ตอนที่ 146 ขุ่นเคือง

รักครั้งแรกของคุณชายปีศาจ

ตอนที่ 146 ขุ่นเคือง

ณ โรงแรมฉีซิง

ภายในห้องอาหารส่วนตัว จั๋วหรันกับจั๋วซีต่างก็นั่งรอด้วยท่าทีกระสับกระส่ายอย่างปิดไม่มิด

ฉวี่ซือเองก็ตื่นเต้นเช่นกัน แต่ก็ไม่มากเท่าสองพี่น้อง

เธอไม่เหมือนสองคนตรงหน้า แม้ว่าจะถูกส่งมารับใช้คุณชายสี่ด้วยกัน แต่พวกเขามีพ่อแม่ แถมยังถูกฝึกและใช้ชีวิตอยู่ในวังตั้งแต่เด็ก ต่างจากเธอที่เป็นเด็กกำพร้าไม่มีพ่อแม่ ตอนอยู่กับจวงเสว่ก็มีตระกูลหนีที่คอยชุบเลี้ยงอุปถัมภ์มาโดยตลอด

เธอเรียนทำอาหาร ส่วนจวงเสว่ก็เรียนเกี่ยวกับยา ทั้งคู่ไม่ได้คุยกันนักเมื่อครั้งที่ยังอยู่ในตระกูลหนี เแต่ก็ยังคงได้เจอหน้ากันบ่อยๆ

หลังจากนั้น พวกเธอก็ถูกส่งมาอยู่กับหลิงเล่ ทว่าจวงเสว่กลับคิดไม่ซื่อ ซ้ำยังถูกหลิงเล่ดูออกในทันที และเริ่มที่จะไม่ไว้ใจเธอ ถึงอย่างนั้นจวงเสว่ก็ยังคงไม่รู้ตัว หลายๆครั้งก็ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งในสิ่งที่ต้องการ

จั๋วหรันเองก็ไม่ชอบนิสัยแบบนี้ของเธอมากนัก แต่ก็รักและมีความรู้สึกดีๆให้ฉวีซือมานานแล้วด้วย

สถานการณ์ในวันนี้ กล่าวได้ว่า บุคลิกนิสัยจะเป็นตัวตัดสินโชคชะตา

มือทั้งสองข้างของฉวีซือในยามนี้เองก็กุมเข้าหากันจนแน่น เธอไม่กลัวอะไรทั้งนั้น นอกจากพ่อของคนรักที่มียศศักดิ์ ยศชั้นหนึ่ง จะไม่ยอมรับเด็กกำพร้าที่ไม่มีอะไรอย่างเธอ

จั๋วหรันและจั๋วซีต่างก็ไม่อาจรับรู้ได้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ พวกเขานึกเพียงแค่ว่าเธออาจตื่นเต้นที่จะได้เจอกับพ่อปู่เป็นครั้งแรก

ภายในห้องตกอยู่ในความเงียบสงัด ระหว่างพวกเขาไม่มีบทสนนาใดๆเกิดขึ้นทั้งนั้น แม้แต่คำปลอบโยนก็ไม่มี ต่างก็เฝ้ารอกันอย่างตื่นเต้นและอดทน

ทันใดนั้น ประตูห้องก็พลันถูกเปิดออก ตามด้วยร่างของโม่หลินที่เดินเข้ามาด้านใน

“พี่ฉวีซือ! พี่รอง!” โม่หลินขานเรียก เธอมองจั๋วหรันที่แตกต่างจากในความทรงจำ ก่อนจะยิ้มขำออกมาตาแดงก่ำ:”พี่ใหญ่!”

พวกจั๋วหรันเองก็ตอบรับ ใบหน้าทุกคนแต้มไปด้วยรอยยิ้ม ทว่าดวงตากลับแดงก่ำเพราะความปลื้มปีติ

ฉวีซือเกิดลิ้นพันกันขึ้นมาทันที โดยเฉพาะหลังจากที่เห็นเงาร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ด้านหลังโม่หลิน เธอตื่นเต้นและตกใจจนพูดจาติดๆขัดๆ ประหนึ่งสติล่องลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว:”โม่โม่…..อะไม่….หลินหลิน……..เอ่อ ฉัน ขอโทษนะ แต่ชื่อเล่นเธอชื่ออะไรเหรอ?”

โม่หลินหันตัวไปหาคนถาม ก่อนจะจับมือเธอขึ้นมากุม แล้วเอ่ยว่า:”พี่ไม่ต้องตื่นเต้นนะ วันนี้ผู้หญิงมีแค่เราสองคน ถ้าเกิดผู้ชายพวกนี้กล้าแกล้งพี่แล้วล่ะก็ รับรองว่าหนูจะต่อยพวกเขาจนหน่วมแน่ๆ!”

ฉวีซือลอบคิด สาวน้อยคนนี้ช่างเป็นคนใส่ใจและร่าเริงเสียจริงๆ ก่อนจะพยักหน้าตอบยิ้มๆว่า:”อืม มีเธออยู่ พี่ก็ไม่กลัวอะไรแล้วล่ะ!”

“ยัยบื้อ! พูดอย่างกับว่าพี่ชายแกทั้งสองคนเป็นยักษ์เป็นมารอย่างงั้นล่ะ!” น้ำเสียงตำหนิของใครบางคนพลันดังขึ้น

สองพี่น้องที่ถูกกล่าวอ้างเห็นนั่วยีตั้งแต่เขาเข้ามาแล้ว

เพียงแต่พวกเขารู้สึกตื้นตันจนไม่รู้จะพูดอะไร มีเพียงหยดน้ำใสที่ไหลรินอาบแก้ม พวกเขาเบิกตามองนั่วยีตาไม่กระพริบ ไม่อยากพลาดหลับตาลงแม้เพียงเสี้ยววินาที

พวกเขารู้อยู่เต็มอก ว่าการพบกันในครั้งนี้ มีเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น!

ก่อนมานั่วยีได้รับปากกับภรรยาตอนคุยโทรศัพท์กันแล้วว่าจะไม่ร้องไห้เด็ดขาด เพราะเขาไม่อยากทำให้ลูกชายทั้งสองรู้สึกไม่ดี

ระหว่างทางที่รับโม่หลินมาจากโรงพยาบาล เขาก็กำชับกับลูกสาวตัวเองซ้ำอีกว่าให้เธอพยายามหาวิธีอย่าทำให้บรรยากาศมันเศร้า การที่คนในครอบครัวได้พบเจอและรวมตัวกันควรเป็นเรื่องน่ายินดี ไม่ใช่ร้องห่มร้องไห้จนแห่พากันเศร้าซึมไปหมด พอได้เห็นแล้วก็พลันรู้สึกใจหาย ลูกชายเขาโตขึ้นขนาดนี้แล้วหรือนี่!

และที่น่าเซอร์ไพรส์กว่านั้นคือ คิดไม่ถึงเลยว่าลูกสะใภ้คนโตของเขาจะเป็นหญิงสาวที่ดูอ่อนหวานเรียบร้อยและสะอาดสะอ้านได้ถึงปานนี้

แล้วใครมันบอกเขากันว่าเธอเป็นหญิงห้าวที่ฆ่าผู้ชายสิบคนแหลกคามือได้ตัวคนเดียว!

ตอนที่เขารู้ว่าจั๋วหรันแต่งงานแล้ว ในใจเขาไม่ได้รู้สึกดีมากนัก เพราะเขาไม่ได้ชมชอบลูกสะใภ้แบบนี้ แต่ในเมื่อลูกชายเขาชอบ งั้นมันก็คงช่วยไม่ได้ ตั้งแต่ลูกชายยังเล็กเขาก็ไม่อาจอยู่ดูแลพวกเขาได้ แล้วยิ่งตอนโตจะมาลิดรอนอิสรภาพในการแต่งงานของลูกชายก็ดูจะไม่เข้าท่าเสีย

แต่ตอนนี้ นั่วยีรู้สึกสบายใจแล้ว และวางใจแล้วด้วย

ชายวัยกลางคนอ้าแขนทั้งสองข้างออกกว้าง ก่อนที่จั๋วหรันและจั๋วซีจะโผตัวเข้ากอดร่างแกร่งของผู้เป็นพ่อและปล่อยเสียงร่ำไห้ออกมา

โม่หลินเองก็กุมมือฉวีซือไว้ หญิงสาวทั้งสองจดจ้องไปยังชายร่างตัวโตสามคนที่กอดคอกันร้องไห้พลางอดน้ำตาไหลไปด้วยไม่ได้

ผ่านไปประมาณสองสามนาที นั่วยีก็ปล่อยตัวลูกชายออก พร้อมทั้งเช็ดน้ำตาให้ทีละคน พลันเอ่ยว่า:”เวลาเรามีน้อย อย่าเสียมันไปกับน้ำตาเลยนะ มา มานั่งกินข้าวกัน กินไปพลางพูดไปพลางดีกว่า”

ทุกคนพยักหน้า ก่อนจะนั่งลงล้อมรอบโต๊ะตัวกลม

โม่หลินเอ่ยขึ้นยิ้มๆว่า:”พี่ใหญ่พี่รอง! ก่อนหนูออกจากวังหนูได้ไปหาคุณปู่ที่ ห้วนเทียนเก๋อ ด้วยนะ คุณปู่บอกว่าอีกไม่นานพวกพี่ก็น่าจะได้กลับวังกันแล้วล่ะ!”

“จริงเหรอ?” ฉวีซืออุทาน ก่อนจะเหลือบมองจั๋วหรัน

ทว่าจั๋วหรันกับจั๋วซีกลับมีสีหน้าตึงเครียดแทนที่จะดีใจ

นั่วยียกกำปั้นขึ้นโขกหัวโม่หลิน:”ยัยบื้อ แกไปเจอกับคุณปู่ตอนไหนเนี่ย? ได้ข่าวแล้วก็ไม่รู้จักมาบอกฉันกับแม่แกล่ะ ไม่งั้นแม่แกคงดีใจสามวันสามคืนก็ไม่หาย!”

โม่หลินเบะปาก พลางลูบหัวทุยของตัวเองแล้วเอ่ยว่า:”ก็คุณปู่ไม่ให้หนูบอกพ่อ ท่านฝากหนูบอกพี่ใหญ่พี่รองว่าดูแลปกป้องคุณชายสี่ให้ดีด้วย”

ทันใดนั้น บรรยากาศพลันตกอยู่ในความเงียบสงัด

นั่วยีเผยแววขุ่นเคือง ทว่าก็เพียงแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น:”อย่างเจ้าสวะนั่นจะมีอะไรให้ปกป้องนักหนา? ยังไงสักวันพวกแกก็ต้องกลับวังกันอยู่ดี ถ้าถึงวันนั้นแล้วเจ้านั่นมันก็ต้องอยู่ตัวคนเดียวอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย ซึ่งก็สมน้ำหน้ามันแล้ว!”

สิ้นเสียง ทั้งจั๋วหรัน จั๋วซี และฉวีซือต่างก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที

ฉวีซือไม่ได้แสดงออกชัดเจนมากนัก เธอเพียงเอ่ยว่า:”คุณชายสี่เป็นคนเก่งมีความสามารถ ไม่ใช่สวะเหมือนที่คุณพ่อคิด”

นั่วยีอึ้งชะงัก พลางสบมองฉวีซือด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ

จั๋วหรันกลัวพ่อตัวเองจะโกรธฉวีซือ จึงรีบเอ่ยสำทับว่า:”พ่อ คุณชายท่านไม่ได้เป็นอย่างที่ลือกันจริงๆนะครับ ถ้าพ่อมองท่านตามที่ได้ยินข่าวเล่าลือกันมา แสดงว่ามันต้องมีอะไรเข้าใจผิดกันแน่ๆครับ!”

“หึ!” นั่วยีแค่นเสียงเย็น เอ่ยต่อว่า:”กินข้าว! แล้วห้ามคุยเรื่องนี้อีก เสียบรรยากาศ!”

ฉวีซือกำลังจะพูดอะไรต่อ ทว่ากลับโดนจั๋วหรันห้ามปรามไว้เสียก่อน

โม่หลินเองก็เอ่ยเตือนเธอเสียงเบาว่า:”พี่ฉวีซืออาจจะไม่รู้ แต่คุณพ่อเขาเกลียดคนตระกูลหลิงเข้าไส้เลยล่ะ! หลายปีที่ผ่านมานี้ ไม่ใช่แค่ห้ามพูดถึงนะ แม้แต่ข่าวในทีวีถ้ามีเรื่องที่เกี่ยวกับตระกูลหลิงก็ห้ามเปิดดูโดยเด็ดขาด เพราะฉะนั้นพี่อย่าพูดถึงอีกเลยจะดีกว่า”

“แต่คุณชายสี่ไม่ได้เป็นลูกของบ้านตระกูลหลิงสักหน่อย ทำไมต้องเอาความแค้นเคืองพาลใส่ตัวท่านด้วย?” ฉวีซือเอ่ยเสียงขุ่นเคือง นี่มันไม่ยุติธรรมเลยสักนิด!

นั่วยีได้ยินดังนั้นก็เริ่มหัวเสียแล้วเหมือนกัน:”ใครบอกว่าเจ้าเด็กทรพีนั่นไม่ใช่คนของตระกูลหลิง? รู้ไหมว่าเพราะมัน ฝ่าบาทก็เลยต้องทรมานลำบากขนาดไหน? ฉันน่าจะบีบคอมันให้ตายคามือตั้งแต่มันเกิดออกมาเลยด้วยซ้ำ! มันอยู่ไปก็เป็นได้แค่ความอัปยศอดสูเท่านั้น!”

“คุณพ่อ! ทำไมถึงพูดจาไร้เหตุผลแบบนี้!” ฉวีซือผุดลุกขึ้นยืน ก่อนจะหยิบเอากระเป๋าขึ้น พลันเอ่ยปากทั้งที่ยังไม่ทันได้มองหน้าจั๋วหรันว่า:”ฉันขอตัวกลับคฤหาสต์จือเวยก่อนล่ะ เกรงว่าถ้าฉันยังอยู่ที่นี่ต่อไป อาหารมื้อนี้ก็คงจะไม่มีใครกินลงอีก พวกคุณนานๆได้เจอกันที เชิญต่อกันตามสบายเลยค่ะ!”

จั๋วหรันคว้าแขนฉวีซือไว้ พลางเอ่ยเสียงอ่อนว่า:”อาซือ อย่าโกรธเลยนะ”

“จะไม่ให้ฉันโกรธได้ยังไง? หลายปีที่ผ่านมา คุณลืมไปแล้วเหรอว่าเรากับคุณชายผ่านกันมายังไง? พอได้เจอกับพ่อแล้ว ก็กลายเป็นไม่รู้จักแยกผิดชอบชั่วดีแบบนี้เหรอ? อ้อ ฉันเกือบลืมไปละ ว่าพ่อของคุณเป็นราชเลขาคนสนิทของฝ่าบาทสินะ เป็นถึงข้าราชการตำแหน่ง ยศชั้นหนึ่ง! ตอนนี้คุณมีที่พึ่งพาแล้วนี่!”

ฉวีซือโกรธขั้นขีดสุด ให้ตายสิ เธอไม่เคยเห็นพ่อสามีที่ไร้มารยาท ไร้เหตุผล และไม่รู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดีแบบนี้มาก่อนเลย!