ตอนที่ 397 – ชีวิตของคนอื่น
หลังยงหรูอวี้และฉิวเฉิงรั่วไปแล้ว โม่เทียนเกอกับเนี่ยอู๋ชางล้วนไม่พูดจาไปครึ่งค่อนวัน
ผ่านไปพักหนึ่ง เนี่ยอู๋ชางจู่ ๆ ถามว่า “ท่านรู้สึกว่าพวกเขาเชื่อได้หรือไม่”
โม่เทียนเกอส่ายหน้า “อันนี้ข้าบอกไม่ได้ ไม่ได้สนิทกับพวกเขา”
เนี่ยอู๋ชางพยักหน้า ถูคางคิด พูดว่า “ท่านรู้สึกหรือไม่ว่าในบางด้านอวิ๋นจงแตกต่างกับเทียนจี๋อย่างมาก”
เมื่อครู่โม่เทียนเกอก็คิดเรื่องนี้ “มิผิด หากเป็นผู้ฝึกตนของเทียนจี๋ พบกับเรื่องดีอย่างนี้ กว่าครึ่งต้องระแวงว่าเจ้าเมืองเหมยผู้นี้ซ่อนแผนร้ายในใจ แต่ผู้ฝึกตนของอวิ๋นจงกลับไม่มีความแคลือบแคลงมากขนาดนี้”
“ใช่ พวกเขาไม่ได้เฝ้าระวังผู้คนมากขนาดนั้น วิธีการใคร่ครวญเรื่องราวก็เรียบง่ายมาก……” เนี่ยอู๋ชางใคร่ครวญอยู่ครึ่งค่อนวัน ถอนหายใจเอ่ยว่า “เดิมทีข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้สามารถลองดู แต่ดูทัศนคติของผู้ฝึกตนอวิ๋นจงเหล่านี้แล้วกลับรู้สึกว่ามีความไม่ปลอดภัยอยู่บ้าง”
“อืม” โม่เทียนเกอพึมพำ “แต่ปัญหาคือ ถึงพวกเราไม่ตกลง เจ้าเมืองเหมยผู้นี้สามารถปล่อยพวกเราจากไปหรือ”
ทั้งสองคนสบตากัน ล้วนส่ายหน้า
ถึงแม้ก่อนหน้านี้เจ้าเมืองเหมยจะปฏิบัติต่อพวกนางอย่างเกรงอกเกรงใจ แต่พวกนางไม่คิดเลยว่าเขาจะปล่อยพวกนางสองคนจากไปเฉย ๆ ถึงธรรมเนียมของอวิ๋นจงกับเทียนจี๋ไม่เหมือนกันอยู่บ้าง แต่แข็งแกร่งเป็นเจ้า นี่เป็นกฎเหล็กที่ไม่เปลี่ยนแปลงของโลกใบนี้ พวกนางสองคนเป็นเพียงผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน แล้วยังไม่ได้แสดงออกภูมิหลังอะไรออกมา การเลือกที่เบี่ยงเบนไปจากผู้ฝึกตนคนอื่นยากจะรับประกันว่าเจ้าเมืองเหมยผู้นี้จะไม่เกิดความระแวง
ทั้งสองคนคิดอยู่พักใหญ่ก็ยังคิดหนทางดี ๆ ไม่ออก พวกนางสองคนเงินทองมั่งคั่ง ผลประโยชน์ที่ว่ามาไม่ได้มีแรงดึงดูดต่อพวกนางมากมายเลย เพียงแต่ เนี่ยอู๋ชางอยากเสาะหาวิธีการชะล้างปราณแห่งปีศาจแรกเริ่ม ส่วนโม่เทียนเกอจิตใจหวั่นไหวต่อความเร้นลับของณานศักดิ์สิทธิ์โบราณกาลที่ยงหรูอวี้บอกมา แต่ว่า ถือกำเนิดที่เทียนจี๋ พวกนางล้วนเคยผ่านประสบการณ์อันขรุขระ การเฝ้าระวังต่อผู้คนสูงกว่าผู้ฝึกตนอวิ๋นจงมาก ไม่กล้าเชื่อคนง่ายดายขนาดนี้จริง ๆ
“ไปเถอะ” เนิ่นนานให้หลัง เนี่ยอู๋ชางไตร่ตรองแล้วเอ่ยปากขึ้น “จะไม่ไป เห็นได้ชัดว่าไร้หนทางให้ล่าถอย”
โม่เทียนเกอใคร่ครวญพลางพยักหน้าช้า ๆ
มิผิด ปัญหาตอนนี้ไม่ใช่ไปหรือไม่ไป ทว่าเป็นหากไม่ไป ทั้งสองคนไร้หนทางจากไป พวกนางตัวอยู่ที่เมืองซิงลั่ว เจ้าเมืองเหมยนั่นยังเป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ด้วย พวกนางถึงจะไร้ความเกรงกลัวในหมู่ผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน แต่ก็ไม่ได้โอหังจนนึกว่าตนเองสามารถเอาชนะผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ อย่าว่าแต่คนเขาครอบครองชัยภูมิได้เปรียบอีกต่างหาก
“ในเมื่อต้องไป พวกเรากับสองคนนั้นร่วมทางกันไหม” เนี่ยอู๋ชางถาม
โม่เทียนเกอคิด ๆ ดู พูดว่า “เอ่ยถึงความแข็งแกร่งอย่างเดียว พวกเราแกร่งกว่าพวกเขาอยู่บ้าง ไม่มีอะไรให้กลัวจริง ๆ”
“อืม” ยงหรูอวี้และฉิวเฉิงรั่วล้วนเป็นก่อเกิดตานขั้นต้น ถึงจะถือกำเนิดจากสำหนักใหญ่ แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนทั่วไป แต่พวกนางก็มิใช่ผู้ฝึกตนทั่วไป
“เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้?” โม่เทียนเกอมองเนี่ยอู๋ชาง
เนี่ยอู๋ชางพยักหน้า “ก็เอาอย่างนี้เถอะ”
“หากเป็นเช่นนี้ พวกเราต้องเตรียมตัวดี ๆ สักรอบ กลางทางค้นพบว่าไม่ถูกต้องก็จากไปทันที”
“อืม” เนี่ยอู๋ชางเห็นด้วย ขอเพียงออกจากเมืองซิงลั่ว หรือแม้กระทั่งแค่ออกจากจวนเจ้าเมือง ด้วยความสามารถของทั้งสองคนก็จะมีโอกาสหลบหนี
ตัดสินใจดังนี้แล้ว ทั้งสองคนต่างคนต่างยุ่งวุ่นวายขึ้นมา
โม่เทียนเกอกลับห้องตนเอง ตั้งม่านพลัง เข้าโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนพักผ่อนหนึ่งรอบ ตระเตรียมเรื่องทุกอย่างให้เรียบร้อย อสูรวิญญาณสามตัวล้วนพกพาอยู่ข้างกาย
ส่วนเนี่ยอู๋ชาง มือของนางบาดเจ็บเล็กน้อย แต่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อทักษะต่อสู้จนเกินไป
รอจนทั้งสองคนล้วนเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อย โม่เทียนเกอให้หญิงรับใช้ถ่ายทอดคำพูด เชิญยงหรูอวี้ฉิวเฉิงรั่วมาหา
“สหายเต๋าฉิน สหายเต๋าเทียนฉาน” ทั้งสองคนพอเข้ามา ยงหรูอวี้ก็ยิ้มแย้ม “ทั้งสองท่านมีการตัดสินใจแล้วหรือ”
“มิผิด” โม่เทียนเกอยิ้มบาง เชิญพวกเขาสองคนเข้าไปในห้องโถงนั่งลง “ข้ากับสหายเต๋าเทียนฉานปรึกษากันแล้ว ในเมื่อสหายเต๋าทั้งสองล้วนรู้สึกว่าสามารถลองดู พวกข้าก็เต็มใจร่วมทาง”
“เช่นนั้นก็ดี” ใบหน้ายงหรูอวี้เผยแววยินดี กุมมือเอ่ยว่า “มีสหายเต๋าทั้งสองเป็นพวกพ้อง พวกข้าก็วางใจขึ้นมาก”
“เช่นกัน ๆ”
ทั้งสี่คนคุยกันอีกสักพัก ยงหรูอวี้และฉิวเฉิงรั่วจึงอำลาจากไป กลับไปเตรียมตัว
ก่อนจะไป ฉิวเฉิงรั่วดึงโม่เทียนเกออย่างสนิทสนมถึงสิบส่วนแล้วเอ่ยว่า “สหายเต๋าฉิน พวกเราสตรีผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน ยากนักจะพานพบพี่สาวน้องสาวร่วมระดับชั้น ยิ่งที่ยิ่งหายากคือ เราท่านล้วนเป็นผู้ฝึกเต๋า คิดแล้วมีหัวข้อสนทนาร่วมกันมากมาย มีโอกาสพวกเรามาคุยกันมาก ๆ นะ”
โม่เทียนเกอยิ้มบาง ตอบรับอย่างสุภาพว่า “สหายเต๋าฉิวอยากจะคุยเล่น ไม่ว่าจะมาถึงหน้าประตูหรือว่าส่งคนถ่ายทอดข้อความมาก็ได้”
ได้ยินนางตอบเช่นนี้ ฉิวเฉิงรั่วดีใจยิ่งนัก พูดอีกหลายคำจึงจากไปพร้อมกับยงหรูอวี้
เห็นเงาหลังของพวกเขาหายลับไป เนี่ยอู๋ชางกอดอกพิงประตูวงเดือน ยื่นคางใส่โม่เทียนเกอ กล่าวอย่างเจือด้วยความรังเกียจอยู่บ้างว่า “ทำไมเกรงใจสตรีนางนี้ขนาดนี้เล่า”
“สตรีนางนี้” โม่เทียนเกอตะลึงไปหน่อย จากนั้นยิ้ม “ท่านพูดถึงฉิวเฉิงรั่ว?”
“ไม่เช่นนั้นยังจะมีใครเล่า” เนี่ยเบ้ปาก “ข้าคิดไม่ออกจริง ๆ นางนึกว่าซือเกอนางใครเห็นใครรักเอาเสียจริง ๆ ในฐานะผู้ฝึกตนกลับไปคล้ายสตรีปุถุชน คล้ายสตรีที่ป้องกันผู้อื่นดุจโจรขโมย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางยังจะฝึกตนทำอะไร นาง……”
พูดไปครึ่งค่อนวัน กลับเห็นว่าโม่เทียนเกอก็กอดอกพิงบนประตูวงเดือนเลียนแบบนาง มองนางอย่างกึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง เนี่ยอู๋ชางอดลูบใบหน้าตนเองมิได้ — ไม่มีอะไรนี่ ยังคลุมผ้าปิดหน้า ผู้ฝึกตนร่วมระดับชั้นมองไม่ทะลุ
นี่ทำให้เนี่ยอู๋ชางกระสับกระส่ายอยู่บ้าง “ทำไมหรือ”
โม่เทียนเกอแตะคาง เผยรอยยิ้มลึกลับออกมา “ทำไมท่านรังเกียจนางขนาดนี้”
“เพราะ……” เนี่ยอู๋ชางถอดงอบไม้ไผ่และดึงผ้าปิดหน้าของตนเองด้วยความหงุดหงิดอยู่บ้าง “อาจจะเพราะอิจฉานางกระมัง นางมีเงื่อนไขดีขนาดนั้น กลับเอาจิตใจไปวางไว้ตรงที่ไร้ซึ่งความสำคัญประเภทนี้ เสียเปล่าโดยแท้……”
โม่เทียนเกอหัวเราะหนึ่งคำ ถูหน้าผาก พูดว่า “ท่านรู้ได้อย่างไรว่านางเป็นอย่างนี้จะเสียเปล่า”
“คนที่มีตาล้วนดูออก” เนี่ยอู๋ชางพูดอย่างอึมครึม
“……” โม่เทียนเกอทอดมองท้องฟ้า พูดว่า “อันที่จริง ท่านลองคิดจากอีกมุม สหายเต๋ายงผู้นั้นดูแล้วก็ไม่ได้เป็นชนชั้นโง่เขลา ทำไมถึงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นการกระทำประเภทนี้ของซือเม่ยตนเอง”
เนี่ยอู๋ชางฟังจนตะลึงลาน “อันนี้……เขาอาจจะไม่ใส่ใจ?”
“เป็นไปได้ แต่ว่า เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้รังเกียจเลย” โม่เทียนเกอแบมือ มองเส้นลายมือบนฝ่ามือพลางกล่าวว่า “เปลี่ยนไปพูดอีกอย่าง การกระทำทุกอย่างของฉิวเฉิงรั่วล้วนอยู่ในความควบคุมของซือเกอนาง แต่ยงหรูอวี้นั่นกลับไม่รู้ไม่เห็น หากมิใช่ว่าเขาสมองช้าเป็นพิเศษ นั่นก็คือเขายอมรับการกระทำประเภทนี้ของซือเม่ย”
“แล้วอย่างไรเล่า”
“ไม่อย่างไร” สายตาของโม่เทียนเกอตกลงบนใบหน้าเนี่ยอู๋ชาง เอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “เพียงแต่ว่า นี่เป็นชีวิตของคนอื่น ตัวพวกเขาเองยังไม่มีความคิดความเห็น พวกเราไยต้องไปปวดสมองแทนพวกเขา”
“……” สีหน้าเนี่ยอู๋ชางค่อย ๆ ผ่อนคลาย ผ่านครึ่งค่อนวันจึงพยักหน้า “ท่านพูดถูก เรื่องของตัวพวกเขาเอง ไม่มีค่าให้ข้าแส่เกินเหตุ”
โม่เทียนเกอยิ้มแล้ว “พูดอีกอย่าง สหายเต๋ายงผู้นั้น ท่านเห็นว่าเข้าตาหรือ”
“ท่านคิดอะไร” เนี่ยอู๋ชางกลอกตา “ข้าเห็นฉิวเฉิงรั่วไม่รื่นหูรื่นตา ไม่ได้เกี่ยวกับบุรุษของนาง”
“ข้าก็ไม่ได้หมายความอย่างนั้น” โม่เทียนเกอเอ่ย “ในเมื่อเราท่านล้วนไม่เห็นว่าเข้าตาอย่างไร เช่นนั้นสภาพการณ์ของยงหรูอวี้ก็นับว่าไม่ได้ดีจนเกินไป ไม่ว่าจะอย่างไรฉิวเฉิงรั่วก็เป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตานสตรี นางเป็นศิษย์สำนักใหญ่ ระดับการฝึกตนไม่เลว คิดว่าคุณสมบัติก็ไม่แย่ หน้าตาก็งดงามยิ่ง หากนางยึดถือผลประโยชน์ยิ่งกว่านี้สักหน่อย สามารถเสาะหาคู่เต๋าที่แกร่งยิ่งกว่านี้ได้เป็นแน่แท้ แต่นางเปล่า คิดจากด้านนี้ ท่านว่านางดูรื่นหูรื่นตาสักหน่อยแล้วหรือไม่”
“……” เนี่ยอู๋ชางไม่พูดไม่จาไปครึ่งค่อนวัน
โม่เทียนเกอก็ยิ้มแล้ว “จริงอยู่ที่ฉิวเฉิงรั่วมีส่วนที่พวกเราดูไม่รื่นตา แต่ไม่จำเป็นว่านางจะใช้ชีวิตเสียเปล่า ดูอายุของนางน่าจะไม่เกินสามร้อยปี ถึงคุณสมบัติจะไม่เลว เลื่อนระดับก่อเกิดตานก่อนสามร้อยปีก็ไม่ง่าย พวกเราเพียงเห็นนางวัน ๆ พัวพันกับซือเกอนาง แต่ไม่ได้เห็นเวลาที่นางทุ่มเทความพยายาม”
ใบหน้าเนี่ยอู๋ชางผ่อนคลายลงช้า ๆ ครึ่งค่อยวันให้หลัง นางพยักหน้าเบา ๆ “ท่านพูดได้มิผิด ข้าเอาความคิดของตนเองเป็นใหญ่เกินไปแล้ว”
โม่เทียนเกอส่ายหน้า “พวกเราคนที่ฝึกเซียนย่อมสามารถปล่อยตัวไปตามใจ บางเวลาคนคนนี้ดีหรือไม่ดี พวกเราไม่จำเป็นต้องรู้ ในเมื่อไม่ชมชอบ ไม่เข้าใกล้ก็พอแล้ว แต่ว่า การเอาตนเป็นที่ตั้งเกินไปจะง่ายต่อการดูแคลนผู้อื่น”
“อืม……” เนี่ยอู๋ชางนวดคิ้ว พึมพำว่า “ที่แท้โลกใบนี้ยังมีเรื่องที่ข้าไม่เข้าใจมากขนาดนี้……”
นางที่เป็นอย่างนี้ทำให้โม่เทียนเกออดยิ้มไม่ได้ “ดูไม่ออกจริง ๆ ว่าท่านโตกว่าข้าหลายสิบปี ดูท่านที่เป็นอย่างนี้ แทบจะไม่รู้เรื่องราวทางโลกเลยสักอย่าง”
“……” เนี่ยอู๋ชางเบ้ปาก “ข้าไหนเลยมีโอกาส?”
เอ่ยถึงปัญหาข้อนี้ โม่เทียนเกออยากรู้อยู่บ้าง “จริงสิ ข้ายังไม่ได้ถามท่านเลยว่าท่านกลายเป็นศิษย์ของซงเฟิงซ่างเหรินได้อย่างไร”
“……” เนี่ยอู๋ชางเงียบไปนานมาก เงียบตลอดจนถึงตอนที่โม่เทียนเกอนึกว่านางจะไม่ตอบจึงได้ยินเสียงแหบพร่าของนางว่า “ข้า……มารดาของข้า เป็นภรรยาของเขา”
โม่เทียนเกอตะลึง แทบจะนึกว่าตนเองฟังผิด นางคิดแล้วเอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า “พูดอย่างนี้ เขา……ที่จริงแล้วเป็นบิดาท่าน?”
“ไม่ใช่” เนี่ยอู๋ชางสีหน้าเย็นชา “ข้าไม่ใช่ลูกเขา เปลี่ยนไปพูดอีกอย่าง ข้าเป็นลูกนอกสมรสที่มารดาข้าลอบให้กำเนิด”
“……” โม่เทียนเกอขมวดคิ้ว ทำไมมีคนใช้คำอย่างนี้พูดถึงตนเองรวมทั้งมารดาของตนเองเล่า
เนี่ยอู๋ชางเห็นสีหน้าของนาง ยิ้มเยาะตนเอง “ตั้งแต่เล็ก ซือฟุก็พูดอย่างนี้เกี่ยวกับข้า”
“นั่น……” โม่เทียนเกอลังเลแล้วถามว่า “เช่นนั้นมารดาท่านกับบิดาผู้ให้กำเนิดท่านเล่า”
“ไม่รู้ น่าจะตายแล้วกระมัง” เนี่ยอู๋ชางน้ำเสียงเรียบเฉย ไม่แยแสสนใจ “ด้วยนิสัยของซือฟุ มารดาข้าหักหลังเขาไม่รอดชีวิตเป็นอันขาด ส่วนบุรุษผู้นั้นก็ไม่มีโอกาสรอดชีวิต”
“ขออภัย” โม่เทียนเกอเอ่ยเสียงต่ำ
“ไม่เป็นไร” เนี่ยอู๋ชางส่ายหน้า หัวเราะเสียงขื่น “ข้าน่าจะเคยบอกท่านแล้วว่าซือฟุเขาไม่สามารถนับเป็นคนได้เลย ดังนั้น เขาไม่สามารถมีบุตร ข้าไม่รู้ว่าทำไมเขาแต่งกับมารดาข้า แต่ข้ารู้ว่ามารดาข้าติดตามเขา ชีวิตที่ใช้มิใช่ชีวิตของมนุษย์อย่างไร”
“……”
“ดังนั้น ข้าเข้าใจมากว่าทำไมมารดาข้าตกหลุมรักบุรุษคนอื่น แล้วยังให้กำเนิดข้ากับคนอื่น — ถึงข้าจะแค้นที่นางให้กำเนิดข้า” เนี่ยอู๋ชางเอ่ยอย่างเฉยเมย “ตั้งแต่ที่ข้ารู้ความ ซือฟุก็ปฏิบัติต่อข้าอย่างนั้น ทุบตีด่าทอ พูดว่าข้าเป็นลูกนอกสมรส แต่กลับสอนข้าฝึกตน ให้ข้าช่วยเขากระทำเรื่องราว ข้าไม่รู้ว่าสรุปแล้วเขามีสภาพจิตใจเป็นอย่างไร บางทีทรมานข้าอย่างนั้นจะทำให้เขามีความสุขที่ได้แก้แค้นกระมัง”
“เช่นนั้น……ท่านคิดถึงมารดาของท่านไหม”
ได้ยันคำพูดประโยคนี้ เนี่ยอู๋ชางอึ้งงันไปพักใหญ่ ครึ่งค่อนวันผ่านไป นางหัวเราะเบา ๆ “ก่อนจะสิบขวบกระมัง ข้าเคยพูดว่าซือฟุเขาประสบความสำเร็จเกินไป เขาจับข้าไปสั่งสอนจนกลายเป็นอย่างที่เขาหวังเอาไว้โดยสิ้นเชิง กลัวเขา แค้นเขา แต่ไม่อาจไม่พึ่งพาเขา ฝันจะไปจากเขา แต่หลังจากหนีไปกลับแทบจะเอาชีวิตไม่รอด”
………………..