ตอนที่ 148 องค์ชาย

นั่วยีแย่งมือถือมาจากฉวีซือ ดูแล้วดูอีกว่าตนเองไม่ได้ตาฝาดไป เม็ดเหงื่อพลางผุดขึ้นเต็มหน้าผาก

“ฉันต้องเอาเรื่องนี้ไปรายงานกับฝ่าบาท!”

นั่วยีเอ่ยเสียงหนักแน่น เหมือนได้ตัดสินใจบางอย่างลงไป

ฉวีซือกลับทำเสียงขึ้นจมูก พลันเอ่ยว่า:”อย่าคิดเชียวว่าถ้าเอาไปบอกฝ่าบาทแล้วคุณชายสี่จะรู้สึกซาบซึ้ง เท่าที่ฉันสังเกตมา คุณชายท่านไม่ได้เห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องวิเศษวิโสอะไรเลยด้วยซ้ำ!”

จั๋วหรันพยักหน้าอย่างเห็นด้วย:”ผมก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน คุณชายสี่ท่านเป็นห่วงคุณหญิงเยว่หยามากกว่า กลับไม่เคยพูดว่าอยากเจอพ่อหรือถามถึงพ่อเลย”

นั่วยีได้ยินดังนั้นแล้วชะงักกึก พลันเอ่ยน้ำเสียงตระหนกว่า:”นี่มันไม่ใช่เรื่องอยากเจอหรือไม่อยากเจอแล้ว แต่มันเป็นเรื่องใหญ่ของฝ่าบาท! เป็นเรื่องใหญ่ของประเทศหนิงของเรา!”

จนถึงตอนนี้ฝ่าบาทก็ยังไม่มีรัชทายาทมาสืบทอดตำแหน่ง จู่ๆก็มีลูกชายที่ไม่รู้โผล่มาจากไหนออกมาแบบนี้ คิดไม่ออกเลยว่าท่านจะดีใจมากขนาดไหน!

ซ้ำยังเป็นลูกที่คุณหญิงเยว่หยา ผู้หญิงที่ฝ่าบาทรักมากที่สุดเป็นคนให้กำเนิดด้วย!

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การกำเนิดของเด็กคนนี้ ไม่ใช่ความอดสูหรืออัปรีย์ แต่มันหมายถึงราชวงศ์จะมีผู้สืบทอดบัลลังก์!

นั่วยีหันหลังกลับจะเดินออกไปทันที:”พวกแกทั้งหมดรอฉันอยู่ที่นี่ ฉันจะไปรับฝ่าบาทมา แล้วพวกแกก็เล่าทุกสิ่งทุกอย่างให้ท่านฟังอีกครั้งซะ!”

“พ่อ!”

โม่หลินก้าวเข้าไปคว้าแขนนั่วยีไว้:”พ่อ พ่อเคยคิดบ้างไหม ว่าทำไมคุณหญิงเยว่หยาถึงไม่เคยแก้ต่างให้ตัวเอง แม้จะต้องรับผิดเพียงคนเดียวมาโดยตลอด? ซ้ำยังต้องฝืนทนความเจ็บปวดที่จะต้องแยกจากเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง คนที่เจ็บปวดเองก็ไม่ได้มีแค่ท่าน ยังมีฝ่าบาท และคนรอบข้างอีกมากมายที่เป็นห่วงและเจ็บไม่ต่างกัน รวมทั้งคุณชายสี่ก็ด้วย!”

สิ้นเสียง ทั้งห้องพลันตกอยู่ในความเงียบสงบอีกครั้ง

โคมไฟระย้าที่แขวนห้อยอยู่บนเหนือศีรษะ สะท้อนแสงไฟยังใบหน้าของทุกคนที่เผยแววอารมณ์แตกต่างกัน ทว่ากลับไม่มีใครสามารถหนีออกจากความตึงเครียดและความอึดอัดนี้ได้

สถานการณ์ให้ความรู้สึกประหนึ่งคนที่ติดอยู่ในถ้ำเป็นเวลานาน ได้ยินเสียงน้ำไหล รับรู้ว่ามีทางออก แต่ไม่ว่ายังไงก็หาทางออกไม่เจอ

อึดอัด!

หงุดหงิด!

กระวนกระวายใจ!

จั๋วซีครุ่นคิด ก่อนจะเกริ่นขึ้นว่า:”ผมว่า พ่ออย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้กับใครจะดีกว่า รอกลับไปที่เมืองหลวงเมื่อไหร่แล้วรีบไปถามคุณปู่เลย คุณปู่เป็นคนส่งพวกผมให้คุณหญิงเยว่หยาเองกับมือ แสดงว่าท่านรู้ว่าพวกผมต้องรับใช้คุณชายสี่ และก็ต้องรู้ตัวตนที่แท้จริงของคุณชายแน่ๆ!”

คนที่เหลือพลันพยักหน้าเห็นด้วย

จั๋วหรันเอ่ยต่อว่า:”พ่อ เรื่องรัชทายาทไม่ใช่เรื่องเล็ก ผมว่าเราควรระวังและรอบคอบไว้ก่อนจะดีกว่า ถ้าหากมีอะไรที่ฝ่าบาทรับรู้ไม่ได้จริงๆ แต่เรากลับ……เกรงว่าผลจะเป็นยังไงเราก็คงไม่อยากจะคิด กลับไปถามคุณปู่ รอให้แน่ใจทุกอย่างแล้วค่อยพูดจะดีกว่า!”

นั่วยีคลายสีหน้าลงเล็กน้อย พลางยอมรับฟังคำพูดของลูกชาย

ทันใดนั้น จู่ๆฉวีซือก็เอ่ยขึ้นอย่างเย้ยหยันต่อว่า:”จะเป็นยังไงก็ช่างเถอะ เพราะจะพูดหรือไม่พูดสุดท้ายมันก็มีค่าเท่ากันอยู่ดี ฉันว่าคุณชายไม่คิดจะยอมรับเขาเป็นพ่อเลยด้วยซ้ำมั้ง!”

นั่วยีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

ผู้หญิงคนนี้ ดูภายนอกแล้วเหมือนจะอ่อนแอเรียบร้อย คิดไม่ถึงเลยว่าแท้จริงแล้วจะห้าวหาญองอาจได้ถึงขนาดนี้

นั่วยีหันมองจั๋วหรันต่อ พลันเอ่ยถามว่า:”ปกติเมียแกหาเรื่องแกล้งแกบ่อยไหม?”

จั๋วหรันชะงัก ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธยิ้มๆว่า:”ไม่เลยครับ อาซือดีกับผมมาก และเธอก็ดีมากๆด้วย ได้มีเธอเป็นคู่ครองใช้ชีวิตกับผม ถือว่าเป็นบุญวาสนาของผมครับ”

ดูจากแววตาที่จริงจังหนักแน่นของลูกชาย นั่วยีดูออก ว่าจั๋วหรันรักผู้หญิงคนนี้มากจริงๆ

เขาหันไปมองสำรวจฉวีซือต่ออีกชั่วครู่ ก่อนจะถอนหายใจพูดว่า:”เอาเถอะ ถึงจะดูห้าวจัดและโผงผางไปหน่อย แต่ก็ยังดีที่ไม่เล่ห์ร้ายเหมือนพวกผู้หญิงคิดไม่ซื่อละกัน!”

สิ้นเสียง พวงแก้มของฉวีซือก็พลันขึ้นสีระเรื่อ

นี่เขา กำลังชมเธออยู่ใช่ไหม?

เดี๋ยวนะ นี่มันเหมือนแซะเธอซะมากกว่า อะไรคือห้าวจัดกัน? บนโลกนี้ยังมีภรรยาห้าวจัดที่อ่อนโยนแบบเธออีกหรือไง?

โม่หลินยิ้มขำ พลันใช้มือซ้ายคล้องแขนฉวีซือ และใช้มือขวาคล้องแขนจั๋วหรัน แล้วเอ่ยกับนั่วยีว่า:”นั่นสิคะพ่อ หนูก็คิดว่านิสัยพี่ฉวีซือถูกใจหนูเหมือนกัน รักก็คือรัก เกลียดก็คือเกลียด ภายนอกดูแข็ง แต่ภายในอ่อนโยน พ่อคะ อย่าพูดเรื่องให้พี่ใหญ่หย่ากับพี่ฉวีซืออะไรเทือกนั้นอีกเชียวละ!”

พอโม่หลินพูดถึง นั่วยีก็กลับเป็นฝ่ายรู้สึกผิดซะเอง

เขาเกาจมูกแก้เก้อ แต่พอเห็นทุกคนกำลังมองมาที่เขาก็จำต้องพูดออกมาว่า:”ก็นะ คำพูดที่พรั่งพรูออกมาตอนโกรธมันนับได้ซะที่ไหนล่ะ”

“ฮ่าๆๆๆๆ~”

“เหอะๆๆ~”

ทุกคนต่างก็ลั่นเสียงหัวเราะ จั๋วหรันดึงฉวีซือมาโอบไหล่ ก่อนจะเอ่ยกับนั่วยีว่า:”พ่อ อาซือเธอใจดีมากเลยล่ะครับ ถ้าพ่ออยู่กับเธอนานๆไป ผมมั่นใจว่าพ่อต้องชอบเธอแน่ๆ!”

“รู้แล้วน่า!” นั่วยีโบกมือ:”เอ้า นั่งลงๆ มากินข้าว นี่ก็ผ่านไปยี่สิบนาทีละ เวลาเรายังเหลืออีกแค่สี่สิบนาทีแล้วนะ!”

“พ่อพูดผิดแล้ว! รอครั้งนี้แยกจากกันแล้วรวมตัวกันอีกทีก็จะเป็นตลอดไปต่างหาก!”

“ฮ่าๆๆ ใช่ โม่หลินพูดถูก ตลอดไป!”

หลังจากนั้น ทุกคนต่างก็พูดกินไปพลาง บรรยากาศในห้องก็ดีขึ้นไม่น้อย

เพียงแต่เรื่องของหลิงเล่หาใช่เรื่องเล็กไม่!

กระทั่งตอนท้ายบทสนทนา นั่วยีก็มองโม่หลินด้วยสีหน้าครุ่นคิด พลันเอ่ยว่า:”ทีแรกว่าจะพาแกกลับเลยหลังจากที่งานประชุมของคุณหญิงเยว่หยาจบลง เพราะกลัวแม่แกเป็นห่วง แต่ตอนนี้ดูทรงแล้ว……”

“พ่ออยากพูดอะไรกันแน่?”

โม่หลินสบมองแววตาสับสนของพ่อตัวเองอย่างไม่เข้าใจ ทว่ากลับตอบอย่างหนักแน่นว่า:”พ่อคะ หนูเป็นถึง ยศชั้นสี่ซ่างซือ ของวังหลวง การรับใช้และช่วยฝ่าบาทแบ่งเบาความกังวลคือหน้าที่ของหนู ถ้าพ่อมีอะไรจะมอบหมายให้หนูทำก็บอกมาเลยค่ะ หนูจะทำให้ดีและสุดความสามารถอย่างแน่นอน!”

นั่วยีกระพริบตา เอ่ยตอบว่า:”คุณชายหนีบอกว่าเขาจะอยู่ที่เมือง m ต่ออีกสักสองสามปี ครั้งแรกตอนได้ยินเขาพูดแบบนี้ พ่อก็แปลกใจอยู่เหมือนกันว่าทำไม แต่ตอนนี้ดูแล้ว น่าจะเป็นเพราะว่าถูกนายใหญ่ตระกูลหนีส่งมาปกป้องคุณชายสี่แน่ๆ พลางให้เขาฝึกฝนตัวเองไปด้วย สองสามปีที่ว่าน่าจะเป็นแค่คำตอบบังหน้า เวลาที่เขาน่าจะกลับไป ก็คงจะเป็นตอนที่คุณชายสี่กลับเข้าวัง”

พวกจั๋วหรันฟังแล้วต่างก็เงียบไม่ตอบ

ต่างจากฉวีซือที่มีนิสัยตรงไปตรงมา พลันเอ่ยออกมาทันทีว่า:”หมายความว่าคุณพ่อจะให้โม่หลินอยู่ที่นี่ ดูแลรับใช้คุณชายสี่สินะคะ?”

“ไม่ใช่แค่คุณชายสี่ แต่รวมทั้งว่าที่พระมเหสีคุณหนูมู่ แล้วก็คุณชายหนีด้วย อยู่ๆก็มีนายที่ต้องปกป้องดูแลมากมายขนาดนี้ ลำพังแค่เธอสามคนก็คงไม่พอหรอก ถึงโม่หลินจะเป็นแค่เด็กอ่อนหัด แต่อย่างน้อยยัยเด็กนี่ก็เป็นคนที่เชื่อถือได้ เธอสามคนเองก็วางใจไปได้เปลาะหนึ่ง”

พอนั่วยีพูดจบ โม่หลินก็ใช้มือป้องปากอย่างตื่นเต้นดีใจจนไม่รู้ว่าต้องพูดอะไรต่อ

จั๋วซีเองก็ยิ้มขำ ก่อนจะเอ่ยอย่างดีใจว่า:”พวกผมจะดูแลน้องให้ดีแน่นอนครับ!”

นั่วยีพยักหน้า พลันถามจั๋วซีว่า:”แกล่ะมีคนที่ปลื้มหรือถูกใจบ้างหรือยัง?”

จั๋วซีหันหน้าเสมองไปทางอื่นอย่างเขินอายทันที:”พ่อพูดอะไรผมไม่เข้าใจ”

“ฮ่าๆๆๆๆ~!”

เสียงหัวเราะลั่นดังขึ้นอีกครั้ง นั่วยีตบบ่าเขาพลางเอ่ยว่า:”ฉันเดาว่าปู่แกคงต้องมีเหตุผลบางอย่างแน่ๆ ตอนแรกที่ฉันรู้ว่าคุณชายสี่เป็นองค์ชาย ฉันก็ตกใจมากเหมือนกัน ตอนนี้พอได้นั่งกินข้าวคิดดูดีๆแล้ว ฉันก็เข้าใจหลายๆอย่างขึ้นมาไม่น้อย คนที่กุมความจริงไว้ในมือทั้งหมด เดาว่าคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากนายของ ห้วนเทียนเก๋อ!”