บทที่ 128 หยางซือซือตาย

ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา

บทที่ 128 หยางซือซือตาย

บทที่ 128 หยางซือซือตาย

ลู่หยวนชักเท้ากลับ และเห็นว่าพลังวิญญาณรอบกายของเขากำลังพลุ่งพล่าน โลหิตเปรอะเปื้อนเท้าถูกพลังวิญญาณแผดเผาจนระเหยหายไป

[ข้อความจากระบบ ท่านฆ่าหยางซือซือ ค่าชะตาของท่านเพิ่มขึ้น 1,000 แต้ม!]

[ค่าชะตาของท่านในปัจจุบันคือ 26,000 แต้ม]

หยางอวิ๋นชะงักค้างกับที่ มองร่างของหยางซือซืออย่างชะงักงัน

“วิถีแห่งสวรรค์คือสิ่งใด หยางอวิ๋น?”

เสียงของลู่หยวนดังขึ้นเนิบนาบ บุตรแห่งโชคชะตาเงยหน้าขึ้นมา

เขาพบบุตรศักดิ์สิทธิ์ยืนใช้มือไพล่หลังอยู่ ด้วยมุมปากยกยิ้มร้าย “ในโลกนี้ ผู้แข็งแกร่งคือวิถีแห่งสวรรค์! บุตรศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้แข็งแกร่งกว่าเจ้า ข้าผู้นี้คือวิถีแห่งสวรรค์!”

พร้อมกันนั้น เหิงอี้เจี้ยนก็พลันเคลื่อนไหว แรงกดดันของยอดฝีมือขั้นปรมาจารย์ยุทธ์พลุ่งพล่านรุนแรงเฉียบพลัน จนหยางอวิ๋นซึ่งไม่อาจทนรับมันได้ทรุดลงคุกเข่าทันที

ตูม!

หยางอวิ๋นใช้ทั้งมือและเท้าจิกยึดพื้นไว้ แผ่นศิลาใต้เข่าแหลกเป็นผุยผง

เหงื่อเย็นเฉียบแตกซ่กบนหลัง ภายใต้พลังยิ่งใหญ่เช่นนี้ เขาก็ไม่อาจหายใจได้เลย

หากเป็นเช่นนี้ในอดีต หลิงอวิ๋นก็คงมาช่วยนานแล้ว ทว่าขณะนี้บรรพชนหอกไม่ได้ขยับตัว ยังคงยืนอยู่บนหอกเช่นนั้น ปล่อยให้ลู่หยวนหยามเหยียดเขาต่อไป

หลิงอวิ๋นรู้สึกเพียงว่าในอดีต นางปกป้องศิษย์ของตนเองมากเกินไปจนไม่รู้กฎเกณฑ์แห่งโลกหล้า และวันนี้ลู่หยวนย่อมไม่ฆ่าหยางอวิ๋นอย่างแน่นอน แต่จะดัดนิสัยให้รู้ว่าโลกนี้ไม่ได้เรียบง่ายเช่นที่เขาคิด

ทว่าบุตรแห่งโชคชะตาหาเข้าใจความคิดของอาจารย์ไม่ และยามนี้เมื่อเขาถูกกดตัวลงคุกเข่า ความคิดหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในใจ

อาจารย์เกลียดเขา!

หาไม่แล้ว เหตุใดวันนี้อาจารย์จึงแปลกไปนัก?!

กาลก่อน ขอเพียงเอ่ยขอ อาจารย์ก็จะยอมโอนอ่อนให้ ยามเขาถูกรังแก อาจารย์ก็จะเป็นผู้มาปกป้องก่อนใคร

แต่วันนี้เล่า?

อาจารย์ไม่ตอบสนอง กระทั่งปล่อยให้ผู้อื่นมาหยามเขา!

อาจารย์คงเบื่อหน่ายและสะอิดสะเอียนเขาแล้ว!

เหมือนเช่นตระกูลหยางในกาลก่อนที่อยากไล่เขาออกไปผจญชะตากรรมเอาเอง!

[ระบบแจ้งเตือน บุตรแห่งโชคชะตาหยางอวิ๋นสภาพจิตใจเสียหาย ค่าชะตาลดลง 2,000 แต้ม! ขณะนี้เหลือค่าชะตา 18,000 แต้ม!]

[ท่านได้รับค่าชะตา 4,000 แต้ม!]

[ค่าชะตาของท่านในปัจจุบันคือ 30,000 แต้ม!]

ลู่หยวนยิ้มแย้มหน้าบาน โอ้ แค่นี้ก็กระทบกระเทือนจิตใจแล้วหรือ?

บุตรแห่งโชคชะตาหนนี้ไม่ไหวเลยหนอ ยังเล่นด้วยไม่ทันไร ค่าชะตาก็เริ่มลดเสียแล้ว

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองหลิงอวิ๋นผู้ยืนอยู่บนอากาศ

เขาพอเดาได้อยู่นิดหน่อยว่าการที่สภาพจิตใจของหยางอวิ๋นถูกกระทบนั้นต้องไม่ใช่เพราะถูกยอดฝีมือขั้นปรมาจารย์ยุทธ์กำราบเป็นแน่

แต่เกี่ยวข้องกับนาง… อาจารย์ของเขา

เมื่อครู่ยามหลิงอวิ๋นปรากฏตัวขึ้น สายตาของหยางอวิ๋นที่มองมายังนางหาบริสุทธิ์ไม่

ดูเหมือนว่าอาจารย์ผู้นี้น่าจะเป็นสตรีที่เขาชอบ

“ระบบ ตรวจสอบหลิงอวิ๋นที”

[ระบบกำลังตรวจสอบ]

[ตรวจสอบเสร็จสิ้น!]

[หลิงอวิ๋นคือหนึ่งในผู้กุมโชคชะตาวิถีหอกแห่งแผ่นดินหยวนหง! และยังเป็นผู้กุมโชคชะตาของตระกูลหลิงแห่งแดนมัชฌิมด้วย!]

เรื่องที่เป็นผู้กุมโชคชะตาของตระกูลหลิงนั้น ลู่หยวนเข้าใจได้

เพราะถึงอย่างไร หลิงอวิ๋นผู้นี้ก็เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลหลิงแห่งแดนมัชฌิม และยามนี้ก็เป็นผู้สืบทอดตระกูลหลิงเพียงหนึ่งเดียว

แต่ผู้กุมโชคชะตาวิถีหอกนี่หมายความเช่นไร?

[ระบบแจ้งเตือน หลิงอวิ๋นแบกรับวาสนายิ่งใหญ่แห่งวิถีหอก และจะบังเกิดวาสนาขึ้นแก่โลกหล้า มีโอกาสผลักดันวิถีหอกให้ก้าวไกลขึ้น สู่จุดสูงสุดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ไม่อาจคาดวัดค่าชะตาได้ในขณะนี้!]

ไม่อาจวัดได้…

ดวงตาของลู่หยวนวาววาบ ไม่อาจวัดได้ก็คือไม่อาจใช้ได้หมด!

ระบบไม่ได้กล่าวอันใดอีก และชายหนุ่มจึงถือว่าเป็นเช่นนั้นโดยปริยาย

หากเป็นเช่นนั้นจริง บรรพชนหอกหลิงอวิ๋นผู้นี้ก็ผูกมิตรไว้ได้!

หากวางแผนดี ๆ บางทีก็อาจได้ค่าชะตามามากโข!

หลิงอวิ๋นถูกลู่หยวนจ้องมองอยู่นาน ในใจนางพลันปรากฏความไม่ชอบใจเล็กน้อย

นางกล่าวกับอีกฝ่ายตรง ๆ ว่า “บุตรศักดิ์สิทธิ์ชมพอหรือยัง? หากพอแล้วก็ปล่อยศิษย์ข้าไปเถิด”

ผู้ฟังคืนสติ ยกมือข้างหนึ่งขึ้น เหิงอีเจี้ยนเข้าใจและเก็บงำพลังสะท้านฟ้าดินไว้ดังเดิม

หยางอวิ๋นจึงกลับมาหายใจได้

ผู้เป็นอาจารย์โล่งใจ ก่อนจะพาหยางอวิ๋นละล่องจากไปกับนาง

อีกสามวันจะถึงวันคัดเลือก และก่อนถึงวันนั้น หุบเขาเคลื่อนฟ้าก็ไร้ที่ใดให้พักแรม

สามวันนั้น ลู่หยวนย่อมต้องอยู่ในเมืองหวงซีนี้

เขาหันกลับมามองคนมากมายซึ่งคุกเข่าอยู่เบื้องหลังเขาอย่างเฉยชา ก่อนจะชี้หวังเหมิ่ง “เจ้าแล้วกัน นำทางไป”

หวังเหมิ่งเงยหน้าขึ้นอย่างระมัดระวังเมื่อได้ยินเสียง และเห็นบุตรศักดิ์สิทธิ์ชี้มาที่ตน หัวใจของเขานึกยินดียิ่ง

ผู้นำตระกูลหวังแทบกระโดดพรวดขึ้นมาแล้ววิ่งเหยาะ ๆ ไปหาอีกฝ่ายทันที ค้อมตัวครั้งหนึ่งก่อนจะเดินนำทางให้ชายหนุ่ม

คนอื่น ๆ ในตระกูลหวังเองต่างก็รู้งานมาก ต่างลุกขึ้นนำทางไปเบื้องหน้าทันที

จากนั้นไม่นาน เขาก็มาถึงจวนตระกูลหวัง

ที่นี่ย่อมไม่ได้ดีเท่าตระกูลชั้นสูงใด ๆ แต่ก็ยังสะอาดสะอ้าน

เมื่อลู่หยวนเข้ามาในห้องโถง เขาก็โบกมือบอกเหล่าคนตระกูลหวังไม่ให้มารบกวนเขา

ทุกผู้ในตระกูลหวังย่อมล้วนไม่กล้าขัดขืน ต่างถอยออกไปจากโถงทันที

ส่วนพวกเหิงอีเจี้ยนก็ได้รับจัดสรรให้อยู่ในห้องซ้ายขวาติดโถงหลัก

ลู่หยวนซึ่งนั่งลงแล้วเพลิดเพลินไปกับการนวดของไป๋ชิวเอ๋อร์ ดื่มด่ำน้ำชาที่ฉินอี่หานยกให้ แล้วหลับตาลงอย่างผ่อนคลาย

ฉินอี่หานพลันกล่าวขึ้น “ท่านไปชอบใจอะไรของหยางอวิ๋นเข้าหรือ?”

ชายหนุ่มลืมตาขึ้นกล่าวอย่างสงสัย “หือ? เหตุใดเจ้าจึงพูดเช่นนั้น?”

“หากเป็นปกติ ท่านในวันนี้ก็คงเหมือนเป็นเจ้าแห่งสวรรค์บัญชา หยางอวิ๋นผู้นั้นไม่เหลือทางรอดแล้ว แต่วันนี้ท่านกลับปล่อยเขาไป อย่าบอกนะว่าเป็นเพราะเมตตา?”

ลู่หยวนแย้มยิ้ม “ก็จริง ข้านึกชอบบางสิ่งที่เขามี”

เมื่อสิ้นคำ เขาก็ทอดสายตาไปไกล ผ่านไปสองสามอึดใจก็กล่าวขึ้นว่า “อาจารย์ของชายผู้นั้นไม่เลวเลย”

หลังม่านราตรีโรยลง ทั้งโถงก็เหลือลู่หยวนเพียงลำพัง

เขานั่งขัดสมาธิโคจรพลังตามกิจวัตร

ทันใดนั้น เสียงจากระบบก็ดังขึ้น

[ระบบแจ้งเตือน หอคอยอสูรสวรรค์เข้าสู่นิทราแล้ว!]

ลู่หยวนลืมตาขึ้น จิตคำนึงเคลื่อน และปลดปล่อยหอคอยอสูรสวรรค์จากในจิตเทวะของเขา

ขณะนี้ หอคอยอสูรสวรรค์ยังคงเผยเพียงฐานและยอดหอคอย ขณะที่ส่วนกลางถูกเชื่อมโดยพลังสีดำหนาแน่น

และชายหนุ่มก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าหอคอยอสูรสวรรค์นี้มีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด พลังสีดำที่โอบล้อมมันไว้เจือจิตสังหารเหมือนภูตผีจากนรก

หากมองดี ๆ จะพบได้ว่าเหมือนจะมีอสนีบาตน้อย ๆ ก่อตัวอยู่ท่ามกลางพลังสีดำของหอคอยอสูรสวรรค์

ลู่หยวนรีดเค้นพลัง และเห็นว่าหอคอยอสูรสวรรค์พลันมีปฏิกิริยา พลังสีดำเคลื่อนทะลัก และอสนีบาตที่ล่องลอยอยู่ในมวลพลังก็ทะยานขึ้นเช่นกัน

อสนีบาตจรัสจ้า ส่งเสียงคำรามเปรี้ยงปร้าง ประหนึ่งอสรพิษสีเงินเร้นกายในพงหญ้า

ลู่หยวนรู้ว่าอสนีบาตนี้เป็นผลจากการดูดซับทัณฑ์อัสนี

ยามนี้ หอคอยอสูรสวรรค์ก็ถือได้ว่าเป็นอาวุธวิเศษชิ้นหนึ่ง และถือเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ได้โดยแท้จริง

ทว่า…

ลู่หยวนนึกถึงสตรีผู้ถูกจองจำในนั้นขึ้นมา

หัวใจสตรีผู้นี้โสมมยิ่งนัก คิดจะยึดร่างกันทันทีที่พบหน้า หวนพบรอบที่สองก็ยังคิดลวงเขา!

การกระทำเช่นนี้ มีเพียงมารชั่วช้าโดยแท้จริงเท่านั้นที่ทำได้!

ลู่หยวนเห็นพลังสีดำที่ฐานหอคอยไหลทะลัก พุ่งทะยานเข้าหาเขาอย่างต่อเนื่องราวกับจะบอกบางอย่างแก่เขา

ชายหนุ่มพอเข้าใจได้ คงไม่พ้นมารร้ายที่ฐานหอคอยร่ำร้องอยากให้เขาไปพบ

ลู่หยวนแค่นยิ้ม แล้วโยนหอคอยอสูรสวรรค์กลับไปผนึกไว้ในจิตเทวะ

มารร้ายนี่คิดว่าตนเองสำคัญจริง ๆ หรือ?

อยากให้บุตรศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้ไปพบ?

ลู่หยวนหันไปหยิบเศษกระบี่หักชิ้นหนึ่งออกมา… เศษกระบี่นี้มาจากกระบี่ที่เสิ่นฉงใช้ในวันนั้น

กระบี่เล่มนั้นเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ เศษเสี้ยวของมารร้าย

วันเดียวกันนั้น หลังเสิ่นฉงตกตาย ลู่หยวนก็นำเศษอาวุธชิ้นนี้ออกมาจากกระบี่ยาวของคนผู้นั้น

หากเก็บชิ้นส่วนได้ครบ ก็จะสร้างวัตถุศักดิ์สิทธิ์อีกชิ้นได้

บุตรศักดิ์สิทธิ์เก็บชิ้นส่วนนี้ไว้กับหอคอยอสูรสวรรค์

สองสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับราชันมาร และเมื่อประกอบเข้าด้วยกัน พลังมารในพวกมันจะถูกแลกเปลี่ยนและถือได้ว่าส่งเสริมกัน

หลังกระทำเช่นนี้เสร็จ ลู่หยวนก็หลับตาลงเริ่มเคลื่อนพลังอีกครั้ง

ขณะเดียวกัน ณ หุบเขาเคลื่อนฟ้า

หลิงอวิ๋นยืนอยู่บนยอดเขา มองสรรพสิ่งเบื้องล่างอย่างไม่อาจทราบได้ว่าคิดอันใดอยู่

ทันใดนั้น หนึ่งเสียงก็ดังขึ้น ก่อนร่างของหยางอวิ๋นจะปรากฏขึ้นเบื้องหลังนาง

เขาประสานมือคำนับบรรพชนหอกพลางกล่าวอย่างนอบน้อม “ท่านอาจารย์”

นางละสายตา หันมามองหยางอวิ๋น นับแต่กลับมา อีกฝ่ายก็ไม่ได้ร่าเริงเช่นกาลก่อน ไม่รบเร้าถามอันใด หรือเล่าเรื่องที่เพิ่งประสบมาให้ฟังอีกราวกับเบื่อหน่ายซังกะตาย พริบตาเดียวก็เปลี่ยนเป็นคนละคน

หลิงอวิ๋นรู้ว่าความตายของหยางซือซือในวันนี้จะส่งผลกระทบต่อลูกศิษย์อย่างแน่นอน

เพราะถึงอย่างไร ในใจของหยางอวิ๋น หยางซือซือปากพล่อยผู้นั้นแตกต่างจากผู้อื่น

บางทีอาจจะเป็นการไถ่โทษในอดีต…

หลิงอวิ๋นก็กำลังคิดเช่นกันว่าวันนี้นางทำเกินไปหรือไม่ การหักดิบนี้โหดร้ายต่อหยางอวิ๋นมากไปหรือ? แต่ก็สายเกินจะกล่าวอันใดได้แล้ว หยางซือซือผู้นั้นตายไปแล้ว และยังตายภายใต้คำอนุญาตของหลิงอวิ๋นด้วย

ถือได้ว่าขณะนี้ หยางอวิ๋นก็มิพอใจตัวเองเล็กน้อยเช่นกัน

หลิงอวิ๋นส่งเสียงอืม หยางอวิ๋นก็เงยหน้าขึ้น

“ท่านอาจารย์เรียกหาข้า มีอะไรหรือขอรับ”

เสียงของหยางอวิ๋นแผ่วเบา สุภาพอย่างมาก ดูเหมือนพวกเขาในขณะนี้จะเป็นคู่ศิษย์อาจารย์ธรรมดา ๆ

ไม่เหลือกระทั่งเค้าความอบอุ่นในช่วงเวลาปกติ

หลิงอวิ๋นอึดอัดใจ นางรู้ว่าปมในใจของลูกศิษย์จากวันนี้จะไม่อาจคลายไปได้เนิ่นนาน บรรพชนหอกถอนใจเบา ๆ เรื่องเช่นนี้นางก็เคยพบพาน ยิ่งอธิบายไปก็ยิ่งแย่

วาจานับพันจุกอยู่ที่ปาก แต่นางก็กลืนมันลงไปจนหมด

กล่าวเพียงว่า “ฝึกฝนให้ดี”

หัวใจของหยางอวิ๋นเองก็ตัดสินไปเองอย่างรวดเร็ว ว่าแล้วเชียว ยามนี้ท่านอาจารย์เหลือความหวังกับเขาเพียงเท่านี้

เขาในยามนี้ยังถือได้ว่าฝีมือดี และมีเกียรติภูมิชื่อเสียงในสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์อยู่ หากไม่อาจรักษาสิ่งเหล่านี้ไว้ได้ เกรงว่าท่านอาจารย์ก็คงหมางเมิน หรือกระทั่งตัดสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์ระหว่างทั้งคู่!

เหอะ

ว่าแล้วเชียว

ผู้ใดก็พึ่งพาไม่ได้!

มีเพียงยามตนแข็งแกร่ง จึงเป็นสัจธรรมอันไร้ดับสูญ!

“ท่านอาจารย์วางใจเถิด ศิษย์ไม่กล้าลืมฝึกฝนแม้เพียงอึดใจ!”