บทที่ 105 ดูสิครับคุณพ่อ

เจ้าของร้านพิศวง

วินเซนต์ชะงักคาที่

แผนเดิมของเขาคือการหยั่งเชิงเจ้าของร้านหนังสือ

จากที่คอลินพูด ร้านหนังสือก็ยังทำงานเหมือนปกติ หากเจ้าของร้านอยู่ภายใต้อิทธิพลของวิญญาณร้ายหรือตัวตนเหนือธรรมชาติจริง ๆ เขาก็คงยังดูปกติดี

วินเซนต์เคยประสบเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน…

วิญญาณบางประเภทที่หลงเหลืออยู่ในโลกจากการฆ่าตัวตายนั้นจะยังคงฆ่าตัวตายซ้ำ ๆ โดยไม่รู้ว่าตนตายไปแล้ว

และยังมีเหตุพิเศษบางอย่างที่วิญญาณร้ายไม่แข็งแกร่งพอที่จะสร้างอิทธิพลต่อร่างสิงได้ แล้วทำได้เพียงถักทอกับดักราวกับแมงมุมเพื่อฆ่าร่างสิงให้ตายอย่างช้า ๆ

ยิ่งกว่านั้น คอลินก็เคยพูดว่าก่อนหน้านี้ไม่มีเหตุประหลาดอะไรเกิดขึ้น จนกระทั่งเมื่อเดือนก่อนที่เขาวานเจ้าของร้านหนังสือไปเปิดเบรกเกอร์ไฟฟ้านั้นเอง ถึงได้เกิดเรื่องแปลก ๆ ขึ้นมา

ดังนั้นวินเซนต์จึงคาดการณ์ไว้ว่าสัตว์มายาระดับต่ำได้ออกมาจากรอยแตกของแดนนิมิตสักที่หนึ่ง ปรากฏขึ้นมาในขณะที่มีการฟักสัตว์มายาระดับเหนือนภา

บางทีมันอาจจะใช้ความผันผวนของอีเธอร์ของสัตว์มายาระดับเหนือนภาตนนั้นเพื่อซ่อนตัวแล้วเลี่ยงความสนใจของหอพิธีกรรมต้องห้ามและสมาคมแห่งสัจธรรมออกมาได้

ในปัจจุบันนี้ วินเซนต์สัมผัสถึงเบาะแสใด ๆ ของผีสักตนไม่ได้เลย ดังนั้นเขาจึงสงสัยว่านี่คงเป็นฝีมือของสัตว์มายาหรือตัวตนเหนือธรรมชาติอื่น ๆ

วินเซนต์ได้เตรียมการอย่างเพียงพอแล้วก่อนจะมาที่นี่ แต่เขาไม่เคยคิดฝันเลยว่าจะเจอข้อผิดพลาดตั้งแต่ก้าวแรก

อีกฝ่ายนั้น… ดูสมองปลอดโปร่งกว่าที่เขาคาดฝัน

นอกจากจะไม่เปิดเผยเค้าลางการถูกสิงร่างใด ๆ แล้ว มันกระทั่งตัดสินได้ด้วยว่าวินเซนต์เป็นบาทหลวงจากโบสถ์แห่งจุดสูงสุด

ทว่าร้านหนังสือนี้ก็ให้บรรยากาศที่ผิดปกติมากจริง ๆ และวินเซนต์ก็สัมผัสถึงร่องรอยของอีเธอร์ได้บ้างเมื่อเข้ามาเยือน

นี่หมายความว่าร้านหนังสือนี้เคยมีการกระทำบางอย่างของบุคคลหรือสิ่งเหนือธรรมชาติเกิดขึ้นมาก่อน

อย่างตอนนี้ การ์กอยล์หินบนเคาน์เตอร์นั่นก็ให้ความรู้สึกหนาวสุดขีดและออร่าพยาบาท จนวินเซนต์นึกว่าตนได้พบกับตัวการใหญ่เข้าในชั่วขณะหนึ่ง

คำร้องขอความช่วยเหลือของคอลินนั้นไม่ได้ไร้มูล ทว่า…เขาเข้าใจผิด ปัญหาไม่ได้อยู่กับเจ้าของร้านหนังสือ แต่เป็นตัวร้านหนังสือหรือสิ่งที่อยู่ในนั้นต่างหาก!

ทว่าสถานการณ์ในตอนนี้ดูอันตรายพิกล

เขาเข้ามาด้วยอุปกรณ์ปราบวิญญาณครบครันแล้วอีกฝ่ายจู่ ๆ ก็ถามว่าเขาเป็นบาทหลวงจากโบสถ์แห่งจุดสูงสุดหรือเปล่า วินเซนต์สงสัยจริง ๆ ว่านี่คือคำเตือนที่ถูกเคลือบแฝงมาหรือเปล่า

ความคิดในใจของวินเซนต์ทำงานเร็วจี๋ไปพร้อม ๆ กับที่เขารักษาความระแวดระวังพลางพยายามเก็บอาการไว้

เขากระแอมให้คอโล่งแล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้ “ใช่แล้ว ตอนนี้พ่อกำลังทำงานของสังฆมณฑลนี้อยู่”

เมื่อเขาพูดเช่นนี้ วินเซนต์ก็ ‘สังเกต’ สีหน้าของเจ้าของร้านหนังสืออย่างระมัดระวัง

แม้ว่าเหล่านักบวชของโบสถ์จะต้องผูกผ้าปิดตาทุกคืนเพื่อไม่ให้มองเห็นดวงจันทร์ก็ตาม แต่พวกเขาก็ได้รับพร ‘เนตรจันทรา’ สัมผัสการมองพิเศษที่ทำให้เขาสามารถมองทะลุความมืด หมอก หรือกระทั่งมองสภาพร่างกายของคนอื่น ๆ ได้

ทว่าเมื่อสังเกตเจ้าของร้านหนังสือแล้ว ทุกสิ่งที่วินเซนต์เห็นก็มีเพียงคนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น

ในเมื่อปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตัวคน แปลว่าจะต้องมีบางอย่างที่คอลินไม่รู้… และบางทีเจ้าของร้านหนังสือคนนี้ก็เป็นเหยื่อด้วยเช่นกัน

เขาสามารถลองโน้มน้าวให้อีกฝ่ายจากไปก่อนได้ แล้วจากนั้นก็ทำพิธีปัดรังควานเจ้าการ์กอยล์นี่

“ทำงานเหรอครับ?”

หลินเจี๋ยเลิกคิ้ว บาทหลวงตรงหน้าเขาดูรับผิดชอบงานและขยันขันแข็ง แต่หลินเจี๋ยกลับสัมผัสความหมายแฝงเบื้องหลังคำพูดบางอย่างได้ ราวกับเขาอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ลังเลที่จะพูดอย่างตรงไปตรงมา

ในเมื่อเขาพูดว่ามันเป็นงานและดูจะมาที่นี่ด้วยจุดประสงค์บางอย่าง หลินเจี๋ยก็สงสัยว่ามันน่าจะเป็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับงานของเขานี่แหละ

แล้วอะไรล่ะคืองานของบาทหลวง?

บริหารเหล่าศาสนิกชนในสังฆมณฑล ทำงานเผยแผ่ศาสนา จัดพิธีแต่งงาน สวดมนต์ภาวนา รับสารภาพบาป พิธีสัตย์สาบาน แล้วก็…ปราบผี

หลินเจี๋ยสัมผัสว่าการมาเยือนอย่างกะทันหันของบาทหลวงจะไม่ใช่การพยายามเปลี่ยนศาสนาของเขาเป็นพิเศษอะไร และเหตุผลอื่น ๆ ก็ยิ่งดูเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่

ดังนั้นชายหนุ่มจึงเรียบเรียงเรื่องต่าง ๆ ในใจแล้วสงสัยว่าเรื่องนี้จะมีอะไรเกี่ยวโยงกับการที่เขาถูกเจ้าของร้านข้าง ๆ เข้าใจผิดว่าเป็น ‘วิญญาณร้าย’ อย่างที่พวกเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มาสอบถามเขาเคยพูดถึงหรือเปล่า

หลินเจี๋ยพลันพบทางสว่างแล้วยิ้มกว้าง “คอลินสินะครับ? เขามองว่าผมเป็น ‘วิญญาณร้าย’ แล้วขอให้ใครมาปราบผมสินะเนี่ย”

เฮ้อ…เรื่องที่ลังเลอยู่ก็สมเหตุสมผลขึ้นมาแล้ว คอลินดันเข้าใจผิดว่าเราเป็นวิญญาณร้ายแล้วเรียกบาทหลวงมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ!

สีหน้าของวินเซนต์เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่เขาก็ยังหยุดตัวเองไม่ให้แสดงความอ่อนแอออกมาได้ นอกเสียจากตราศักดิ์สิทธิ์สีเงินในมือเขาที่เกือบหลุดมือ

เขารู้ตัวด้วยเหรอ?!

หลินเจี๋ยสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลง ‘เล็กน้อย’ ของสีหน้าของบาทหลวงแล้วรู้สึกว่าทั้งสองฝ่ายควรเห็นอกเห็นใจกันเข้าไว้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ชวนเก้อเขินจริง ๆ

คอลินทำเกินไปแล้วจริง ๆ เรื่องนี้!

ที่เชิญบาทหลวงจากที่ไกล ๆ มาแล้วให้เขาต้องมาอยู่ในสถานการณ์ชวนกระอักกระอ่วนแบบนี้

จากน้ำเสียงของเจ้าหน้าที่ตำรวจเหล่านั้น หลินเจี๋ยก็เดาไว้ว่าการยืนกรานอย่างหนักแน่นของคอลินว่าเขาเป็น ‘วิญญาณร้าย’ นั้นได้สร้างความไม่สบายใจให้กับบาทหลวงผู้นี้ และเพราะเช่นนั้นเขาจึงมาหาอีกบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อหาทางออก

“ที่จริงแล้วเรื่องนี้ก็แค่ความเข้าใจผิดครั้งใหญ่เท่านั้นแหละครับ ถึงผมจะไม่รู้ว่าทำไมคอลินถึงคิดแบบนี้ก็เถอะ แต่ผมก็แค่เจ้าของร้านหนังสือธรรมดา ๆ ที่สร้างจากเลือดเนื้อเหมือนคนทั่วไปชัด ๆ เลยครับ”

หลินเจี๋ยรำพึง

แล้วจากนั้น หลินเจี๋ยก็พูดขึ้นราวกับเพิ่งนึกบางอย่างได้ “โอ้ใช่ ก่อนหน้านี้สักพักมีเจ้าหน้าที่ตำรวจสองสามนายหลังจากได้ยินเรื่องร้องเรียนที่น่าขำของคอลิน ผมอธิบายให้พวกเขาฟังแล้ว และพวกเขาก็เป็นพยานให้ได้แน่นอนครับ”

สีหน้าของวินเซนต์ยับย่นหนักเข้าไปอีก ตำรวจสามนายนั่นโดนหามออกไปชัด ๆ!

“ดูสิครับคุณพ่อ”

เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของเขา หลินเจี๋ยจึงนำการ์กอยล์หินจากข้าง ๆ ออกมา

เขาพูดด้วยรอยยิ้มสว่างไสว “ผมไม่มีโอกาสได้บอกเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสามเรื่องการ์กอยล์หินที่ลูกค้าคนหนึ่งให้ผมเป็นของฝาก การ์กอยล์นี้ใช้ไล่วิญญาณร้ายและผีต่าง ๆ ได้ แล้วผมจะวางการ์กอยล์หินนี่ไว้ที่เคาน์เตอร์ทำไมถ้าผมเป็นวิญญาณร้ายล่ะเนอะ?”

ดวงตาของวินเซนต์เบิกกว้างเมื่อเขาสบสายตากับการ์กอยล์หินที่วางตรงหน้าเขา

เจ้าของร้านหนังสือคว้ามือของเขาไปวางไว้บนรูปสลักหิน “คุณพ่อลองสัมผัสดูสิครับ การแกะสลักการ์กอยล์ตัวนี้ประณีตมากจริง ๆ นะครับ”

ในทางปฏิบัติแล้ว เขาเห็นดวงวิญญาณนับร้อยที่โหยหวนอย่างน่าเวทนาและพยายามตะเกียกตะกายออกมาจากภายในดวงตาสีแดงเลือดของการ์กอยล์หิน

หลินเจี๋ยวางการ์กอยล์กลับลงไป แล้วจากนั้นก็ดันกระถางดอกไม้มาทางเขา “แล้วก็มีต้นกุหลาบต้นนี้ที่ผมปลูกเอง ดูสิครับว่ามันสวยแค่ไหน ผมเป็นคนที่รักชีวิตอย่างแน่นอนครับ”

วินเซนต์ชักมือกลับไม่ทันแล้วแตะต้องถูกดอกกุหลาบ

แล้วเส้นขนทุกเส้นในตัวเขาก็พากันตั้งชัน!

กลีบดอกเหล่านั้นสัมผัสคล้ายเนื้อหนังจริง ๆ แล้วตัวดอกของมันก็เต็มไปด้วยวงเขี้ยวอันแหลมคม แถมยังมีเจ้าวัตถุกลม ๆ เต็มไปด้วยเส้นเลือดที่กลิ้งเกลือกไปมา…ราวกับลูกตา!

“พอแล้ว!” วินเซนต์ตะโกนอย่างอดไม่ได้ในขณะที่เขาชักมือกลับ

กิ๊ง!

เสียงโลหะกระทบโต๊ะทำให้วินเซนต์ตระหนักว่าเขาทำตราศักดิ์สิทธิ์ของเขาหล่น!

“พอแล้ว? โอ้…พ่อหมายถึงว่านี่เป็นหลักฐานที่เกินพอแล้วที่จะทำให้พ่ออธิบายสถานการณ์กับคอลินได้น่ะ…” วินเซนต์ปรับคำพูดตนเอง

หลินเจี๋ยหยิบตราศักดิ์สิทธิ์ออกมาส่งให้ด้วยรอยยิ้ม “คุณพ่อ คุณทำนี่ตกครับ”