ตอนที่ 149 ไม่อาจให้อภัย
“กษัตริย์เทียนหลิงงั้นเหรอ?”
คนที่เหลือต่างหันไปมองนั่วยีพร้อมกัน แล้วจึงจะเข้าใจว่า ปู่ของพวกเขาอยู่รับใช้กษัตริย์เทียนหลิงที่ ห้วนเทียนเก๋อ นั่นก็แปลว่า ทุกคำพูดและการกระทำของคุณปู่ ก็คือคำประกาศิตของกษัตริย์เทียนหลิง
คุณชายสี่เป็นหลานแท้ๆของกษัตริย์เทียนหลิง ใครกันจะยอมให้ลูกหลานตัวเองตกระกำลำบากอยู่ข้างนอก?
การหวนกลับมาที่วังย่อมเกิดขึ้นในไม่ช้าก็เร็ว
เมื่อนึกถึงกษัตริย์ที่ชาญฉลาดหลักแหลมและยิ่งใหญ่ท่านนั้นแล้ว พวกเขาต่างก็พลันรู้สึกวางใจและโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก
ก่อนที่พวกจั๋วหรันจะกลับไป โม่หลินก็โทรหาคุณหญิงเยว่หยา บอกท่านว่าตนจะอยู่ดูแลคุณชายสี่และคุณชายหนีพร้อมกับพวกพี่ๆที่นี่ เพราะเธอยังไม่พร้อมจะจากพวกเขาไปกะทันหันแบบนี้
เป็นครั้งแรกของหญิงสาวที่ได้ออกมาจากวังและเยือนต่างถิ่น แม้ว่าเธอจะเรียนดีและพึ่งพาได้ แต่ก็ยังอ่อนหัดในเรื่องประสบการณ์ทางด้านสังคมอยู่นัก หลังจากที่ได้ยินว่าพวกพี่ๆจะคอยดูแลเธออย่างดี และนั่วยีก็อนุญาตแล้ว เธอจึงจะตอบตกลง
เมื่อโม่หลินมาถึงหน้าประตูคฤหาสต์จือเวยพร้อมกับสัมภาระของเธอ หญิงสาวพลันแสดงอาการตื่นเต้นดีใจทันที
“ที่นี่สวยจังเลย!”
“พอจะถูกใจโม่หลินซ่างซือ อยู่ไหมคะ?”
ฉวีซือเอ่ยถามเธอขำๆ ทำเอาเธอพลอยเขินหน้าแดงไปด้วย:”พี่ฉวีซือ ที่นี่ไม่ใช่ในวังสักหน่อย ไม่จำเป็นต้องเรียกชื่อหนูเต็มยศขนาดนั้นก็ได้”
จั๋วซีรีบเอ่ยขึ้นต่อทันทีว่า:”พี่อย่าแหย่น้องผมมากล่ะ โม่โม่อายุยังน้อย ชอบเขินหน้าแดง รุ่นราวคราวเดียวกับคุณหนูมู่นั่นแหละ เด็กสาวรุ่นนี้เขาชอบเขินอายกันจะตาย”
จั๋วซีไม่พูดยังดี พอพูดแล้วโม่หลินก็หน้าแดงก่ำกว่าเดิมเป็นลูกตำลึงสุก
เธอหลบหน้าแก้เก้อ ก่อนจะกลอกลูกตา แล้วถูฝ่ามือเอ่ยว่า:”อยากเจอว่าที่กษัตริย์ในอนาคตของประเทศหนิงแล้วสิ เข้าไปข้างในกันเถอะ!”
เมื่อทั้งสี่คนมาถึงหน้าห้องนั่งเล่น พวกเขาก็เจอกับห้องโถงที่ว่างเปล่าและไม่มีใครอยู่เลย
โม่หลินเองก็ไม่กล้าเสียงดัง เพราะระหว่างทางที่เข้ามาพวกพี่ๆได้เล่าเรื่องของคุณชายสี่ให้เธอฟังแล้ว
โม่หลินจดจ้องโลกทะเลสีน้ำเงินตรงหน้าอย่างเหลือเชื่อ นี่มันเหมือนปราสาทคริสตัลใต้มหาสมุทรในเทพนิยายเลย มันน่ามหัศจรรย์เสียซะจนเหมือนโลกแห่งความฝัน
จั๋วซีเอากระเป๋าของน้องสาวมาถือ พลันเอ่ยว่า:”เดี๋ยวพี่พาเธอไปเดินสำรวจตรงชั้นแรกก่อนนะ ดูสิว่าชอบห้องไหนบ้าง พี่จะได้ช่วยเธอจัดห้องทำความสะอาด วันนี้พักผ่อนก่อน พรุ่งนี้ค่อยหาเวลาว่างไปซื้อเสื้อใหม่ให้เธออีกที”
“ไม่ต้องแล้วล่ะพี่รอง ในกระเป๋าเสื้อหนูยังมีกระโปรงอีกตั้งหลายตัว ฤดูร้อนไม่จำเป็นต้องใส่เยอะขนาดนั้นด้วย”
“ไม่ได้ ยังไงก็ต้องไปซื้อใหม่อีกที ไม่ว่าจะพวกของกินของฝาก หรือเครื่องประดับที่เด็กผู้หญิงเขานิยมใส่กัน พี่จะซื้อให้เธอหมดเลย!”
“ฮ่าๆๆ หนูว่าพี่เก็บตังค์ไว้ซื้อให้พี่สะใภ้หนูในอนาคตดีกว่านะ!”
“พี่สะใภ้เธอในอนาคตยังไม่โผล่มาแม้แต่เงาเลย ตอนนี้พี่มีแค่น้องสาว ก็ต้องเป็นน้องสาวสิ!”
“พี่รองใจดีจังเลย!”
“นั่นมันก็ต้องแน่นอนอยู่แล้ว!”
“ฮ่าๆๆๆ!”
ฉวีซือยิ้มเอ็นดูให้กับพี่น้องจอมแก่นสองคนที่เดินไปด้านหน้า ก่อนจะดึงแขนจั๋วหรันมาซบอกเขา:”คฤหาสค์จือเวยของเรายิ่งอยู่ยิ่งอยู่ยิ่งดูมีชีวิตชีวาขึ้นเนอะคุณว่าไหม?”
จั๋วหรันพยักหน้าเอ่ยตอบว่า:”นั่นสินะ เธอขึ้นไปดูคุณชายกับคุณหนูที่ข้างบนก่อน ส่วนฉันจะไปดูว่าโม่หลินเลือกห้องเสร็จหรือยัง พลางช่วยจั๋วซีเก็บกวาดด้วย”
“อืม เข้าใจแล้ว”
ฉวีซือขึ้นบันไดสีขาวไปยังชั้นบน เดินดูทั่วทั้งชั้นแล้วก็ไม่เห็นนายตัวเองเลย
แม้แต่เจินเจินที่น่าจะอยู่ในห้องนั่งเล่นก็ไม่เห็น
เธอกดกระดิ่งห้องแม่บ้าน เมื่อถามแล้วจึงจะรู้ว่าคุณชายไปที่วังแล้ว เพราะวันนี้คุณหนูมู่ต้องฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าอีกหนึ่งเข็ม คุณชายก็เลยพาคุณหนูมู่ออกไปด้วยกัน
ฉวีซือลงมาบอกเรื่องนี้ให้พวกจั๋วหรันรู้ จั๋วซีพลันพยักหน้าเอ่ยว่า:”ฉันเข้าใจแล้ว ฉันจะไปหาพวกคุณชายกับคุณหนูเดี๋ยวนี้เลย”
ที่ทุกคนคอยช่วยทำงานและรับใช้คุณชายสี่ หนึ่งเป็นเพราะคำสั่งของคุณปู่ และสองคือสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างพวกเขากับคุณชาย
ยิ่งตอนนี้พวกเขาได้รับรู้ถึงตัวตนของคุณชายแล้วก็ยิ่งกระตือรือร้นมากขึ้นกว่าเดิม ไม่มีอะไรที่เป็นเกียรติสำหรับพวกเขามากไปกว่านี้แล้ว ประหนึ่งว่ามันคุ้มมากพอแล้วกับอุปสรรคและขวากหนามที่พวกเขาเจอมาตลอดทั้งทาง
………….
นั่วยีกลับมายังห้องของคุณหญิงเยว่หยา
หนึ่งในองครักษ์ที่ยืนเฝ้าหน้าห้องพลันเอ่ยกับเขาว่า:”ฝ่าบาทตื่นตั้งแต่เมื่อห้านาทีก่อนแล้วครับ และเรียกใช้ท่านด้วย”
นั่วยีฟังแล้วสะดุ้ง ก่อนจะรีบเดินเข้าไปเคาะประตูห้องทันที:”ฝ่าบาท กระหม่อมนั่วยีขอรับ”
“เข้ามา!”
เสียงทุ้มดังขึ้นอย่างมีพลัง
นั่วยีเปิดประตูออก พลันเห็นโล่เจปู้ที่เปลี่ยนเสื้อเสร็จเรียบร้อย และกำลังก้มหน้ายุ่งอยู่กับคอมฯของหนีซีโย่วตรงหน้าโต๊ะหนังสือ
เขารีบเอ่ยขึ้นทันทีว่า:”ฝ่าบาท ขออภัยที่กลับมาช้าขอรับ”
“เหอะๆ ไม่เป็นไร ตกลงกันไว้แล้วนี่ว่าจะกลับมาบ่ายสอง วันนี้ฉันตื่นเร็วเอง”
โล่เจปู้เคลื่อนมือออกห่างคอมฯ ก่อนจะหันมาเอ่ยกับเขาต่อว่า:”ครั้งนี้ถ้ากลับไปเมื่อไหร่ ก็พวกพาจั๋วหรันกับจั๋วซีไปด้วยกันเลย”
สายตาของเขาเผยแววอ่อนโยน ท่าทางผ่อนคลายประหนึ่งกำลังพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ เพียงแต่เมื่อคำพูดนั้นออกมาจากปากของผู้เป็นกษัตริย์ ก็กลับกลายเป็นคำประกาศิตที่ไม่อาจขัดขืนได้
นั่วยีเอ่ยตอบด้วยสีหน้าลำบากใจว่า:”ฝ่าบาท นั่นคือพ่อของกระหม่อมที่สั่งให้พวกเขาอยู่ที่นี่”
“ดูแลเจ้าสวะนั่นงั้นหรือ?” โล่เจปู้หรี่ตาลง
บรรยากาศในห้องพลันตึงเครียดและมาคุในชั่วพริบตา เม็ดเหงื่อเริ่มผุดขึ้นตามกรอบหน้าของนั่วยี
โล่เจปู้เอ่ยต่อว่า:”เป็นเพราะใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกนานไปสินะ ก็เลยปีกกล้าขาแข็ง! นายกับลูกแยกทางกันนานเกินไป ภายภาคหน้าหากสักวันอยากจะพากลับมา แม้ตัวจะกลับแต่ใจก็ใช่ว่าจะกลับด้วยไม่!”
“ฝ่าบาท! เมื่อกี้กระหม่อมเพิ่งไปเจอพวกเด็กๆมา พวกเขาต่างก็จงรักภักดีต่อฝ่าบาท และเป็นเด็กดีที่จริงใจ!”
“นั่วยี ทำไมนายไม่ฟังคำฉันแล้ว?”
“กระหม่อมไม่กล้าขอรับ!”
บรรยากาศในห้องเพิ่มความตึงเครียดทวีคูณขึ้นไปอีก!
โล่เจปู้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะก้าวขาเดินเข้าไปหาเขา:”ถ้าไม่ใช่เพราะเชื้อสวะนั่นเกือบจมน้ำตาย แล้วเยว่หยาร้องไห้จนใจจะขาด ฉันก็……มันก็คงตายไปจากบนโลกนี้นานแล้ว!”
บัดซบ!
ถึงแม้เจ้าสวะนั่นจะไม่ได้เกิดมาเพราะเยว่หยาต้องการ แต่ก็ปฏิเสธความจริงที่มันเป็นลูกแท้ๆของเยว่หยาไม่ได้!
เสด็จย่าเคยกล่าวกับเขาไว้ว่า ผู้หญิงหากได้เป็นแม่คนแล้ว แม้ว่าจะมีฝนมีดห่าลงมาจากฟ้า ก็ไม่อาจทิ้งลูกไว้หนีไปเพียงลำพังได้!
“ฝ่าบาท! คุณชายสี่เป็นคนดีจิตใจผุดผ่อง ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับเรื่องพรรค์นั้นของตระกูลหลิงทั้งนั้น! ท่านคือกษัตริย์ที่หลักแหลมและเมตตาที่สุดเท่าที่กระหม่อมเคยเจอมาทั้งชีวิต ท่านน่าจะเข้าใจดีกว่าใคร ว่าความเกลียดชังคั่งแค้นของรุ่นใหญ่ไม่ควรถูกพาลใส่เด็กที่เป็นผู้บริสุทธิ์!”
นั่วยีกระวนกระวายใจเหลือเกิน เขากำหมัดแน่นพลางเอ่ยตอบด้วยใจที่หวาดกลัว
โล่เจปู้กลับสบมองเขานิ่ง สายตาคมเฉียบประดุจปลายมีดที่พร้อมทิ่มแทงเขาจนพรุน:”นั่วยี ทุกครั้งเมื่อยามพูดถึงเรื่องนี้ คนที่อยากให้เด็กนั่นตายที่สุดก็คือนาย!”
ทว่าวันนี้ ทำไมหลังจากที่เขาได้เจอกับลูกชายที่ห่างหายกันไปนาน ถึงเปลี่ยนความคิดตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมาของเขาได้กลับตาลปัตรถึงเพียงนี้?
นี่มันแปลกประหลาดเกินไปแล้ว!
“นั่วยี อธิบายมาซะ ว่าเพราะอะไร? ที่แท้แค่กินข้าวมื้อหนึ่งก็ถึงกับล้างสมองกันได้เลยงั้นเหรอ?”
โล่เจปู้กดเสียงต่ำลงกว่าเดิม ต่ำจนรู้สึกได้ถึงอันตรายบางอย่าง:”อธิบายดีๆล่ะ นายอยู่กับฉันมานานที่สุด และฉันก็ไม่อาจให้อภัยคนสนิทที่หลอกลวงฉันได้มากที่สุดเหมือนกัน!”