ตอนที่ 145 ดูออก
มู่เทียนซิ่งจดจ้องทีวีตรงหน้า พลางนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อวานตอนที่เธอเห็นหนีซีโย่วในลิฟต์ก่อนจะหลุดขำออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่ได้
หลิงเล่หันมองเธอเล็กน้อย:”เป็นอะไรไป?”
มู่เทียนซิงสบมองเขา พลันบอกเล่าเรื่องราววันนั้นที่หนีซีโย่วกระซิบข้างหูเธอว่าจะตบก้นเธอให้หลิงเล่ฟัง
เธอเอ่ยต่อว่า:”ลุงก็ลองคิดดูสิ คุณหญิงเยว่หยาที่เราเห็นในทีวีตอนนี้ออกจะดูสูงส่งและสง่า คิดไม่ถึงเลยว่าจะพูดจาหยอกล้อแบบนั้นกับฉันได้ บุคลิกเบื้องหน้าเบื้องหลังที่แตกต่างกันสิ้นเชิงขนาดนี้ ไม่คิดเหรอว่ามันน่าสนใจดีออก”
หลิงเล่ตาเป็นประกายขึ้นมาทันที
เขาไม่เคยรู้เลยจริงๆ ว่าที่แท้แม่ของเขาจะเป็นคนแบบนี้
“เล่าให้ฉันฟังอีกสิ” เขามองเธออย่างอ่อนโยน:”ตั้งแต่วินาทีแรกที่พวกเธอเจอกัน เล่าให้ฉันฟังทั้งหมดเลย ยิ่งละเอียดยิ่งดี”
และแล้วมู่เทียนซิงและหลิงเล่ก็ใช้เวลายามเช้าของพวกเขาไปทั้งอย่างนั้น
หัวข้อบทสนทนาหลักๆที่พวกเขาคุยกันเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคุณหญิงเยว่หยา
หลิงเล่เป็นเด็กที่ต้องการความรักจากแม่มาโดยตลอด เขาอยากรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับแม่
แม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็กๆน้อยๆก็ตาม
มู่เทียนซิงเล่าละเอียดมาก พอเล่าอันนี้เสร็จ เธอก็เล่าข่าวลือของคุณหญิงเยว่หยาที่เธอเคยฟังมาตั้งแต่เด็กจนโตให้เขาฟังต่อ
เธอยังเล่าให้หลิงเล่ฟังอีกว่าหนีหย่าจูนเคยบอกเธอเรื่องที่ฝ่าบาททรงรับสั่งให้สร้าง เยว่หยาวาน ให้คุณหญิงเยว่หยาเป็นที่อยู่อาศัย ซ้ำยังไม่คิดจะมีคู่ครองเพื่อเธอด้วย
การประชุมได้จบลงเมื่อเวลาประมาณสิบเอ็ดโมงครึ่ง
พวกเขาทั้งคู่ต่างก็ชื่นชมและนับถือความหลักแหลมและสง่าของคุณหญิงเยว่หยาอยู่ตรงหน้าโซฟา เมื่อภาพในทีวีถูกตัดเข้าโฆษณา มู่เทียนซิงก็บิดเอวยืดแขนพลันผุดลุกขึ้นยืนจากโซฟา
ฉวีซือเดินเข้ามาหาพวกเขา แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า:”คุณชายสี่ คุณหนูมู่ ถึงเวลาที่เราต้องไปที่โรงแรมกันแล้วค่ะ”
พวกเขานัดเจอกับนั่วยีที่ร้านอาหารในโรงแรมฉีซิงตอนเวลาบ่ายหนึ่ง นั่วยีบอกว่าเขายังได้จองห้องส่วนตัวไว้ให้คนในครอบครัวได้เจอกันพร้อมหน้าพร้อมตากันอีกด้วย
ฝ่าบาทเองก็เข้าใจว่านี่เป็นโอกาสหายากที่เขาจะได้เจอหน้าลูกชายที่ห่างหายกันไปหลายปี จึงอนุญาตให้เขาลางานได้หนึ่งชั่วโมง ตั้งแต่บ่ายหนึ่งถึงบ่ายสอง
หลังจากบ่ายสองเมื่อฝ่าบาทตื่นมา เขาก็จำต้องกลับไปทันที
เพื่อการนี้ ฉวีซือจึงเตรียมอาหารเที่ยงไว้แต่เช้า เธอเสิร์ฟวางลงบนโต๊ะอาหาร แล้วเอ่ยว่า:”แล้วเราจะรีบกลับมาค่ะ”
หลิงเล่พยักหน้า ก่อนจะหันไปเอ่ยถามจั๋วหรันว่า:”เตรียมของขวัญไว้ให้น้องสาวหรือยัง?”
จั๋วหรันยิ้ม:”เตรียมไว้แล้วครับ”
นี่เป็นเพียงไม่กี่ครั้งที่ได้เห็นจั๋วหรันยิ้ม และเป็นเพราะรอยยิ้มนี้ ทำให้หลิงเล่เองก็ยิ้มตามไปด้วย:”พวกนายรีบไปเถอะ”
มู่เทียนซิงทอดมองแผ่นหลังของพวกเขาที่จากไป พลางคิดว่าลุงเองก็คงอยากจะไปด้วยแน่ๆ ไม่ว่าจะไปเยี่ยมหนีหย่าจูนและคุณหญิงเยว่หยาที่โรงพยาบาล หรือไปเจอกษัตริย์เจปู้ที่โรงแรม
ทว่าหลิงเล่กลับดูออกในทันทีว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
น้ำเสียงที่เจือความเหยียดและไม่เป็นมิตรพลันดังขึ้นว่า:”ฉันไม่อยากเจอเขาเลยสักนิด เรื่องนี้ เธอคิดผิดแล้ว”
มู่เทียนซิงหันขวับไปมองเขา เธอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ถึงจะเข้าใจว่า”เขา”ที่หลิงเล่หมายถึงคือกษัตริย์เจปู้นี่เอง
เธอเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจว่า:”ทำไมล่ะ? ท่านเป็นพ่อแท้ๆของลุงเลยนะ!”
แม้ว่าจะไม่เคยตรวจดีเอ็นเอมาก่อน แต่ใบหน้าของหลิงเล่ที่เหมือนคุณปู่ของเขาทุกกระเบียดนิ้วก็น่าจะชัดเจนพอแล้ว ผนวกกับข่าวลือความสัมพันธ์ที่คลุมเครือกันระหว่างคุณหญิงเยว่หยากับกษัตริย์เจปู้ก็ยิ่งไม่มีอะไรให้ต้องสงสัยอีก
ทว่าหลิงเล่กลับเอ่ยตอบว่า:”เพราะเขาไม่คู่ควรยังไงล่ะ!”
“ลุงใจกล้าใจเด็ดมาจากไหนเนี่ย กษัตริย์นี่ยังไม่ควรค่าให้ลุงไปเยี่ยมเขาหน่อยเลยเหรอ?”
“แม้แต่ผู้หญิงของตัวเองก็ยังไม่มีปัญญาจะปกป้องเลย ทำให้เธอต้องถูกข่มขู่และตกอยู่ในอันตราย กษัตริย์แบบนั้น ในสายตาฉัน ก็เป็นได้แค่…….”
หลิงเล่คิดอยู่เนิ่นนานก็คิดคำที่เหมาะสมออกมาไม่ได้สักที
จนในที่สุดเขาก็นึกขึ้นมาได้ ก่อนจะเอ่ยออกมาว่า:”ผู้ชายเฮงซวย! ใช่ เป็นแบบที่เธอบอกฉันเมื่อวาน ผู้ชายเฮงซวยยังไงล่ะ!”
มู่เทียนซิงแทบเอามือก่ายหน้าผาก พอเห็นสีหน้าจริงจังของหลิงเล่แล้วก็ถามย้ำอีกว่า:”แล้วลุงรู้ได้ไงว่าคุณหญิงเยว่หยาจะถูกข่มขู่จริงๆ? มั่นใจได้ยังไงว่าฝ่าบาทเป็นผู้ชายเฮงซวยแบบที่ลุงพูด? ฉันว่าพี่หย่าจูนน่าจะสนิทกับพวกเขาไม่น้อยเลย ถ้าพี่เขาบอกว่าฝ่าบาทเป็นคนรักเดียวใจเดียว งั้นท่านก็ต้องเป็นคนรักเดียวใจเดียวไม่ผิดแน่ๆ”
“รักเดียวใจเดียวก็ใช่ว่าจะเป็นผู้ชายเฮงซวยไม่ได้”
หลิงเล่พูดอย่างไม่เห็นด้วยว่า:”เขารักและคิดถึงผู้หญิงคนเดียวมาตลอดหลายปีได้ แต่กลับไม่สามารถปกป้องเธอไว้ได้ ซ้ำยังทิ้งขว้างให้ลูกตัวเองอยู่ข้างนอกอีก เทียนซิง ฉันเอานิ้วหัวแม่เท้าคิด ก็ยังคิดได้เลยว่าเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแม่ของฉันจะมีลูกของเขาได้ ถ้าให้พูดกันตรงๆก็คือ เขาไม่รู้เลยว่าบนโลกนี้ยังมีฉันอีกทั้งคน”
มู่เทียนซิงเงียบ เธอรู้สึกว่าที่เขาพูดมันก็ถูก
แม้จะไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงคิดแบบนี้ก็ตาม
แต่ไม่ว่ายังไง มู่เทียนซิงก็ไม่อยากให้หัวใจของหลิงเล่ถูกความเกลียดชังกัดกินมากไปกว่านี้อีก
เพราะคนที่ใช้ชีวิตอยู่กับความเกลียดชัง จะไม่มีทางได้พบกับความสุขที่แท้จริง
“ลุง ลุงอย่าโทษท่านเลยนะ ไม่แน่ท่านอาจจะมีเหตุผลบางอย่างก็ได้”
“เขาไม่รู้ว่าบนโลกนี้ยังมีฉันอยู่อีกคน ใช้ชีวิตอย่างสูญเปล่าไปนับเป็นปีๆ แต่แม่ของฉัน รู้ว่าบนโลกนี้ยังมีฉัน แม้ว่าจะถูกข่มขู่ทำร้ายมากแค่ไหนก็ยังคงฝืนทน คอยช่วยเหลือฉันอยู่ตลอด ฉันรักแม่ คิดถึงแม่ แต่ฉันไม่รักพ่อ ไม่เคยคิดถึงผู้ชายคนนั้นที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อฉันเลย ฉันไม่ปฏิเสธว่าเขาเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ แต่เขาเองก็ไม่ใช่พ่อที่ยิ่งใหญ่อะไรแน่ๆ ฉันจะไม่มีทางรู้สึกกับคนๆหนึ่งที่ไม่แม้แต่จะรับรู้ถึงตัวตนของฉัน แม้แต่ความเกลียดชังก็ไม่!”
คำพูดของหลิงเล่ เสมือนใบมีดแหลมคมที่ทิ่มแทงลงบนใจเขา
แม้ภายนอกจะดูเฉยชาเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไร แต่ในความเป็นจริง ขวดน้ำผลไม้คั้นสดที่ถูกเขาบีบจนผิดรูปก็สะท้อนความในใจเขาออกมาอย่างชัดเจนแล้ว
มู่เทียนซิงครุ่นคิด ก็ยังไม่เข้าใจถึงเหตุผลของเรื่องทั้งหมดนี้อยู่ดี
เธอเอียงศีรษะเล็กน้อย พลันพิงลงบนไหล่ของหลิงเล่ ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า:”แล้วลุงคิดว่าเหตุผลของคุณหญิงเยว่หยา คืออะไรงั้นเหรอ”
หลิงเล่ไม่ตอบ
มู่เทียนซิงเอ่ยต่อว่า:”ทั้งๆที่พี่หย่าจูนรู้ แต่เขากลับไม่ยอมบอกเราเลย”
หลิงเล่ถอนหายใจเบา:”งั้นก็ปล่อยมันไปเถอะ”
น้ำเสียงของเขาเจือความเศร้าโศกและเหนื่อยหน่ายที่ปิดไม่มิด
มู่เทียนซิงถามอย่างไม่ยอมแพ้ต่อว่า:”ทำไมล่ะ? ลุงไม่อยากคลายปมให้แม่ แล้วให้ท่านยอมรับลุงได้อย่างไม่ต้องกังวลอะไรแล้วเหรอ?”
แววตาเขาพลันหม่นแสงลง ก่อนจะตอบเสียงแข็งว่า:”ไม่อยาก”
“ทำไมล่ะ?”
“สำหรับฉัน แค่ท่านมีความสุขก็เพียงพอแล้ว”
“ลุง~”
“ทุกคนในตระกูลหนีต่างก็ดูฉลาดหลักแหลมกันทั้งนั้น แม่ของฉันก็น่าจะเป็นหัวแก้วหัวแหวนของพวกเขา ทว่ากับเรื่องนี้แม้แต่พวกเขาก็ยังไม่อาจจะช่วยอะไรได้ หลายปีที่ผ่านมาก็ทำได้แค่มองแม่ฉันอย่างเป็นห่วงอยู่ห่างๆ เดาได้ไม่ยากว่าเรื่องนี้มันต้องมีอะไรมากกว่านั้นแน่ๆ ฉะนั้นลำพังแค่ฉันคนเดียวก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี แต่ก็ช่างมันเถอะ เพียงแค่ฉันรู้ ว่าท่านเป็นแม่ของฉัน เพียงแค่ฉันรู้ ว่าท่านยังสบายดีก็พอแล้ว ฉันคิดว่าถ้าฉันรักตัวเองและมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อท่าน ก็ถือได้ว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณได้มากที่สุดแล้วล่ะ”