บทที่ 106 ติดยา

เจ้าของร้านพิศวง

เอื๊อก!

วินเซนต์ได้ยินเสียงตัวเองกลืนน้ำลายอย่างชัดเจน ในชั่วขณะนี้รอบข้างเงียบประดุจความตาย

เขามองเจ้าของร้านหนังสือส่งตราศักดิ์สิทธิ์สีเงินด้วยรอยยิ้มเจิดจ้า ไม่กล้าแบมือรับมันเลย

วินเซนต์ผิดไปแล้ว! เขาเข้าใจผิดอย่างมหันต์!

ปัญหาน่ะอยู่ที่เจ้าของร้านหนังสือต่างหาก ไม่ใช่ร้านหนังสือหรือสิ่งเหนือธรรมชาติอะไรเลย!

วินเซนต์เคยเห็นวิชาและเทคนิคสร้างสิ่งของต่าง ๆ ที่นักเวทมนตร์ดำใช้โดยทั่วไปจากการอ่านจดหมายเหตุในโบสถ์มาก่อนแล้ว

วิญญาณเกินกว่าร้อยดวงที่ถูกกักขังไว้ในการ์กอยล์หินนี้ทำหน้าที่เป็นแก่นพลังหลักที่ทำให้มันมีอำนาจมหาศาล…

ในทางปฏิบัติแล้ว เขาสัมผัสได้ว่าเขาจะต้องตายแน่หากการ์กอยล์หินนี่ ‘มีชีวิต’ ขึ้นมา!

จาก ‘เนตรจันทรา’ แล้ว วินเซนต์เห็นได้ว่าวิญญาณแค้นแต่ละดวงต่างก็เป็นตัวตนเหนือธรรมชาติที่ตายอย่างเจ็บปวดแสนสาหัสในเหตุการณ์อันขมขื่นกันทั้งสิ้น วิญญาณของพวกเขาถูกหลอมรวมเข้าด้วยกันเป็นกลุ่มก้อนพลังงานขนาดยักษ์ แล้วกลายเป็นเจตจำนงของรูปสลักหินนี้ไป

มันเป็นทักษะที่มีเพียงนักเวทมนตร์ดำในระดับเดียวกันเท่านั้นที่ทำได้

ยิ่งไปกว่านั้น นักเวทมนตร์ดำที่สร้างการ์กอยล์หินนี้จะต้องเป็นผู้เหี้ยมโหดอำมหิตที่สังหารผู้คนมากมายอย่างเลือดเย็นอย่างแน่นอน

แต่ไม่ว่าผู้สร้างมันจะเป็นใครก็ตาม การถือครองมันหมายความว่าเจ้าของร้านหนังสือนี้จะต้องเป็นบุคคลเหนือธรรมชาติ อย่างต่ำก็ระดับภัยพิบัติอย่างแน่แท้!

ดอกกุหลาบที่ชวนหนาวสันหลังนั่นทำให้วินเซนต์รู้สึกราวกับกำลังจ้องมองนรกอันมืดมิด ปากที่ตะกละตะกลามของมันที่เรียงด้วยซี่เขี้ยวดูราวกับมันอยากจะกลืนกินบางสิ่งมาตลอด…และอะไรก็ตามที่ถูกมันเขมือบเข้าไปจะไม่มีวันกลับมา

ความกลัวของวินเซนต์ต่อดอกกุหลาบนี้สูงยิ่งกว่าการ์กอยล์หินเสียอีก

“เป็นอะไรไปเหรอครับคุณพ่อ?”

หลินเจี๋ยมองบาทหลวงปิดตาอย่างอึ้ง ๆ แล้วสงสัยว่าอีกฝ่ายทำไมถึงไม่รับตรานักบวชไป แต่เมื่อเขาคิดว่านี่คือคนตาบอด หลินเจี๋ยก็ตระหนักได้ว่าการส่งมันจากที่สูงไม่ใช่เรื่องที่ควรทำเลย ดังนั้นเขาจึงวางตราไว้ที่โต๊ะ จงใจทำให้เกิดเสียงเคาะเบา ๆ ก่อนที่จะพูดขึ้น “งั้นผมจะวางไว้ตรงนี้นะครับ เชิญตามสบายเลย”

แล้วหลินเจี๋ยก็พูดเสริมอย่างสบาย ๆ “คุณดูซีด ๆ ไปหน่อยนะครับ คุณเป็นอะไรไหมครับคุณพ่อ?”

“…พ่อไม่เป็นไร”

วินเซนต์ฝืนยิ้มอย่างอิดโรยพลางปาดเม็ดเหงื่อบนหน้าผากออก แล้วเขาก็ตอบอย่างสั่น ๆ เล็กน้อย “บางทีอาจจะแค่นอนไม่พอน่ะ การเดินทางมาที่นี่ค่อนข้างเร่งรีบ ตลอดทางพ่อก็ไม่ค่อยได้นอนดี ๆ สักเท่าไหร่”

สายตาของเขาตกไปที่ตรานักบวชบนเคาน์เตอร์พลางพยายามสงบหัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำของตัวเองลง

อุปกรณ์เวทมนตร์ที่ใช้ได้เพียงอย่างเดียวของเขาในตอนนี้อยู่ในมือของเจ้าของร้านหนังสือ แล้วคำพูดนั้นที่ว่า ‘เชิญตามสบายเลย’ ก็เป็นทั้งคำท้าทายและคำขู่อย่างแน่นอน

โชคร้ายที่วินเซนต์เป็นเพียงบาทหลวงที่ไม่มีทักษะต่อสู้เท่าไหร่ เมื่อไม่มีตราศักดิ์สิทธิ์คอยช่วยเหลือเขา วินเซนต์ยิ่งไม่กล้ารับมันคืนในขณะที่ความรู้สึกสิ้นหวังเกาะกุมเขา

สิ่งที่เขาทำได้คือทิ้งตัวสู่ความสิ้นหวังแล้วสงสัยว่าขุมพลังยักษ์ใหญ่ตรงหน้าต้องการอะไรแน่

“เฮะ เรื่องนี้เป็นเรื่องเข้าใจผิดใหญ่หลวงเลย ครั้งนี้คอลินทำเกินไปจริง ๆ ใครจะรู้ว่าเขาจะเข้าใจผิดไปกันใหญ่ขนาดนี้ แต่เห็นได้ชัดว่าเขาทำให้คนอื่นลำบากแล้ว”

หลินเจี๋ยพูดต่ออย่างโกรธเคือง “แต่อย่างน้อยทุกอย่างก็ดีแล้วนะครับ รบกวนช่วยบอกเขาถึงความจริงทั้งหมดทีเถอะครับว่าผมไม่ใช่วิญญาณร้าย หวังว่าความเข้าใจผิดที่ไร้มูลนี้จะถูกแก้ให้เร็วที่สุดกันดีกว่านะครับ”

คุณอาจไม่ใช่วิญญาณร้าย แต่คุณต้องเป็นตัวตนที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นแน่ ๆ! วินเซนต์โหยหวนอยู่ลึก ๆ ในใจ

คอของเขาแห้งผาก แล้วทั้งร่างของเขาก็สั่นสะท้านอย่างต่อเนื่อง วินเซนต์ไม่ใช่คนขลาด แต่ความกังวล ความกลัว และหัวใจที่เต้นรัวอย่างต่อเนื่องนี้ประดังประเดเข้าใส่เขาพร้อม ๆ กันหมด

เขาไม่สามารถบรรยายความรู้สึกนี้ได้ แต่เขายังสามารถแยกแยะมันได้

ความรู้สึกนี้ไม่ใช่ความรู้สึกทางจิตใจ แต่เป็นทางสรีรวิทยาต่างหาก

เขาชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น ๆ และหอบหายใจเล็กน้อย หัวใจของเขาเต้นอย่างรัวเร็ว และเขาก็รู้สึกถึงความกลัวที่ชวนให้ไร้เรี่ยวแรงแผ่ซ่านไปทั่วร่าง

การมองเห็นของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาว

ด้วยสภาพจิตที่ดูจะหนักหน่วงเรื่อย ๆ วินเซนต์ก็รู้สึกทนไม่ได้หนักไปใหญ่ แล้วกล้ามเนื้อของเขาก็ดูเหมือนจะชักกระตุกเข้าไปทุกที

หายใจสิ หายใจ…หน้าอกเรารู้สึกแย่ชะมัด…เราอยาก…สูบ…

นิ้วของวินเซนต์กระดิกอย่างไม่รู้ตัวในขณะที่เขาไอสองครั้ง แล้วจากนั้นก็เอื้อมไปที่ซองบุหรี่ในกระเป๋าอกเสื้อ

แล้วเขาก็ดึงบุหรี่ออกมามวนหนึ่งแล้วพยายามจุดมันราวกับมันเป็นความหวังสุดท้ายที่จะกอบกู้เขา

ความกระหายอันมหัศจรรย์และหุนหันทำให้เขาลืมไปชั่วขณะว่าเจ้าของร้านหนังสือยังมองเขาอยู่ วินเซนต์พูดด้วยสายตาที่จับจ้องปลายมวนบุหรี่ “พะ…พ่อจะอธิบายกับคอลินเอง พ่อเชื่อว่าเขาจะมองลูกต่างออกไปจากนี้แน่”

เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจโล่งอกเมื่อจิตใจที่สับสนของเขาปรับตัวเองใหม่

ดูเหมือนว่าเจ้าของร้านหนังสือจะอยากปกปิดตัวตนของเขาเป็นความลับจากเพื่อนบ้าน ถ้าเราช่วยเขาซ่อนมัน เราคงไม่โดนเขาเก็บหรอก…ใช่ไหม?

แต่หอพิธีกรรมต้องห้ามกับสมาคมแห่งสัจธรรมจะไม่สนใจตัวตนแบบนี้เลยเหรอ?

เราควรรายงานเรื่องนี้ต่อโบสถ์ไหมนะ?

แช่ก!

แช่ก!

ในขณะที่เขาพูดและคิดเช่นนั้น วินเซนต์ก็ได้จุดไม้ขีดสองครั้งอย่างไม่รู้ตัว แต่มันไม่ถูกจุดขึ้นเลย

ในตอนนี้เอง หลินเจี๋ยก็พูดเตือนขึ้นมา “คุณพ่อครับ การสูบบุหรี่เป็นเรื่องต้องห้ามในร้านหนังสือนะครับ”

วินเซนต์สะดุ้งจากโทนเสียงเข้มงวดที่ย้ำเตือนเขาในสมัยที่ถูกตักเตือนในชั้นเรียนศาสนศาสตร์

“ขอโทษครับ!” เขาเก็บบุหรี่อย่างรวดเร็วแล้วเหลือบมองขึ้นมาพบกับสีหน้าที่มืดคล้ำลงของเจ้าของร้านหนังสือ

วินเซนต์ผู้ทำอะไรไม่ถูกพลันรู้สึกลนลาน มือเท้าเขาอ่อนยวบ แล้วผิวหนังก็ชายิบ

“พะ…พ่อขอโทษนะ! พ่อไม่รู้ พ่อ…”

“คุณพ่อควบคุมตัวเองไม่ได้ ผมพูดถูกไหมครับ?”

รอยยิ้มหายไปจากใบหน้าของหลินเจี๋ยที่กอดอกอยู่โดยสมบูรณ์ “ช่วงนี้คุณรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เหงื่อออกเวลาหลับ อารมณ์เปลี่ยนแปลง หนาวสั่นอย่างคุมไม่ได้ หายใจลำบาก และมีความรู้สึกล้นพ้นที่อยากจะ…”

หลินเจี๋ยชี้บุหรี่ที่ถูกกำแน่นในมือของวินเซนต์ “…สูบบุหรี่ใช่ไหมครับ?”

สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมเมื่อเขาสังเกตเห็นอาการตัวสั่นและหายใจหอบของวินเซนต์ แล้วสายตาของเขาในตอนนี้ก็จ้องตรงมาที่บาทหลวงที่นั่งตรงข้ามเขา

นับแต่ตอนที่วินเซนต์เข้ามาในร้านหนังสือ หลินเจี๋ยก็ตระหนักแล้วว่าบาทหลวงผู้นี้ดูสุขภาพจิตไม่ดีเท่าไหร่ ทว่าหลินเจี๋ยทึกทักเอาว่ามันคงเป็นความเครียดจากงานและการนอนไม่พอ

แต่เมื่อการสนทนาของพวกเขาดำเนินไป เขาก็ได้สังเกตกิริยามากมายของบาทหลวงผู้นี้ และในตอนที่วินเซนต์ดึงบุหรี่ออกมา หลินเจี๋ยก็แน่ใจในข้อสงสัยของเขา

บาทหลวงที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขามีอาการติดยา!

ทว่าตัวบาทหลวงเองดูจะไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้และดูทำอะไรไม่ถูก นี่หมายความว่าเขาอาจถูกใครสักคนหลอกอยู่อีกทีหนึ่ง!

วินเซนต์จ้องบุหรี่ในมือของเขาด้วยสีหน้าตกตะลึง

สายตาของหลินเจี๋ยจับจ้องเขม็งที่จุดเดิมในขณะที่เขาถามอย่างจริงจัง “คุณพ่อครับ บุหรี่นี่มาจากไหนครับ?”