ตอนที่ 134 เผชิญหน้า เสียงนี้ช่างไพเราะยิ่งนัก (3)

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 134 เผชิญหน้า เสียงนี้ช่างไพเราะยิ่งนัก (3)

ถงผิง ถงอันเห็นสายตาของคุณชายเบนจากถงจั่นมาที่พวกเขา หลังจากทั้งสองมองตากัน ก็คุกเข่าลง “ชีวิตของข้าน้อยเป็นของคุณชาย คุณชายให้ไปทางซ้าย ข้าน้อยไม่มีวันกล้าไปทางขวา…”

ผู้ใดจะกล้าคาดคิดว่าเมื่อหนึ่งเดือนก่อน คนที่หัวเราะโง่เขลาเอาแต่โยนถ้วย เวลานี้รู้จักใช้เล่ห์เหลี่ยมแล้ว

เห็นได้ชัด ผู้ที่ถูกทรมานด้วยเสียงถ้วยแตกไม่ใช่เขา เขาเองก็ไม่ได้โยนถ้วยให้ตนเองฟัง โยนให้คนผู้นั้นฟัง หากถงเหล่ายังชักสีหน้าใส่เขา ยุ่งเรื่องของเขา เขาก็จะหยิบผ้าออกมาฉีกให้ถงเหล่าฟัง ให้เขาได้ฟังเสียงผ้าอีกครั้ง

……

ห้องหนังสือ ณ เรือนตระกูลถง

“ในที่สุดก็หยุดลงแล้ว” เสียงทางฟากนู้นหยุดลง ถงเหล่ากุมหน้าอกแล้วลุกขึ้น แค่เพียงเสียงถ้วยแตกดังขึ้น หัวใจของเขาก็เต้น “พ่อบ้าน ในที่สุดก็หยุดแล้ว ในที่สุดจิ้งเอ๋อร์ก็สงบลงแล้ว”

“ขอรับ นายท่าน” พ่อบ้านยืนอยู่ข้างๆ คอยพยุงถงเหล่า แม้จะปลอบนายท่าน แต่ภายในใจของเขารู้ดี เกรงว่า คุณชายไม่ได้ต้องการจะหยุด เพียงแต่ถ้วยในจวนถูกโยนทิ้งจนหมดแล้วก็เท่านั้น

“ยามจื่อ[1]แล้ว นายท่านพักผ่อนเถอะขอรับ” พ่อบ้านถงสีหน้าเศร้าหมอง ประเดี๋ยวพานายท่านเข้านอนเสร็จ เขายังมีงานต้องทำ

พรุ่งนี้เป็นวันปีใหม่ เขาจะไปหาถ้วยจากไหนมาใส่ข้าวและอาหาร

ได้แต่หวังว่าสองสามวันนี้นายท่านจะข่มอารมณ์ของตนเองหน่อย หลังจากผ่านค่ำคืนนี้ไปพรุ่งนี้คุณชายยังคงเป็นปกติ ร่วมฉลองวันปีใหม่ด้วยความสงบสุข…

……

กลับมาที่เรือนตระกูลหนิงในหมู่บ้านหวังจยา

คุณหนูเจ็ดเจี่ยนชิงเจินยกจานขนมหวาน เดินออกไปด้านนอก

นางเดินเข้าไปหาซูชีช้าๆ “น้อมทักทายคุณชายซูชี เชิญคุณชายซูชีเชิญทานขนมหวานเจ้าค่ะ”

ซูชีที่ถือหมากเอาไว้หยุดชะงัก เขาย่อมรู้ว่ามีคนเดินมา เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่าสตรีคนนี้จะมาหาเขา

แมลงวัน! ซูชีมองเหยียดในใจ เงยหน้าขึ้นช้าๆ เผชิญหน้ากับใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มของหนิงเซ่าชิง สีหน้าเปลี่ยนไปทันที

ใบหน้ายิ้มกะล่อนในยามปกติ กลับมาฉายบนใบหน้าของเขาอีกครั้ง หยิบขนมหวานบนจานมาอย่างไม่ใส่ใจ หยิบขนมหวานเข้าปาก ขนมหวานนี้คือขนมเถาซูฝีมือมั่วเชียนเสวี่ย ละลายในปาก ซูชีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย กล่าวชม “รสชาติไม่เลว”

คุณหนูเจ็ดเจี่ยนชิงเจินดวงหน้าฉายความเขินอาย “หากคุณชายชอบ ก็ทานให้มากๆ นะเจ้าคะ ประเดี๋ยวข้าให้คนไปเอามาให้คุณชายอีก” ใบหน้ารื่นรมย์ของเจี่ยนซิงเจินหวานถึงขั้วหัวใจ ในที่สุดคุณชายเจ็ดก็สังเกตเห็นนางแล้ว กินขนมหวานของนาง ทั้งยังชื่นชมนาง

ซูชีไม่ได้มองนาง มองเพียงกระดานหมากรุกแล้วพูด “หนิงเซ่าชิง สาวใช้ในเรือนของเจ้าหน้าตางดงาม เพียงแต่ไม่ค่อยมีมารยาทเท่าใดนัก”

รอยยิ้มบนดวงหน้าเจี่ยนชิงเจิน นิ่งค้างในทันที มือถือจานเอาไว้ จะวางก็ไม่ใช่ จะถือต่อไปก็ไม่ถูก

นางเป็นถึงบุตรีเอกจากตระกูลขุนนาง แต่กลับถูกคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นสาวใช้? นางก้มลงมองตนเอง เรียบง่ายจนเกินทน ยังคิดอยากจะไปเพ้อฝันถึงคุณชายที่เป็นบุตรเอกจากตระกูลซูอีก

แม้ภายในใจของนางจะเดียดฉันท์ ทว่าดวงหน้าของนางยังคงมีรอยยิ้ม นี่คือโอกาสดีในการแสดงตนของนาง ทำให้คนเห็นถึงความเป็นกุลสตรีของนาง

“ทำตัวอับอายให้คุณชายทั้งสองเห็นแล้ว ข้าและน้องสาวเป็นบุตรีตระกูลเจี่ยนจากเมืองเทียนเซียง ข้าเป็นบุตรลำดับที่ห้า นี่คือน้องสาวลำดับที่เจ็ดของข้า อายุยังน้อยจึงไม่รู้ความ น้องเจ็ดเพียงหวังดี เมื่อครู่ยกขนมหวานมาให้คุณชายทั้งสอง เป็นเพราะสาวใช้ในตระกูลหนิงไร้มารยาทเกินไปแล้ว วันที่อากาศเหน็บหนาวเช่นนี้ พวกคุณชายเดินหมากที่นี่ พวกนางกลับไม่รู้ว่าต้องอยู่รับใช้ข้างกาย ทั้งยังไม่เห็นแม้แต่เงา…”

ไม่รอให้เจี่ยนชิงเจินพูดจบ สีหน้าของหนิงเซ่าชิงหน้าดำคร่ำเครียด “อวิ๋นอิ๋น…”

อวิ๋นอิ๋นได้ยินเสียงของหนิงเซ่าชิง เดินออกมาจากในห้องทันที เห็นคุณหนูทั้งสองยืนอยู่นอกเรือน ภายในใจรู้สึกดูถูกขึ้นมาทันที เมื่อเผชิญหน้ากับหนิงเซ่าชิงดวงหน้าของนางกลับเจียมเนื้อเจียมตัว นางเคยเป็นสาวใช้ในตระกูลใหญ่ การอ้อมค้อมเช่นนี้ นางจะไม่เข้าใจได้อย่างไร

“อวิ๋นอิ๋น คุณหนูทั้งสองฐานันดรศักดิ์สูงส่ง เหตุใดเจ้าจึงไม่อยู่รับใช้ในห้องโถง ทำเอาคุณหนูทั้งสองหลงทางเดินมาที่ลานหน้าเรือน ชายหญิงไม่ควรอยู่ด้วยกันตามลำพัง หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เจ้าจะให้คุณหนูทั้งสองทำเช่นไร เจ้าพาคุณหนูทั้งสองกลับเข้าไปหาฮูหยินที่เรือนเถอะ”

“เจ้าค่ะ” อวิ๋นอิ๋นรับคำสั่ง ผายมือให้กับคุณหนูทั้งสอง น้ำเสียงไม่ได้กระตือรือร้นเท่าใดนัก “คุณหนูทั้งสองเชิญทางนี้เจ้าค่ะ”

คำพูดของหนิงเซ่าชิงไม่เหลือที่ว่างให้แทรกแม้แต่น้อย

ระหว่างห้องโถงและลานหน้าเรือนห่างกันเพียงเล็กน้อย หนิงเซ่าชิงกลับบอกว่าพวกนางหลงทาง เห็นชัดว่าอยากผลักไสพวกนาง คำกล่าวอ้อมๆ ที่ว่าชายหญิงไม่ควรอยู่ด้วยกันตามลำพัง เป็นการดูแคลนพวกนาง

เจี่ยนชิงเจินเห็นหนิงเซ่าชิงไม่แม้แต่จะชายตามองพวกนาง อีกทั้งคล้ายว่าวาจาที่กล่าวออกไปจะมีความรังเกียจ ไม่มีความเสียดาย ในทางกลับกันเปี่ยมไปด้วยความรื่นรมย์

คนผู้นี้ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความชอบธรรม เคารพมารยาทและธรรมเนียมปฏิบัติ นั่งนิ่งไม่ตื่นตระหนก คือสามีคุณสมบัติดีอันดับต้นๆ ที่นางตามหา

ดูจากกิริยาท่าทางที่สง่าผ่าเผย ต้องเกิดในตระกูลใหญ่เป็นแน่ เพียงแต่เวลานี้ทุกข์ยาก หากเวลานี้นางช่วยเขา เขาต้องรู้สึกซาบซึ้งเป็นแน่… ขอเพียงแต่งงานกับนาง มีตระกูลเจี่ยนของพวกนางคอยสนับสนุน ผู้ที่มีความสามารถเช่นเขา ยังจะกลัวว่าจะไม่มีชีวิตที่ดีอีกหรือ ไม่แน่อนาคตข้างหน้าอาจจะมีตำแหน่งสูงโดยมิต้องเปลืองแรง ไม่แน่ว่าอาจจะได้เป็นเศรษฐีใหม่ก็ได้

การได้เป็นภรรยาเอกของเศรษฐีใหม่ ย่อมดีกว่าถูกมารดาเอกส่งให้ไปเป็นภรรยาเอกของบุตรชายอนุภรรยาที่ไร้ความสามารถ และดีกว่าถูกส่งไปเป็นอนุภรรยาที่ต้องตบแต่งไปพร้อมกับพี่สาวที่เป็นบุตรีเอกหรือน้องสาวที่เป็นบุตรีเอก

หนิงเหนียงจื่อคนนั้น เป็นเพียงเจ้าสาวไม่มีหัวนอนปลายเท้าที่ตบแต่งแก้เคล็ดเท่านั้น ย่อมสามารถเพิกเฉยไม่ถือสาได้ วันหน้าหากนางตบแต่งเข้าตระกูลหนิง หนิงเหนียงจื่อเชื่อฟังก็ไม่เช่นไร แต่หากไม่เชื่อฟัง เช่นนี้หนิงเหนียงจื่อก็จะได้รู้ซึ้งถึงความร้ายกาจของนาง

อวิ๋นอิ๋นกำลังจะพาคุณหนูทั้งสองกลับเข้าไปในห้องโถงใหม่อีกครั้ง คุณหนูเจ็ดกลับอ้างว่าในเรือนอากาศอบอ้าว โวยวายจะกลับขึ้นรถม้า ความเป็นจริงคืออยากจะเปลี่ยนอาภรณ์ใหม่แล้วค่อยกลับเข้าเรือนก็เท่านั้น

อวิ๋นอิ๋นร้องเรียกซีซีออกมา พาคุณหนูห้าเดินออกไปจากเรือนหลัง ไปหาสาวใช้และผอจื่อของนาง

คุณหนูห้าเจียนชิงหวามีเจตนาร้ายแอบแฝง ย่อมไม่ออกไปพร้อมกับคุณหนูเจ็ดเจี่ยนชิงเจิน นางอยากจะไปสืบเรื่องของหนิงเหนียงจื่อให้แน่ชัด แม้ตอนนี้อาจารย์หนิงจะไม่ยอมรับนาง แต่นางก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องเจ้าสาวแก้เคล็ดที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าเช่นนี้

เมื่อตัดสินใจได้แล้ว ด้วยเหตุนี้จึงบอกว่าหนิงเหนียงจื่อให้คุณหนูใหญ่ไปดูงานเย็บปัก ตัวนางเองก็มีความชอบด้านนี้จึงอยากจะไปเช่นกันจึงให้อวิ๋นอิ๋นพานางเข้าไปที่เรือนใน

อวิ๋นอิ๋นกล่าวไปตามความจริง ใบหน้ามั่วเชียนเสวี่ยฉายความไม่พอใจ ส่วนเจี่ยนชิงโยวเองก็ฉายความเยือกเย็น จึงบอกลามั่วเชียนเสวี่ย หลังจากนั้นก็ลากเจี่ยนชิงหวาออกไปจากเรือน ไม่ให้เจี่ยนชิงหวามีโอกาสได้พูดแม้แต่น้อย

มั่วเชียนเสวี่ยเหยียดกายลุกขึ้นส่งพวกนาง ก่อนที่เจี่ยนชิงโยวจะขึ้นรถม้าได้นัดแนะกับนางแล้ว วันที่ห้านางจะไปคำนับปีใหม่ที่จวนเจี่ยน เมื่อถึงเวลาค่อยหารือกันต่อ

เจี่ยนชิงโยวพยักหน้าด้วยความเศร้าหมอง ขึ้นรถม้าภายใต้การช่วยพยุงของหยวนหมัวมัว

แม้ว่าคุณหนูห้าเจี่ยนชิงหวาและคุณหนูเจ็ดเจี่ยนชิงเจินจะเจ็บใจยิ่งนัก แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่กลับ

โดยเฉพาะคุณหนูเจ็ดเจี่ยนชิงเจิน นางไม่อยากกลับยิ่งนัก นางยังมีอาภรณ์อีกชุดที่ไม่ได้เปลี่ยน จะกลับเช่นนี้แล้วหรือ! รอให้รถม้าเคลื่อนออกจากเรือนตระกูลหนิงไม่นาน นางก็เริ่มตำหนิเซียงฉีสาวใช้ที่เปลี่ยนอาภรณ์ให้นางในวันนี้บนรถม้า

[1] ยามจื่อ หมายถึง เวลาประมาณ 23.00 – 24.59