ตอนที่ 146 เงิน! เงิน! เงิน!

สูตรโกงฉบับเด็กเรียน

ตอนที่ 146 เงิน! เงิน! เงิน!

ในหัวของไป๋เยี่ยมีความคิดมากมายเต็มไปหมด แต่ทั้งหมดนั้นก็ต้องการเงินทุนอยู่ดี! แต่…สิ่งที่เขาขาดแคลนมากที่สุดในตอนนี้ก็คือเงินเช่นกัน…ถ้าไม่มีเงินก็ทำอะไรไม่ได้!

อย่างแรกคือต้องจัดการเรื่องโรงงานผลิตอาหารหนู ส่วนผสมของอาหารหนูได้แก่ แป้งข้าวโพด รำ ข้าว ปลาป่น และอื่นๆ ซึ่งมณฑลจิ้นซีก็เองก็เป็นพื้นที่เกษตรกรรมเช่นกัน จึงไม่มีปัญหาเรื่องการขาดแคลนวัตถุดิบเลย

อีกทั้งยังไม่ต้องใช้เงินลงทุนมากอีกด้วย ทั้งวัตถุดิบที่มีราคาถูก การแปรรูปก็ง่าย และเทคโนโลยีที่ใช้ก็ไม่มีอะไรนอกจากสูตรอาหาร

นี่คือสิ่งที่ควรลงมือทำ เพราะว่าทั้งลงทุนน้อยแต่ได้กำไรเยอะ ไป๋เยี่ยคิดว่านี่คือสิ่งที่เขาควรจะทำในตอนนี้

อย่างไรก็ตาม…หลังจากที่เขาพิจารณาจนถี่ถ้วนแล้ว เขาก็พบว่าตอนนี้เขามีเงินทุนอยู่ราวๆ สี่แสนหยวนเท่านั้น ซึ่งไม่พอสำหรับค่าเช่าเดือนหน้าอย่างแน่นอน

อีกทั้งเขายังมีค่าสมาชิกวีไอพีเลเวลสามต่อเดือนอีกหลายหมื่นหยวน เขาต้องใช้เงินจำนวนมากในการเพาะพันธุ์หนู ไหนจะค่าจ้างคนงานอีก พอนึกดูแล้ว ไป๋เยี่ยก็เครียดมาก

ถ้าไม่รู้ว่าค่าวัตถุดิบราคาแพง ก็คงทำธุรกิจตามกระแสไม่ได้

ไป๋เยี่ยส่ายหัว ถ้าต่อไปคิดจะทำแบบนี้จริงๆ จะต้องวางแผนให้รอบคอบ ห้ามทำอะไรในขณะที่ยังคิดเรื่องอื่นมากมาย

หยางกวงตงมีประสบการณ์ในการยื่นขอรับสิทธิบัตร เขาจึงดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว แต่กระบวนการการอนุมัติต้องใช้เวลาสักพัก ไป๋เยี่ยจึงไม่กังวลเท่าไหร่

สุดท้ายแล้ว เรื่องอาหารหนูก็ยังคงอยู่ในขั้นตอนเริ่มต้น ยังไม่มีปัญหาใหญ่อะไร ทว่าไป๋เยี่ยก็ได้ลองปรึกษาบริษัทสิทธิบัตรเกี่ยวกับการยื่นขอรับสิทธิบัตรจากต่างประเทศแล้ว

แท้จริงแล้วไป๋เยี่ยต้องการให้อาหารหนูของเขาไปไกลถึงต่างชาติด้วย ดังนั้นถ้าต้องการความมั่นใจในการเป็นเจ้าของสิทธิบัตร ก็จะต้องลองยื่นขอสิทธิบัตรจากสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติ

แน่นอนว่าการยื่นขอรับสิทธิบัตรแท้จริงแล้วก็เป็นเพียงการป้องกันตัวเองจากการถูกเคลมผลงานเท่านั้นเอง

อีกฝ่ายดูจะประหลาดใจกับความคิดของไป๋เยี่ยเล็กน้อย จะจดสิทธิบัตรระหว่างประเทศให้อาหารหนูเนี่ยนะ ล้อเล่นหรือไง

อย่างไรก็ตาม…พวกเขาก็คงไม่ปฏิเสธก้อนเงินหรอก ทั้งสองฝ่ายต่างก็ทิ้งข้อมูลการติดต่อให้กันและกันไว้เรียบร้อย

ไป๋เยี่ยยังไม่สนใจเรื่องการยื่นขอสิทธิบัตรระหว่างประเทศสักเท่าไหร่ อีกทั้งตอนนี้…เขาก็ไม่มีเงินพอจะทำอะไรไปมากกว่านี้แล้ว

หลังจากที่ช่วงเช้าแสนวุ่นวายผ่านไป ไป๋เยี่ยก็นั่งลงบนเก้าอี้พร้อมกับสูดหายใจเข้าลึกๆ เขายุ่งมาก มีหลายอย่างที่เขาต้องทำ

ไป๋เยี่ยถอนหายใจ ในขณะที่เขากำลังจะจิบน้ำ หยางกวงตงก็เดินเข้ามาหา “นายน้อย อาหารในโกดังเหลือไม่เยอะแล้วนะ ลุงจะบอกให้เหล่าเฮ่อออกไปซื้อวัตถุดิบ แต่ในโกดังก็ไม่มีเงินเลย…”

“นายน้อย เครื่องผสมเสีย ลุงเลยโทรไปหาช่าง เขาบอกว่าค่าอะไหล่น่าจะประมาณสองพันกว่าหยวน จะเปลี่ยนใหม่ไหม”

“นายน้อย…”

ไป๋เยี่ยถึงกับดื่มน้ำไม่ลงเมื่อได้ยินเรื่องต้องใช้เงินมากมาย เฮ้อ…เงินแค่นิดเดียวทำเอาลำบากใจขนาดนี้!

ไป๋เยี่ยเอนหลังบนเก้าอี้และจ้องมองเพดาน หวังว่าจะมีเงินหล่นลงมาจากฟ้าบ้าง…ถ้าไม่ส่งเงินลงมา อย่างน้อยส่งปลาลงมาสักตัวก็ได้…

หรือจะลองขอยืมเงินแม่ดี

ไป๋เยี่ยคิดแล้วก็ลังเลอยู่เล็กน้อย เขาไม่อยากยืมเงินจากครอบครัวของเขาสักเท่าไหร่ และจำนวนเงินที่ต้องการก็ไม่น้อยเลย

ขณะที่ไป๋เยี่ยกำลังลังเลอยู่นั้น โทรศัพท์ก็ดังขึ้น

“สวัสดี ใช่คุณไป๋เยี่ยไหมครับ”

ไป๋เยี่ยหยิบโทรศัพท์มือถือของเขาออกมาและเห็นว่าเป็นสายจากผู้จัดการสวี่จากสำนักพิมพ์หนังสือที่รับผิดชอบในการพิมพ์หนังสือของเขาเอง เขาจึงรีบขานรีบ “สวัสดีครับ ผู้จัดการสวี่ มีอะไรเหรอครับ”

“โอ้! ตอนนี้พวกเราตีพิมพ์หนังสือของคุณชุดแรกไปจำนวนสองหมื่นเล่มแล้ว คุณจะมารับหนังสือได้ก็ต่อเมื่อชำระเงินที่เหลือครบนะครับ!”

ไป๋เยี่ยเอามือก่ายหน้าผากพร้อมกับถอนหายใจออกมา เงิน…เงิน…เงินอีกแล้ว…

ทว่ายอดคงเหลือก็แค่ห้าหมื่นหยวนเท่านั้น ไป๋เยี่ยจึงไม่ค่อยกังวลเท่าไหร่ อีกทั้งหนังสือยังพิมพ์เสร็จแล้วด้วย ถ้าขายได้ก็จะกลายเป็นเงินก้อนใหญ่!

ไป๋เยี่ยจึงรีบตอบอีกฝ่ายไปทันที “ได้ครับผู้จัดการสวี่ ผมจะไปที่นั่นตอนบ่ายนะครับ”

ช่วงบ่าย ไป๋เยี่ยไปที่โรงพิมพ์ เขายืนมองหนังสือสองหมื่นเล่มที่กองกันอย่างเป็นระเบียบราวกับเนินเขาตรงหน้า

ไป๋เยี่ยหยิบหนังสือออกมาดูคร่าวๆ เขาพอใจมาก หน้ากระดาษและปกหนังสือสวยมาก พลิกดูอย่างไรก็ชอบ

ผู้จัดการสวี่ซึ่งเป็นชายวัยกลางคนอายุราวๆ สี่สิบปีเดินเข้ามาหาไป๋เยี่ยพร้อมกับพูดขึ้น “เป็นไงบ้าง พอใจไหมครับ”

ไป๋เยี่ยพยักหน้าและยกนิ้วให้ “ยอดเยี่ยมครับ! ผมพอใจมาก สมควรที่เป็นผู้เชี่ยวชาญจริงๆ!”

ผู้จัดการสวี่พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “สำนักพิมพ์ของเราได้รับความนิยมมาระยะหนึ่งแล้ว ในระหว่างช่วงก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน เรามีหน้าที่รับผิดชอบในการพิมพ์ใบเสนอราคาของประธานาธิบดี ต้องบอกว่าเป็นเพราะประสบการณ์และเทคโนโลยีของเราเลยละ สำนักพิมพ์หนังสือโบราณของเราถือว่ามีชื่อเสียงมากในมณฑลจิ้นซี”

สิ่งที่ผู้จัดการสวี่พูดเป็นความจริง สำนักพิมพ์ของเขาดำรงอยู่ในตำแหน่งหนึ่งในรัฐวิสาหกิจที่เก่าแก่ที่สุดในมณฑลจิ้นซี และยังเป็นสำนักพิมพ์ที่มีมาตรฐานสูงอีกด้วย

หลังจากที่ไป๋เยี่ยและผู้จัดการสวี่ทำสัญญาเสร็จเรียบร้อยแล้วพวกเขาก็จ่ายยอดคงเหลือ มันเป็นราคาที่สมเหตุสมผลและไม่แพง เมื่อพิจารณาจากคุณภาพกระดาษและปกหนังสือ ถ้าเป็นราคาในตลาดก็คงสูงกว่านี้สักหนึ่งถึงสองหยวน

แต่จะกองหนังสือไว้ตรงนั้นจริงๆ เหรอ จะวางมันไว้ที่นี่ตลอดไปไม่ได้หรอกนะ

ไป๋เยี่ยไม่ได้คำนึงถึงฟาร์มเพาะพันธุ์หนูนัก เพราะการขนส่งไปที่นั่นไม่ค่อยสะดวกนัก อีกทั้งยังไม่มีประโยชน์ที่จะนำมันไปวางไว้ที่นั่นอีกด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าต่อไปจะวางขายหนังสือ เอาหนังสือไปวางไว้ที่แบบนั้นก็คงไม่ดีแน่

ไป๋เยี่ยมองไปยังหนังสือรอบตัวเขา ก่อนที่เขาจะเบิกตากว้างขึ้นมาในทันใด ที่มหาวิทยาลัยไง! ที่นั่นต้องมีพื้นที่แน่ๆ

ไป๋เยี่ยจึงขอความช่วยเหลือจากหูเฟิงอวิ๋นซึ่งกำลังจะออกจากตำแหน่งในไม่ช้านี้ การส่งมอบตำแหน่งเกือบจะเสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์แล้ว คาดว่าเธอจะได้ออกเดินทางในปลายเดือนพฤษภาคม เธอยังมีเรื่องต้องจัดการกับจางฮั่นหลินอยู่อีก

หูเฟิงอวิ๋นมีความสุขมากเมื่อรู้ว่าหนังสือ ‘บุกเบิกการแพทย์แผนจีน’ ได้ตีพิมพ์ออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เธอจึงหาห้องเรียนว่างๆ ให้ไป๋เยี่ยนำหนังสือไปไว้ชั่วคราว

ประมาณห้าโมงเย็น รถบรรทุกและรถตู้อีกหนึ่งคันก็มาจอดที่หน้าโรงพิมพ์ ทั้งพ่างจื่อ ต้วนเย่ว์ และลู่เผยอี้ รวมถึงเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ ต่างก็มารวมตัวกัน

คนยิ่งเยอะก็ยิ่งดี หนังสือทั้งหมดถูกแพ็คมาอย่างดี ทำให้ทุกคนใช้เวลาขนย้ายหนังสือทั้งหมดขึ้นรถในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง

โชคดีที่ห้องเรียนที่หูเฟิงอวิ๋นจัดเตรียมไว้ให้อยู่ที่ชั้นหนึ่ง เพียงแค่ต้องใช้ความพยายามในการตามหาเท่านั้นเอง

ในตอนเย็น ไป๋เยี่ยพาทุกคนไปกินข้าวเย็นและดื่มด้วยกัน ไหนๆ ก็ใกล้จะเรียนจบแล้ว ต้องมาเฉลิมฉลองกันสักหน่อย

เมื่อเพื่อนๆ มารวมตัวกัน นอกจากจะมีเรื่องพูดคุยกันเยอะแล้ว จะดื่มกันน้อยได้อย่างไรล่ะ

ทุกคนดื่มกินอย่างสนุกสนาน จนกระทั่งสี่ทุ่มก็พากันพยุงกันกลับไปที่มหาวิทยาลัย

ไป๋เยี่ยนอนอยู่บนเตียง เขาอยากนอนมาก แต่จิตใจของเขาก็ยังคงว้าวุ่นจนเขาหยุดคิดไม่ได้

ตอนนี้หนังสือถูกตีพิมพ์เสร็จแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือการขาย หนังสือสองหมื่นเล่มนั้นจะว่าเยอะก็ไม่เยอะ จะว่าน้อยก็ไม่น้อย แต่เพราะว่ามันเป็นหนังสือแนวคิดแพทย์แผนจีนพื้นฐาน จึงพอจะเป็นที่นิยมสำหรับผู้คนอยู่บ้าง

ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงก่อนหน้านี้ไป๋เยี่ยก็มีเรื่องวุ่นวาย มีประเด็นชวน ‘ฮือฮา‘ เต็มไปหมด ทำให้หนังสือ ‘บุกเบิกการแพทย์แผนจีน’ ได้รับความนิยมไปด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ความนิยมก็คือความนิยม ไม่ได้หมายความว่าจะขายได้จริงๆ สักหน่อย

อันที่จริงการที่ไป๋เยี่ยเลือกตีพิมพ์หนังสือเป็นจำนวนสองหมื่นกว่าเล่มไม่ได้เป็นเพราะไป๋เยี่ยแค่สุ่มจำนวนมาแต่อย่างใด แต่เป็นการตัดสินใจที่เกิดขึ้นหลังจากการหารือกับผู้จัดการสวี่ โดยอิงจากความต้องการหนังสือจากในฟอรัมและกระแสการตอบรับของสังคม