บทที่ 128 ข้าต้องการความสมบูรณ์แบบ

สำรับมนตราของชายาอ๋อง

มันเงียบมากและไม่มีการเคลื่อนไหวอื่นใดนอกจากรถม้าที่นางนั่งอยู่ รู้สึกเหมือนว่ามันกำลังวิ่งอยู่บนถนนลูกรังในหมู่บ้าน และพื้นดินก็เป็นหลุมเป็นบ่อเล็กน้อย

นางพยายามเคลื่อนไหวอย่างนุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อไม่ให้ดึงดูดความสนใจและการเฝ้าดูจากคนข้างนอก จากนั้นจึงขยับตัวไปยังตำแหน่งเดิมแล้วหายใจช้าลง เพื่อแสร้งทำเป็นว่านางยังไม่ตื่น

หลังจากไม่ทราบระยะเวลาแน่ชัด ต๋งเหม่ยจิงก็เปิดม่านรถม้าและเหลือบมองแล้วพึมพำ “เหตุใดถึงยังไม่ตื่นอีก”

คนขับรถม้าเอ่ยชม “คุณหนู ทักษะของท่านอยู่เหนือคนทั่วไป สตรีผู้นี้ดูบอบบางและอ่อนแอ ท่านทุบตีนางให้ตายได้ด้วยหมัดเดียว”

“ไม่ ข้ายังโกรธอยู่ก่อนจะขึ้นรถ” ต๋งเหม่ยจิงยืนบนรถม้าและมองไปไกล “ใกล้จะถึงแล้ว”

“ใกล้จะถึงแล้วขอรับ อีกครึ่งชั่วยามเราจะถึงจวนใหม่ของนายท่านแล้ว”

ต๋งเหม่ยจิงยืดเอวแล้วพูดอย่างไม่อดทนว่า “ท่านพ่อก็จริง ๆ นะ เขาต้องส่งคนมายังที่ที่แม้แต่นกก็ไม่มาขี้แล้วจะให้สนุกได้อย่างไร หากให้นางไปอยู่ในเมืองหลวงและให้นางเห็นหรือได้ยินสิ่งที่คุ้นเคยข้างนอก แต่ไม่อาจหลบหนีออกไปได้ก็จะเป็นเรื่องที่น่าสนุกกว่าอีก”

คนขับรถม้ายกยิ้มและกล่าวว่า “ไม่ว่าจะเลวร้ายเพียงใด แต่อ๋องหลี่ชินก็ยังคงเป็นอ๋อง สุดท้ายในเมืองหลวงก็มีผู้คนมากมาย ดังนั้นหากท่านพานางมานอกเมือง ท่านก็จะได้สนุกมากกว่า”

เมื่อพูดเช่นนั้นแล้ว ชายผู้นั้นก็ยื่นมือโบกไปมาในอากาศ “แต่คนที่คุณหนูใหญ่หามาเป็นหญิงงามอย่างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน พวกข้าน้อยไม่ได้เจอของเช่นนี้มาห้าหรือหกปีแล้ว ฮ่า ๆ ทั้งหน้าตาและร่างกายช่างน่าดึงดูด”

ต๋งเหม่ยจิงยกเท้าขึ้นเตะชายผู้นั้นเบา ๆ แล้วถ่มน้ำลายใส่ “เจ้าก็ไปเกลี้ยกล่อมท่านพ่อเองสิ แล้วจะได้เล่นต่อจากท่านทีหลังได้”

“เอ๊ะ” คนขับพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่าและรู้สึกกังวลเล็กน้อยในใจ

หลายปีที่ผ่านมา เด็กสาวตัวเล็ก ๆ ทุกคนที่เขานำเข้ามาในจวนอัครมหาเสนาบดีนั้น ตอนที่เข้าไปก็อยู่ในสภาพดี แต่เมื่อออกมาก็จะตายหรือเป็นบ้า และเมื่อถูกหามออกไปสภาพร่างกายของพวกนางก็ไม่มีอะไรดีเลย อย่าว่าแต่เล่นด้วยเลย เพราะไม่สามารถแม้แต่จะหอมแก้มได้ด้วยซ้ำ

เมื่อนึกถึงความทรมานที่สาวสวยในรถม้าจะต้องเผชิญ คนขับรถม้าก็รู้สึกเห็นใจขึ้นมาเล็กน้อย

หลังจากเดินทางไปข้างหน้านานกว่าสองเค่อ รถม้าก็หยุดลงหลังจากที่ขึ้นเนินเขามาแล้ว

“คุณหนูใหญ่ขอรับ ข้าน้อยจะไปแก้ปัญหาก่อน รอประเดี๋ยวนะขอรับ” คนขับรถม้ากระโดดลงจากรถแล้วเข้าไปในป่าใกล้ ๆ

ต๋งเหม่ยจิงพิงรถม้าและหลับตาลงเล็กน้อย

ม่านรถม้าถูกลมพัดปลิว ฉินปู้เข่อพยายามลุกขึ้นและมองออกไปนอกหน้าต่าง รถม้าจอดอยู่บนเนินเขาสูงและมีป่าทึบอยู่ทางซ้ายมือ ซึ่งชายผู้นั้นน่าจะเพิ่งไปที่นั่นเพื่อปลดทุกข์

ทางขวามือมีโขดหินใหญ่น้อยอยู่ไม่กี่ก้อน เมื่อตั้งใจฟังก็เหมือนจะมีเสียงน้ำไหลอยู่ใต้โขดหิน

ความคิดที่กล้าหาญผุดขึ้นในใจของฉินปู้เข่อ หากนางกระโดดลงจากหน้าต่างรถม้าหรือประตูรถม้าแล้ววิ่งไปที่โขดหินด้วยความเร็วสูงสุดและกลิ้งลงไป บางทีนางอาจจะกลิ้งลงไปในลำธารได้

ดูเหมือนว่าน้ำในลำธารนี้จะตื้นนัก บางทีนางอาจจะได้รับบาดเจ็บจากการกระแทกหินหรือกรวดในขณะที่กลิ้งลงไป แต่ก็ยังดีกว่าถูกต๋งชวนทรมานหรือถูกใช้ให้หักหลังหมี่โม่หรู่

สิ่งที่แย่ที่สุดคือปากของนางถูกปิดไว้ และในขณะนี้นางจึงไม่อาจมีพลังทำลายล้างได้หากนางต้องการ เพราะนางต้องกินอะไรสักอย่าง

นางขยับตัวไปด้านข้างของผนังรถม้า โดยให้หลังพิงกำแพงรถม้าและยืนขึ้นชิดกับผนังรถม้าด้วยสุดกำลังของนาง จากนั้นจึงคุกเข่าบนที่นั่งและลุกขึ้นจากที่นั่ง

ด้วยความสูงดังกล่าว นางจึงสามารถมั่นใจได้ว่าจะกระโดดออกจากหน้าต่างได้

โครม!

ฉินปู้เข่อตกลงมาจากรถม้าและกลิ้งไปกับพื้น ปากของนางเต็มไปด้วยฝุ่น และข้อเท้าซ้ายของนางมีอาการปวดอย่างรุนแรง ซึ่งอาจเป็นเพราะข้อเท้าแพลง

นางไม่สนใจความเจ็บปวด และดิ้นรนที่จะลุกขึ้นเพื่อกระโดดไปข้างโขดหิน

“เพียะ!” แส้ดังมาจากด้านหลังและฟาดนางลงกับพื้น ความเจ็บปวดและความแสบบนแผ่นหลังทำให้นางหูอื้อทันที

นางกลิ้งไปข้างหน้าได้อีกไม่ถึงเมตร ฉินปู้เข่อกัดฟันและใช้หัวเข่าและคางสลับกันเพื่อพยุงตัวเอง

“ตื่นมาแล้วก็ซนเลยหรือ?” ต๋งเหม่ยจิงกระโจนลงจากรถพร้อมแส้ “หากเจ้าหนีท่านพ่อไปได้ ท่านพ่อจะเสียใจนัก”

นางเดินไปข้างหน้าฉินปู้เข่อ จิกผมแล้วลากนางกลับไปที่รถม้า และหยิบกริชออกจากแขนของนางและชี้หน้านางด้วยความลังเล “แทงตรงไหนดีนะ ข้าต้องการทำให้เจ้าไม่อาจวิ่งหนีได้อีกต่อไป แต่ก็ไม่อยากทำร้ายร่างกายและผิวหนังอันยอดเยี่ยมของเจ้า อา เช่นนั้นก็ไปที่เท้าดีกว่า หากข้าทำร้ายเท้าของเจ้า ท่านพ่อก็คงไม่บอกว่าข้าทำพลาดหรอก”

เมื่อพูดเช่นนั้นแล้ว นางก็แทงกริชในมือของนางลงบนหลังเท้าขวาของฉินปู้เข่อ นางไม่ยอมแพ้จนกว่ากริชคมจะเจาะเท้าบาง ๆ ของฉินปู้เข่อและตอกลงติดกับพื้น

“อืม!” ฉินปู้เข่อกัดผ้าในปากของนางและกรีดร้องออกมา ความเจ็บปวดที่เท้าของนางเกือบจะทำให้นางหมดสติ

มีเสียงรถม้ามาจากด้านหน้า ต๋งเหม่ยจิงยืนขึ้นมองดูแล้วแสยะยิ้ม “ท่านพ่อ!”

รถม้าหยุดลงและต๋งชวนก็ลงจากรถ เขานั่งยอง ๆ ตรงหน้าฉินปู้เข่อ แล้วยกมือขึ้นบีบคางของนาง “เหตุใดหน้าเล็ก ๆ ของนางถึงซีดเผือดนัก”

ฉินปู้เข่อมองไปที่ประกายอันตื่นเต้นในดวงตาของเขาและขยับถอยโดยไม่รู้ตัว ความเจ็บปวดที่เท้าทำให้นางคร่ำครวญ

“เลือดออกหรือ? ร่างกายนางได้รับบาดเจ็บหรือ?!” ต๋งชวนมองนางขึ้นลง เขาดูเสียใจเมื่อเห็นแผลที่หลังเท้าขวาของนาง “จุ๊จุ๊ เหตุใดเท้าเล็ก ๆ เช่นนี้ถึงบาดเจ็บ”

“ท่านพ่อ เมื่อครู่นี้นางกำลังจะหนี ลูกจึงแทงนางไปเล็กน้อย แต่เนื้อที่เท้าอีกข้างหนึ่งยังคงดีอยู่เจ้าค่ะ” ต๋งเหม่ยจิงยืนสารภาพข้างหลังต๋งชวนอย่างระมัดระวัง

เพียะ!

ต๋งชวนยืนขึ้นและเหวี่ยงหลังมือลงบนใบหน้าของต๋งเหม่ยจิง และชี้ไปที่ฉินปู้เข่อบนพื้นด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย “พ่อบอกไปแล้วว่าต้องไม่มีแผลเป็นหรือบาดแผลทั่วทั้งตัว!”

ต๋งเหม่ยจิงลูบหน้าแดงของนาง “ลูกรู้ว่าลูกคิดผิด ครั้งหน้าลูกจะระวังมากกว่านี้เจ้าค่ะ”

ฉินปู้เข่อเหงื่อตกด้วยความเจ็บปวด เมื่อได้ยินการสนทนาระหว่างพ่อกับลูกสาวที่บิดเบี้ยวก็ได้แต่ใจสั่นสะท้าน

“ตกลง พ่อจะรับนางไปเอง เจ้าจงกลับไปโดยเร็วเถิด” ต๋งชวนสั่งให้คนพาฉินปู้เข่อไปที่รถม้าของเขา

ต๋งเหม่ยจิงได้รับคำสั่งให้ขับรถม้าอีกคันกลับ ซึ่งระหว่างทางกลับ นางจงใจไม่ไปเส้นทางเดิมแต่เดินผ่านถนนระหว่างหมู่บ้านแทน

ในเวลานี้ หมี่โม่หรู่ผู้ซึ่งไล่ตามรอยรถม้าไปทางทิศใต้มาทันรถม้าพอดี หลังจากการสู้รบ เขาก็พบว่าอนุหลัวและซวงหวนยังคงอยู่ในอาการบาดเจ็บสาหัส

“พระชายาขององค์รัชทายาทพานายหญิงไปทางทิศตะวันออก โดยบอกว่านางต้องการส่งนายหญิงไปหาพ่อของนาง!”

ประโยคนี้เป็นเหมือนอ่างน้ำเย็นที่ถูกเทเข้าสู่หัวใจของหมี่โม่หรู่ เขารีบหวดแส้เพื่อกลับไปยังถนนสายเดิม ถึงกระนั้นเขาก็ไม่อาจหยุดหัวใจที่สั่นสะท้านได้

สมควรตาย! สมควรตาย!

ไม่นานนักหมี่โม่หรู่ก็กลับไปยังที่ที่รถม้าเคยถูกโจมตี และหลังจากระบุทิศทางได้แล้ว เขาก็หวดแส้ไปทางทิศตะวันออก

เมื่อข้ามทางแยกตะวันออกไปเพียงไม่กี่ก้าว รถม้าของต๋งเหม่ยจิงก็เข้ามาใกล้เขา

เมื่อนางเห็นหมี่โม่หรู่นั่งอยู่บนหลังม้า ดวงตาของนางดูประหลาดใจ แล้วนางก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ปรากฏว่าเป็นอ๋องหลี่ชิน ที่เห็นว่านั่งรถเข็นเป็นอัมพาตอยู่ตลอดทั้งปี บัดนี้เมื่อเห็นว่าอ๋องหลี่ชินสามารถขี่ม้าได้ หม่อมฉันก็แทบไม่เชื่อเลยเพคะ”

……………………………………………………………………