ตอนที่ 135 คำนับปีใหม่ เปลี่ยนสถานการณ์ (1)
หลังจากส่งพวกคนที่ก่อความวุ่นวายกลับไปแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยก็กลับเข้าเรือน ทว่าเห็นชายหนุ่มทั้งสองยังคงนั่งเดินหมากด้วยกันอยู่ตรงนั้นไม่อาจแยกผู้แพ้ผู้ชนะได้
นางตำหนิซูชีในใจเล็กน้อย อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ มาเดินหมากอะไรที่ลานหน้าเรือน ด้วยเหตุนี้จึงเดินเข้าไป พูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “อากาศหนาวเย็น ท่านทั้งสองช่างอารมณ์สุนทรีย์เสียจริง”
ซูชีเงยหน้าขึ้น ยิ้มแล้วพูด “หนิงเหนียงจื่อเข้าใจการเดินหมากด้วยหรือ”
มั่วเชียนเสวี่ยเบ้ปาก “ไม่เข้าใจ แต่ข้ารู้เรื่องสำคัญมากๆ อย่างหนึ่ง” หากนางเข้าใจการเดินหมาก นางคงจะคอยบอกอยู่ข้างๆ ให้ซูชีแพ้จนขี้หดตดหาย
หนิงเซ่าชิงได้ยินนางพูดเช่นนี้ กลับรู้สึกสนใจยิ่งนัก ถามด้วยรอยยิ้ม “เรื่องใดสำคัญถึงเพียงนี้”
“ข้ารู้ว่าขืนพวกท่านทั้งสองยังนั่งเดินหมากต่อไปเช่นนี้ สุขภาพร่างกายของสามีข้าคงไม่อาจต้านทานได้ ร่างกายของเขาหนาวเย็นอยู่แล้ว ยังจะเดินหมากเป็นเพื่อนคุณชายเจ็ดโดยไม่สนการใดอีก…”
เดิมทีนี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่ควรจะพูด แต่มั่วเชียนเสวี่ยกลับพูดด้วยความจริงจัง คล้ายเป็นเรื่องที่สำคัญมาก มุมปากของหนิงเซ่าชิงยกขึ้นเล็กน้อย ความเป็นห่วงในถ้อยคำของมั่วเชียนเสวี่ย เขาจะฟังไม่ออกได้อย่างไร เพียงแต่อย่างไรก็ควรจะพูดตามมารยาท “ฮูหยินกล่าวเช่นนี้ไม่ถูก ผู้มาเยือนคือแขก แล้วจะไม่ให้การต้อนรับได้อย่างไร”
ซูชีเห็นว่าทั้งสองต่างก็แสดงความรักกันอย่างชัดเจน ด้วยเหตุนี้จึงวางหมากในมือ ยิ้มแล้วเอ่ยพูด “ข้าแพ้แล้ว”
ความหมายของเขาคือ เขาไม่เพียงแต่แพ้การเดินมาก แต่ยังพ่ายแพ้ในการเส้นทางรัก
หนิงเซ่าชิงเงียบอยู่ครู่หนึ่ง คลายยิ้มบางๆ พูด “เจ้าชนะแล้ว” เพราะมีหัวใจที่เปิดกว้าง เพราะจะมีอนาคตที่สดใส
หนิงเซ่าชิงกินน้ำส้มสายชูต่อถงจื่อจิ้ง นั่นเป็นเพราะมั่วเชียนเสวี่ยเอาแต่เป็นห่วงถงจื่อจิ้ง แม้เขาจะไม่รู้ว่านั่นเป็นความรักรูปแบบใด แต่เขาสัมผัสได้ ในใจของมั่วเชียนเสวี่ยมีถงจื่อจิ้ง
หนิงเซ่าชิงกินน้ำส้มสายชูต่อเจี่ยนชิงโยว เป็นเพราะในตอนนั้นเขายังไม่ได้ลิ้มรสริมฝีปากมั่วเชียนเสวี่ย แต่กลับเห็นมั่วเชียนเสวี่ยจูบสตรีอื่นด้วยตาตนเอง ชั่วขณะหนึ่งภายในใจของเขาจึงมีปมที่ไม่อาจแก้ได้
แต่ว่า หนิงเซ่าชิงกลับไม่ได้กินน้ำส้มสายชูซูชีที่มีท่าทีและความคิดชัดเจน นั่นเป็นเพราะในใจของมั่วเชียนเสวี่ย ไม่มีซูชีอยู่เลย เขาเป็นเพียงผู้ร่วมการค้าเท่านั้น
ซูชีเองก็เป็นผู้ที่มีศีลธรรม ไม่ได้กระทำการไม่เหมาะสม แม้เขาจะพึงพอใจในตัวมั่วเชียนเสวี่ย แต่ก็เพียงชอบพอในใจ ไม่ได้แสดงออกจนเกินขอบเขต แม้แต่มั่วเชียนเสวี่ยก็ยังไม่รู้ตัว
อีกทั้ง ซูชียังเป็นน้องชายแท้ๆ ของคุณซูจิ่นอวี้ คุณชายใหญ่แห่งตระกูลซูสหายของหนิงเซ่าชิงเองด้วย
มั่วเชียนเสวี่ยเห็นคนหนึ่งกล่าวว่าแพ้แล้ว อีกคนกล่าวว่าชนะแล้ว ครุ่นคิดถึงบทสนทนาอ้อมค้อมของพวกเขาเมื่อตอนทานอาหาร รู้สึกรำคาญเล็กน้อย “ข้าไม่เข้าใจว่าพวกท่านพูดอะไรกัน”
นางกล่าวจบก็พยุงตัวหนิงเซ่าชิงขึ้น พูดด้วยความปวดใจระคนตำหนิ “ในเมื่อไม่เดินหมากแล้ว เช่นนั้นกลับเข้าไปดื่มชาร้อนๆ ในเรือนเถอะ จะได้อบอุ่นร่างกาย”
ทว่าซูชีกลับยกมือขึ้น กลับมามีรอยยิ้มทะเล้นอีกครั้ง พูด “ไม่ล่ะ สายมากแล้ว ตัวข้าซูชียังมีการต้องทำ ไม่เข้าไปดื่มชาในเรือนแล้ว ขอลาตรงนี้”
จากแววตาของนางที่มองหนิงเซ่าชิงก่อนหน้านี้…ซูชีก็เข้าใจความรู้สึกของนาง
ในเมื่อรู้ความรู้สึกของนางแล้ว เช่นนี้เขาก็ไม่จำเป็นต้องดื้อดึงไม่ยอมรับความจริงอีก จะไม่ตามเซ้าซี้นางให้ลำบาก
เขาคือซูชีผู้รักอิสระ แผ่นดินนี้เขาทำทุกอย่างได้ตามใจ
เมื่อกลับไป๋อวิ๋นจวี ก็บอกกับพี่ใหญ่ว่าหลังปีใหม่ พอจัดการเรื่องทุกอย่างทางนี้จนเรียบร้อย เขาก็จะกลับไปและทำตามที่พวกเขาจัดเตรียม พวกเขาให้เขาแต่งงานกับสตรีใดเขาก็จะแต่งกับสตรีคนนั้น
สตรีคนนั้น เมื่อไม่ใช่มั่วเชียนเสวี่ย เป็นผู้ใดแล้วจะเป็นเช่นไร เป็นเพียงภรรยาในนามและตำแหน่งก็เท่านั้น
บางความรัก นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เก็บเอาไว้ในใจก็พอแล้ว
……
เช้าตรู่วันที่สี่ ถงจื่อจิ้งสั่งให้ถงจั่นขับรถม้าไปยังหมู่บ้านหวังจยา
รถม้าเคลื่อนออกมาจากเรือนตระกูลถง ออกเดินทางบนหุบเขากว้างใหญ่ ถงจื่อจิ้งมองงานแกะสลักในมือเม้มปากแล้วยิ้ม หากไม่ใช่เพราะมีรูปปั้นแกะสลักนี้อยู่ในมือ มีมีดแกะสลักเล่มนี้อยู่ในมือ เขาไม่อาจอยู่เรือนตระกูลถงได้แม้แต่วันเดียว
ที่นี่ คือที่ที่เขาไม่อยากอยู่ ที่นี่ มีคนที่เขาไม่อยากเจอที่สุด แม้ว่าเมื่อก่อนเขาจะมีอาการจื้อปี้เจิ้ง แต่เขาไม่ได้โง่ รอยยิ้มโง่ๆ นั้นเป็นเพียงสิ่งที่เขาจำต้องแสดงออกมาเพื่อพรางตาพวกบ่าวรับใช้ชั่วร้ายก็เท่านั้น
จิตใจของเขาเคียดแค้น
แม้เวลานี้คนคนนั้น…ทำดีกับเขาแล้ว ทว่า ยามที่เขาต้องการความใส่ใจที่สุด คนคนนั้นเขาอยู่ที่ใด
ครั้งหนึ่งเขาเคยปรารถนาที่จะได้อ้อมกอดอบอุ่นนั้นมากเพียงแต่ แต่ผู้นั้นกลับผลักทิ้งอย่างรุนแรง เขย่าตัวเขาด้วยความรุนแรง ‘เจ้าพูดสิ! เจ้าเป็นใบ้หรือ พูด! เจ้าหูหนวกหรือ พูดออกมาสิ…’
หลังจากนั้น…
หลังจากนั้น เขาก็ถูกขังเอาไว้
ความรู้สึกที่สัมผัสได้จากคนผู้นั้นมีเพียงความรังเกียจเสมอ คำพูดที่ได้ยินบ่อยที่สุดจากคนผู้นั้นมีเพียงคำพูดเดียว เสียงนั้นดังก้อง ดังสนั่นหวั่นไหว ‘ดูแลคุณชายของพวกเจ้าให้ดี หากคุณชายเป็นอะไรขึ้นมา ข้าจะเด็ดหัวพวกเจ้า…’
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงกลายเป็นนักโทษที่น่าสงสารที่สุดในใต้หล้า ในทุกวันไม่ว่าจะกินหรือขับถ่ายล้วนมีสายตามากมายจับจ้อง
คนที่รักเขาที่สุดในโลกใบนี้ถูกฆ่าตายแล้ว ภาพที่น่าหวาดกลัวนั่น คนสารเลวพวกนั้น ชีวิตนี้เขาไม่มีวันลืม ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่อยากเสวนากับผู้ใด ไม่อยากพูดกับผู้ใด
คนผู้นั้นจะมาเยี่ยมเขาบ้างเป็นบางครั้งยามที่นึกขึ้นได้ คนผู้นั้นไม่เคยรู้เลยว่าแววตาของบ่าวรับใช้ทุกคนที่มองเขาเปี่ยมไปด้วยความดูถูกเดียดฉันท์และรังเกียจ คนผู้นั้นกลับร้องไห้น้ำตาไหลอย่างน่าขันเป็นครั้งคราว ร้องเรียกเขาด้วยความสนิทสนมว่าจิ้งเอ๋อร์
เขาไม่อยากได้ยินเสียงของผู้เป็นบิดา ด้วยเหตุนี้จึงทำเสียงดังต่างๆ เช่นนั้นจะได้ไม่ต้องได้ยินเสียงของผู้เป็นบิดาอีก
เขาเคยคิดว่า ชีวิตนี้จะดำเนินต่อไปเช่นนี้แล้ว เขาเคยคิดว่า เขาไม่มีวันจะได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีก
วันนั้น นางมาพร้อมกับความปรารถนาดี ดวงหน้าของนางเคล้าไปด้วยความอ่อนโยน ริมฝีปากบางยิ้มแล้วอ่านนิทานให้ฟัง สีหน้านั้น คล้ายกับตอนที่ท่านแม่อุ้มเขาและเล่านิทานให้ฟังอย่างไรอย่างนั้น ด้วยเหตุนี้ เขาจึงห้ามใจไม่ได้ที่จะเคลื่อนตัวไปนั่งด้วยใกล้ๆ…
บนที่สูงของเรือนตระกูลถง มีร่างแก่ชราสองร่างยืนอยู่
มองรถม้าที่ค่อยๆ กลายเป็นจุดดำขนาดเล็ก ถงเหล่าทอดถอนหายใจ “จิ้งเอ๋อร์ เขาไปแล้ว”
ตั้งแต่เหตุการณ์ระทึกขวัญคืนวันส่งท้ายปี เขาก็ไม่ได้ปรากฏตัวต่อหน้าถงจื่อจิ้งอีก
ถงจื่อจ้งชมหิมะในสวน เขาแอบมองอยู่ในที่ลับ
ถงจื่อจื้งแกะสลักในศาลาที่เคยนั่งกับมั่วเชียนเสวี่ยในวันนั้น เขามองถงจื่อจิ้งจากที่ไกลๆ
พ่อบ้านถงฟังน้ำเสียงเศร้าหมองของนายตนเอง จึงพูดปลอบ “คุณชายไปเรือนตระกูลหนิงตามประสาเด็กที่ห่วงเล่นเท่านั้นขอรับ ถึงอย่างไรนี่คือเรือนของคุณชาย คุณชายต้องกลับมา”
“ถงจื่อจิ้งเกลียดข้า เจ้าไม่ต้องปลอบข้าหรอก” ท่านผู้เฒ่าเปลี่ยนบทสนทนา “แต่แม้เขาจะเกลียดข้า ข้าก็ยังคงเป็นบิดาของเขา ต่อให้เขาจะเกลียดข้า ข้าก็ยังต้องคิดเผื่อเขา”
พ่อบ้านถงย่อมรู้ดีสิ่งที่นายท่านบอกว่าคิดเผื่อคุณชายคืออะไร
เพียงแค่ถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้พูดสิ่งใดอีก
เขาติดตามนายท่านตั้งแต่เล็ก นายท่านคิดสิ่งใดเขาย่อมรู้
นายท่านเป็นคนที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย ทั้งบุ๋นและบู๊ ทุกหนแห่งที่ไป เป็นผู้ที่บุรุษอิจฉา สตรีรักใคร่ ชีวิตนี้ ความเจ็บปวดที่สุดของเขา ก็คือบุตรชายและบุตรี คุณหนูใหญ่เป็นใบ้ คุณชายก็เป็นเช่นนี้อีก