ตอนที่ 147 ถูกหลอก
“ฉันเองก็ไม่มีลูกสะใภ้ที่เห็นผิดเป็นชอบแบบเธอเหมือนกัน!”
นั่วยีเอ่ยหน้าขรึม พลันหันไปจ้องจั๋วหรันตาเขม็ง:”หย่ากันซะ! ผู้หญิงที่โง่เขลาแบบนี้แกจะเอาไปทำไม?”
“พ่อ!”
“ก็แค่เมียคนเดียวทำไมฉันจะหาใหม่ให้แกไม่ได้? หย่ากันซะ! แล้วฉันจะขอให้ฝ่าบาทยกลูกเจ้าเมืองสักคนให้แกเอง!”
“พ่อ!”
จั๋วซีกับโม่หลินขานเรียกพร้อมกัน
โม่หลินมองนั่วยีด้วยแววตาตำหนิคาดโทษ:”นี่พ่อยังเผด็จการในบ้านไม่พออีกเหรอ ทำไมต้องมายุ่งกับชีวิตแต่งงานของพี่ใหญ่ด้วย? เรื่องเล็กแค่นี้เอง จำเป็นต้องมีปากเสียงกันขนาดนี้เลยหรือไง?”
“ก็ใครกันล่ะที่เสียมารยาทลุกขึ้นจะกลับไปก่อน ไม่ไว้หน้าฉันเลยสักนิด!”
“นั่นก็เพราะพ่อพูดจาไม่น่าฟังก่อนไม่ใช่เหรอ! พ่อเคยคิดบ้างไหม ว่าตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมา ชีวิตพ่อกับพวกพี่เขาไม่เหมือนกันแล้วนะ!
ตอนนี้ทุกคนมีชีวิตเป็นของตัวเองแล้ว ไม่มีผิดหรือถูกอะไรทั้งนั้น! มีแต่จุดยืนที่ไม่เหมือนกัน!”
“เป็นลูกชายฉัน ก็ต้องฟังคำฉัน!”
“พี่ใหญ่กับพี่ฉวีซือก็มีลูกชายเหมือนกัน! หรือพ่อไม่เอาหลานแล้ว? หลานชายที่หนูไม่เคยเห็นหน้า ก็เป็นลูกแท้ๆของพี่ฉวีซือ! ถ้าพ่อยังเผด็จการแบบนี้ไม่เลิก ระวังไว้เถอะว่าหลานพ่อจะไม่ยอมรับพ่อเป็นปู่แน่!”
โม่หลินจ้องพ่อตัวเองไม่วางตา พลางเอ่ยพ่นถ้อยคำทิ่มแทงใจประหนึ่งลูกกระสุน
นั่วยีชะงัก อารมณ์โทสะพุ่งขึ้นถึงขีดสุด พลางกำหมัดไว้แน่นเสมือนกำลังจะระเบิด!
จั๋วซีทำหน้าหม่น ก่อนจะปริปากเอ่ยน้ำเสียงหงุดหงิดว่า:”พ่อ ผมไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมพ่อถึงได้เกลียดชังตระกูลหลิงขนาดนั้น แต่คุณชายไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลหลิง นี่เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้!”
นั่วยีสบถด่าทันทีว่า:”เพ้อเจ้อ! มันคือเชื้อสวะของตระกูลหลิง! เป็นความอัปรีย์ที่คั่นขัดระหว่างฝ่าบาทและคุณหญิงเยว่หยา!”
จั๋วซีแค่นยิ้มอย่างสมเพช พลางบีบนวดขมับอย่างหมดคำพูด:”พ่อ! ผมไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าทำไมพ่อถึงต้องพูดแบบนี้? เราต่างก็รู้กันดีว่าคุณชายสี่คือลูกแท้ๆของคุณหญิงเยว่หยา”
ตอนนี้มันไม่ใช่เรื่องจุดยืนของใครของมันแล้ว แต่เป็นปัญหาที่ต้องแยกความผิดชอบและจริงเท็จ
ความจริงเป็นอย่างไร พวกจั๋วหรันต่างก็รู้ดีอยู่แก่ใจ เพราะช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ พวกเขาได้รู้และเห็นมากับตาตัวเอง!
นั่วยีชี้ด่าจั๋วหรันอย่างโกรธเคืองทันทีว่า:”หุบปาก! ผู้หญิงที่สง่าผ่าเผยอย่างคุณหญิงเยว่หยา หญิงที่คู่ควรจะเป็นแม่ของแผ่นดินที่สุด ไม่ต้องการลูกชายเศษสวะแบบมัน! คุณหญิงเยว่หยา ไม่เคให้กำเนิดเดนมนุษย์แบบนี้! ห้ามพวกแกพูดสุ่มสี่สุ่มห้าเด็ดขาด!”
บัดซบ!
ใครมันเป็นคนบอกพวกเขากันแน่?
จั๋วหรันสบมองนั่วยี พลางเอ่ยสีหน้าเรียบเฉยว่า:”พ่อ ผลตรวจดีเอ็นเอของคุณชายกับหลิงหยวนที่เพิ่งออกมาได้สองวันยังอยู่กับจั๋วซีอยู่เลย พวกเขาไม่ใช่พ่อลูกกันจริงๆ! หนำซ้ำ ระหว่างพวกเขายังมีความสัมพันธ์เครือญาติกันอยู่อีกด้วย”
จั๋วซีเบ้ปาก ก่อนจะเอ่ยอย่างช่วยไม่ได้ว่า:”วันนี้ผมไม่ได้พกผลตรวจมาด้วย เมื่อวานหลังจากให้คุณชายหนีดูตอนอยู่คฤหาสต์จือเวย ผมก็เก็บเข้ากระเป๋ากางเกงเลย วันนี้ผมเปลี่ยนเสื้อ ผลตรวจก็เลยถูกล็อคเก็บไว้ในตู้นิรภัย”
จั๋วหรันเอ่ยต่อว่า:”แต่ว่านะ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ พวกผมคงไม่กล้าโกหกพ่อหรอก พวกผมเป็นลูกแท้ๆของพ่อ แม้จะไม่ได้เจอหน้ากันยี่สิบปี แต่พวกผมก็ยังคงเป็นลูกพ่อไม่เปลี่ยนแปลง”
ลูกชายสองคนสลับกันพูด จนนั่วยีรู้สึกสับสนและมึนงงไปหมด
ส่วนโม่หลินก็ยกมือป้องปากอย่างเหลือเชื่อ พลางครุ่นคิดอยู่เนิ่นนานก่อนจะเอ่ยเสียงออกมาว่า:”คุณหญิงเยว่เคยคลอดลูกด้วยงั้นเหรอ?”
สิ้นเสียง สายตาคมเฉียบทุกคู่พลันจดจ้องมาที่เธอทันที
โม่หลินส่ายหน้าเอ่ยปฏิเสธทันควันว่า:”ไม่ ฉันไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น วันนี้ถ้าออกจากห้องนี้ไป ฉันจะลืมทุกอย่างไปให้หมดเลย! ฉันสาบาน!”
นั่วยีถอนหายใจ ท่าทางเหมือนคนหมดเรี่ยวหมดแรง
ฉวีซือกลับขมวดคิ้วขึ้นแน่น พลางจดจ้องนั่วยีเอ่ยว่า:”เป็นเพราะคุณพ่อเชื่อข่าวลือโดยไม่พิสูจน์จริงเท็จอะไรก่อนหรือเปล่า ก็เลยมั่นใจว่าคุณชายเป็นลูกของตระกูลหลิง และไม่เชื่อที่เราพูดเลย”
นั่วยีแค่นเสียงเย็น เอ่ยตอบว่า:”ก็มันเป็นเชื้อสวะของตระกูลหลิงจริงๆ!”
ฉวีซือแค่นยิ้ม:”นี่เหรอคนที่ได้ชื่อว่าเป็นข้าราชการ ยศชั้นหนึ่ง ของวังหลวง ดูๆแล้วก็ไม่เห็นจะมีอะไรพิเศษเลยนี่!”
“เธอ!”
“คุณพ่ออายุเยอะแล้ว ใช่ว่าจะสู้ชนะฉันได้ เห็นแก่ที่เป็นพ่อของจั๋วหรัน ฉันจะออมมือให้ก็แล้วกัน ถ้าคุณพ่อจะลงมือกับฉันจริงๆ!”
“เธอ!”
“คำก็เธอสองคำก็เธอ เป็นหุ่นยนต์พูดเป็นแค่คำเดียวหรือไง?”
“……”
นั่วยีถูกลูกสะใภ้ตัวเองไล่ต้อนจนเถียงไม่ออก
จั๋วหรันกลับเอ่ยต่อว่า:”พ่อ คุณชายสี่หน้าเหมือนกษัตริย์เทียนหลิงทุกกระเบียดนิ้วเลย ท่านต้องเป็นลูกของกษัตริย์เจปู้ไม่ผิดแน่! ผลตรวจดีเอ็นเอเป็นของจริง ตัวอย่างที่ใช้ตรวจดีเอ็นเอก็เป็นเส้นผมของหลิงหยวนที่จั๋วซีเห็นคุณชายดึงออกมากับมือด้วยตาตัวเองในห้องทำงาน! ทุกขั้นตอนในกระบวนการ แม้แต่หมอที่มาทำเรื่องนี้ ก็เป็นคนที่ผมกับจั๋วซีหามาด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้นทุกอย่างต้องไม่มีอะไรผิดพลาดแน่ๆ!”
ทว่าสิ่งที่ทำให้นั่วยีสนใจและตกตะลึง กลับเป็นคำแรกตั้งแต่ที่จั๋วหรันเริ่มพูด!
“เจ้าสวะนั่นหน้าเหมือนกษัตริย์เทียนหลิงงั้นเหรอ? แกพูดบ้าอะไรน่ะ?”
ฉวีซือยิ้มขำอย่างสมเพช:”นี่คุณพ่อสติยังดีอยู่หรือเปล่าคะ? คนที่ลูกชายตัวเองรับใช้มาตั้งหลายปี คุณพ่อไม่เคยเห็นแม้แต่รูปถ่ายใบเดียวเลยงั้นเหรอ?”
นั่วยีไม่ตอบ
ที่ผ่านมา ข่าวคราวของจั๋วหรันและจั๋วซี คุณหญิงเยว่หยาเป็นคนมาบอกในวังเองทั้งหมด และคุณหญิงเยว่หยาก็ไม่เคยเอารูปถ่ายของคุณชายสี่ให้เขาดู ยิ่งโดยเฉพาะ เด็กคนนี้เดิมทีก็เป็นเสี้ยนหนามในใจของทุกคนอยู่แล้วด้วย!”
แล้วใครจะยังกล้าพูดถึงอีกกัน?
แค่ฝ่าบาทยอมปล่อยให้เด็กคนนี้มีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้ก็สุดแสนจะเมตตาแล้ว!
ฉวีซือล้วงเอามือถือออกมา พลางค้นรูปของคุณชายตอนอยู่กับมู่เทียนซิงที่พวกเขาแอบถ่ายในวันปกติ แล้วยื่นให้นั่วยีดู
“ผู้ชายในรูป คือคุณชายสี่ ส่วนผู้หญิงก็คือคุณหนูมู่เทียนซิง และก็เป็นว่าที่ภรรยาของคุณชาย”
นั่วยีจ้องฉวีซือเขม็งชั่วครู่ ก่อนจะรับเอาโทรศัพท์มาดู แล้วชะงักกึกไปทั้งตัว
มือใหญ่พลันสั่นเทาด้วยความตกตะลึง
เขารู้สึกเพียงแค่ว่าหัวใจของเขามันกำลังจะหยุดเต้น!
นี่มัน…..ทำไมถึงได้เหมือนกันขนาดนี้……..
“ตอนนี้จะเชื่อได้หรือยัง?” ฉวีซือดึงเอามือถือกลับมา แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนลงว่า:”เพราะฉะนั้น อย่าคิดว่าตัวเองอายุเยอะแล้วก็จะทับถมคนรุ่นอ่อนกว่าได้! แม้ว่าคุณพ่อจะอยู่มานานกว่าเรา หรืออาบน้ำร้อนมาเยอะกว่าเรา แต่ว่า สิ่งที่พวกคุณคิดก็ใช่ว่าจะถูกต้องและเป็นความจริงไปซะหมด!”
นั่วยีเผยสีหน้าซีดเผือด
เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิด ที่กษัตริย์เทียนหลิงไม่เคยถามถึงเรื่องรัชทายาท และดูไม่ใส่ใจว่าราชวงศ์จะมีสายเลือดมาสืบสานต่อหรือเปล่า ที่แท้ก็ไม่ใช่ว่าท่านมองโลกในแง่ดีงั้นเหรอ?
ที่พ่อของเขาพาเด็กสองคนออกจากวังด้วยตัวเอง แล้วส่งให้คุณหญิงเยว่หยา ไม่ใช่เพราะจะปกป้องลูกของเธอที่ถูกคลอดออกมาหลังจากที่ถูกหลิงหวินข่มขืน แต่เพราะเป็นลูกของฝ่าบาทงั้นเหรอ?
เขาโขกหัวตัวเองอย่างเข้าใจแจ่มแจ้งทันทีว่า:”พวกเราถูกหลอกแล้ว! ฝ่าบาทถูกหลอกแล้ว! หลิงหวินไม่เคยข่มขืนคุณหญิงเยว่หยาเลยด้วยซ้ำ คุณหญิงเยว่หยาท่านเป็นผู้บริสุทธิ์! แต่เขากลับบอกว่าตัวเองขืนใจคุณหญิงเยว่หยา….แต่ว่า…..มันก็ยังไม่ใช่อยู่ดี ทำไมคุณหญิงเยว่หยาถึงต้องรับผิดที่ตนไม่ได้ทำมาจนถึงตอนนี้ด้วย? มันไม่สมเหตุสมผลเลย! ให้ตายสิ!”
นั่วยีหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ ท่าทางเหมือนคนสติล่องลอยไม่มีผิด
และคำพูดที่ออกมาจากปากอย่างลืมตัวของเขา ก็ทำให้คนอื่นๆในห้องต้องถึงกับอึ้งชะงักเหมือนกัน!
หลิงหวิน?
หลิงหวินไม่ใช่พี่ชายของหลิงหยวนหรอกเหรอ?