ตอนที่ 11-2 ลงโทษ

หลังจากครุ่นคิดแล้ว จึงมีความรู้สึกมิพอใจเกิดขึ้นเล็กน้อยบนใบหน้าของพี่ใหญ่ ขณะที่กล่าวกับหลี่ฉางซีว่า

“ใช่แล้วน้องห้า เป็นเพราะความประมาทของเจ้าทำให้เว่ยหยางสะดุดล้ม!

หากพี่ใหญ่มิได้ลงไปเพื่อดึงน้องสามกลับขึ้นมา หน้าผากของเว่ยหยางก็อาจจะกระแทกกับโขดหินได้

บางที ป่านนี้น้องสามอาจจะต้องเสียโฉมไปแล้ว!”

มิน่าแปลกใจเลย ที่เรื่องราวจบลงเช่นนี้

หลี่เว่ยหยางซ่อนรอยยิ้มเยาะเย้ยเอาไว้ที่หางตา เป็นเพราะนางรู้ซึ้งถึงนิสัยที่แท้จริงของจางเล่อนั่นเอง

จางเล่อมักจะเลือกที่จะปกป้องภาพลักษณ์ของตนเอง ในฐานะผู้ที่มีเมตตาและมีจิตใจดีงามเสมอ

หากจะกล่าวว่า เว่ยหยางฉุดนางลงไป นางก็จะต้องกลายเป็นผู้ที่โง่เขลาในสายตาของผู้อื่นหรือไม่?

ในทางกลับกัน หากกล่าวว่า นางเป็นผู้ที่ช่วยเว่ยหยางขึ้นมา นั่นก็จะเป็นผลดีกับนางมากกว่า

แม้จะเติบโตมาพร้อมกับหลี่ฉางซีแต่เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น หลี่ฉางซีก็ได้กลายเป็นสะพานให้นางก้าวย่างไปสู่การสร้างชื่อเสียงให้กับตนเอง

หลังจากได้ฟังคำอธิบายนั้น หลี่ฉางเซี่ยว จึงจ้องมองไปยังหลี่จางเล่อด้วยความสงสัย

“นั่นเป็นความจริงหรือพี่ใหญ่”

หลี่จางเล่อลังเลชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้าด้วยความรวดเร็ว นางหันไปหาเว่ยหยางและกล่าวว่า

“น้องสามกลับมาได้มินาน แต่เรื่องเช่นนี้ก็เกิดขึ้นมาได้

ในฐานะพี่สาวข้าจะยืนอยู่ตรงนั้น และมองดูนัองสามโดยมิได้ทำอันใดเลยได้อย่างไร?”

ทันทีที่จางเล่อเปิดปากกล่าวเช่นนั้น หลี่เสี่ยวหรันจึงเชื่อนางในทันที

ในกรณีที่เด็กคนนี้กังวลเขายังคงให้ความสำคัญกับเธอเป็นอย่างมาก

เมื่อเห็นรอยยิ้มที่สดใสบนใบหน้าของผู้เป็นบิดา หลี่เว่ยหยางจึงก้มศีรษะลง

เพื่อปิดบังสายตาแห่งความอาฆาตคู่นั้น และได้เกิดรอยยิ้มเย็นเยือกขึ้นที่มุมปากของนาง และคิดในใจว่า

ท่านพ่อ ในเร็ววันนี้ ท่านจะได้พบว่า บุตรสาวที่ดีงามของท่านผู้นี้ จะนำมาซึ่งสิ่งที่ท่านคาดมิถึง!

นางจะต้องชดใช้ความเจ้าเล่ห์ของตนเอง!

ฮูหยินใหญ่มองไปยังหลี่ฉางซีอย่างเย็นชา

“ฉางซี ข้าสั่งสอนเจ้าอย่างไร เกิดอันใดขึ้นกับมารยาทของเจ้า?

มิเพียงแต่ เจ้าเกือบจะทำให้พี่สาม ของเจ้าบาดเจ็บ แต่ยังทำให้พี่ใหญ่ เปียกโชกไปทั้งตัว

จากนี้ไป เจ้าต้องคุกเข่าในห้องโถงบรรพบุรุษเพื่อสำนักผิดเป็นเวลาสามวัน!

หากมิได้รับอนุญาติจากข้า ห้ามลุกขึ้นยืนโดยเด็ดขาด!”

รอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่จางเล่อ นั้นกว้างขึ้น และอบอุ่นราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ

“ท่านแม่ ความดื้อรั้นของน้องห้า เป็นเพราะนางยังเด็ก เว่ยหยางจะรู้สึกมิสบายใจ หากการลงโทษนั้นหนักเกินไป”

จากนั้นนางจึงหันไปทางเว่ยหยางด้วยรอยยิ้ม ดวงอาทิตย์ส่องลงบนใบหน้านั้น ทำให้เห็นถึงความงามอันลึกซึ้งของนาง

“ใช่หรือไม่น้องสาม?”

รอยยิ้มของหลี่เว่ยหยางจาง ๆ แต่ในดวงตาดูเหมือนจะมีไฟที่กำลังโหมกระหน่ำ

“ถูกต้องแล้วพี่ใหญ่ ทั้งหมดมันเป็นความผิดของข้าเอง. หากข้ามิกลับมาในวันนี้

น้องห้าก็คงจะมิต้องเสียใจ และชุดของพี่ใหญ่ก็มิต้องมาเปียกเช่นนี้ น้องห้าข้าขอโทษ!”

ดูเหมือนว่า นางต้องการที่จะบรรลุข้อตกลงสงบศึก โดยการยื่นมือไปจับมือของหลีฉางซีในทันที

หลี่ฉางซีโกรธมาก ขณะที่ปัดมือของหลี่เว่ยหยางออกไปจากตนเอง

หลี่เว่ยหยางมองไปด้านหน้าด้วยความหวาดกลัว จากนั้นจึงก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว

ดวงตาอันงดงามของหลี่จางเล่อหม่นหมองลงในทันที

ช่างน่าเสียดาย ที่เหล็กมิสามารถหลอมละลายให้เป็นเหล็กกล้าได้ ฉางซีมิได้ทำตามที่เว่ยหยางคาดหวังเอาไว้

หลี่ฉางซีรู้สึกโกรธเคืองอยู่เพียงชั่วครู่ และตระหนักในภายหลังด้วยความหวาดกลัวว่า เป็นนางเองที่ทำผิด

ตามที่คาดไว้ หลี่เสี่ยวหรันโกรธมาก

“เจ้าทำตัวมิมีความเหมาะสม! เหลียวมองที่ตนเองดูสิ! สามวันมันยังน้อยเกินไป?

ในเวลาหนึ่งเดือน เจ้าต้องคัดลอกข้อความขอโทษพี่ของเจ้าเป็นร้อย ๆ ครั้ง ก่อนที่จะได้รับการปล่อยตัว!”

จากนั้นเขาก็หันหลังกลับ และเดินออกไปโดยมิเหลียวกลับมามอง

ฮูหยินใหญ่มีความรู้สึกตกใจมาก จึงวิ่งไล่ตามเขาอย่างรวดเร็ว

“ท่านพี่ ท่านพี่ อย่าได้โกรธไปเลย ”

หลังจากทั้งสองคนจากไปแล้ว หลี่ฉางซีก็หน้าแดงด้วยความโกรธอีกครั้งหนึ่ง

“หลี่เว่ยหยางเจ้าเป็นคนที่น่ารังเกียจที่สุด!”

น่ารังเกียจ เช่นนั้นหรือ? หากเจ้ามิได้เริ่มก่อน มันก็จะมิมีอันใดเกิดขึ้น

หลี่เว่ยหยาง ยืนอยู่ในจุดเดิม ในขณะเดียวกัน หลี่ฉางซีได้ถูกหลี่ฉางเซี่ยวดึงตัวออกไป

. “พอแล้ว เจ้ายังทำให้เราตกใจมิพออีกหรือ”

เว่ยหยางแสยะยิ้ม พร้อมกับดวงตาที่เต็มไปด้วยความขุ่นมัว ทำให้หลี่ฉางซีรู้สึกราวกับว่า กำลังถูกแทงด้วยมีดที่แหลมคม และเยือกเย็น

อย่างไรก็ตาม มันกินเวลาเพียงชั่วอึดใจ

ชั่วพริบตา แววตาของหลี่เว่ยหยางก็ได้กระจ่างใส และไร้เดียงสาอีกครั้ง มิมีสิ่งใดที่ผิดสังเกตุให้เห็น

หลี่จางเล่อก้าวเดินมาด้านหน้า

“พอแล้ว! หยุดหาเรื่องได้แล้ว!”

หลี่ฉางซียังคงมีความทุกข์ใจเป็นอย่างมาก ขณะที่จ้องมองไปที่เว่ยหยางด้วยความขุ่นเคือง จากนั้นนางจึงมิกล้าส่งเสียงอีก

ใบหน้าของหลี่จางเล่อเปล่งประกายความสง่างาม และสดใสเป็นประกายเหมือนแก้วใสที่ผ่านการเจียรนัยแล้ว ได้กล่าวว่า

“จากนี้ไป เราในฐานะพี่สาวน้องสาว มิควรโต้เถียงกันอีก แต่เราควรอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และสามัคคี”

“ใช่แล้วพี่ใหญ่”

หลี่เว่ยหยางกล่าวตอบอย่างแผ่วเบา เบาราวกับว่ากำลังกระซิบ

เมื่อมองไปยังรอยยิ้มอันบริสุทธิ์และสงบของเว่ยหยาง

มิทราบว่าด้วยสาเหตุใด หลี่จางเล่อได้เห็นเงาดำปกคลุมร่างนั้นอยู่