน อัตราความน่าจะเป็นนี้เทียบกับศิษย์ในสำนักมันต่ำเกินไปแล้ว เพราะฝึกตนไม่ง่าย ผู้ฝึกตนอิสระกว่าครึ่งดูกร้านโลก ถึงรูปลักษณ์เยาว์วัยก็เป็นเช่นเดียวกัน
แต่โม่เทียนเกอกับเนี่ยอู๋ชางสองคนกลับไม่เป็นเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นจากรูปลักษณ์ภายนอกหรือกริยาอาการ ดูแล้วไม่คล้ายกับท่าทางของผู้ฝึกตนอิสระ
ได้ยินคำถามนี้ โม่เทียนเกอเพียงยิ้มบาง ๆ กล่าวว่า “ผู้เยาว์มีสำนักอาจารย์จริง ๆ เพียงแต่ไม่สะดวกจะเอ่ยถึง หวังว่าผู้อาวุโสจะให้อภัย”
เนี่ยอู๋ชางก็เอ่ยว่า “ข้าก็เช่นกัน”
เจ้าเมืองเหมยฟังแล้วยิ้ม เอ่ยว่า “ดูท่าศักดิ์ฐานะของสหายน้อยทั้งสองไม่สามัญ เปิ่นจั้วไม่ได้ดูคนผิด” เขาหยุดครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่ออีกว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เปิ่นจั้วจะจัดแจงให้สหายน้อยทั้งสองเข้าสถานที่ลับไปทดสอบด้วยกัน”
“เจ้าเมืองเหมย” โม่เทียนเกอถาม “การทดสอบนี้สามารถไปได้ทุกเมื่อเลยหรือ”
เจ้าเมืองเหมยส่ายหน้าเอ่ยว่า “ตามหลักเหตุผล สถานที่แห่งการทดสอบสามารถเปิดขึ้นได้ทุกเมื่อ แต่ว่า เปิ่นจั้วไม่ปิดบังทั้งสองท่าน หลังจากค้นพบสถานที่ลับแห่งนี้ เปิ่นจั้วก็รวมพลังของผู้ฝึกตนระดับก่อเกิดตานขึ้นไปของทั้งเมืองซิงลั่วตั้งกำแพงอาคมหนึ่งอัน เพื่อรับประกันว่าในระยะเวลาอันสั้นที่แห่งนี้จะไม่ถูกคนนอกค้นพบ ต้องการเปิดกำแพงอาคมนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายดาย ดังนั้น เปิ่นจั้วอยากรอจนเชิญผู้ฝึกตนก่อเกิดตานได้จำนวนระดับหนึ่งค่อยเปิด”
วาจานี้ของเจ้าเมืองเหมยสมเหตุสมผล โม่เทียนเกอกับเนี่ยอู๋ชางล้วนพยักหน้า
“เช่นนั้นเจ้าเมืองเหมยตัดสินใจจะเปิดเมื่อใด”
เจ้าเมืองเหมยเอ่ยว่า “ถ้าสหายเต๋าทั้งสองตัดสินใจจะเข้าร่วม เช่นนั้นก็มีสิบกว่าคนแล้ว ภายในสองสามวันนี้ก็เปิดได้”
“ตกลง หากตัดสินใจแล้วว่าจะเปิดเมื่อใด ขอให้เจ้าเมืองเหมยแจ้งสักคำ”
“นี่ย่อมแน่นอน” เจ้าเมืองเหมยลุกขึ้นเอ่ยว่า “ผ่านไปสักครู่ เปิ่นจั้วจะให้ผู้อาวุโสเหลียงอธิบายข้อควรระวังแก่ทั้งสองท่านโดยละเอียด หวังว่าในไม่กี่วันนี้ทั้งสองท่านจะเตรียมตัวดี ๆ”
“นี่ย่อมแน่นอน” เจ้าบ้านมีเจตนาส่งแขก โม่เทียนเกอกับเนี่ยอู๋ชางล้วนลุกขึ้น “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้เยาว์ทั้งสองขอลาไปก่อน”
เจ้าเมืองเหมยแย้มยิ้ม “สหายน้อยทั้งสองตามสบาย”
ทั้งสองคนกุมมือคารวะเจ้าเมืองเหมยอีกครั้ง เดินออกจากห้องโถงเล็ก กลับเรือนเฟิงเหอภายใต้การนำทางของหญิงรับใช้
รอจนเข้าเรือนเฟิงเหอแล้ว ยืนยันว่าไม่มีคนสามารถแอบมอง เนี่ยอู๋ชางถามอย่างทนรอไม่ได้ว่า “ท่านรู้สึกว่ามีปัญหาหรือไม่”
“บอกได้ยาก” โม่เทียนเกอขมวดคิ้วแน่น “ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานสิบกว่าคน ยุ่งเหยิงเกินไปแล้ว……เขาดันเตือนอีกว่า การทดสอบนี้ถึงจะไม่เอาชีวิตคน คนอื่น ๆ กลับสามารถลอบโจมตี ข้าว่าพวกเราต้องระมัดระวังทุกย่างก้าวเลย”