บทที่ 129 คิดถึงบุตรศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้หรือไม่

ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา

บทที่ 129 คิดถึงบุตรศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้หรือไม่?

บทที่ 129 คิดถึงบุตรศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้หรือไม่?

หยางอวิ๋นเงยหน้า ปรากฏเงาสลัวขึ้นในดวงตาซึ่งกลายเป็นความดันทุรัง “ท่านอาจารย์วางใจเถิด หลังกลับสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ ข้าจะชนะแน่ ไม่ทำให้ท่านเสื่อมเสียเด็ดขาด!”

หลิงอวิ๋นอ้ำอึ้งอยากกล่าวบางอย่าง นางไม่ได้หมายความเช่นนี้

แต่เหมือนยามนี้ ทุกสิ่งจะดูเสียเปล่า

“ได้ เจ้าฝึกฝนให้ดีเถิด”

หลังหยางอวิ๋นประสานมือคำนับ เขาก็ถอยจากไป

บรรพชนกระบี่ยังคงยืนอยู่บนยอดเขา คู่เนตรงามสะกดกลั้นอารมณ์ ไม่อาจทราบได้ว่าคิดอะไรอยู่

เพียงพริบตา สามวันก็ผ่านพ้น เมื่อลู่หยวนจากไป ผู้คนทั่วเมืองหวงซีก็ตั้งขบวนซ้ายขวาข้างถนน หวังเหมิ่งอาวรณ์กว่าใคร และติดตามส่งพวกบุตรศักดิ์สิทธิ์ไปตลอดทาง ไม่ว่าพวกเขาจะต้องการหรือไม่

ลู่หยวนย่อมเข้าใจว่าเขาต้องการอะไร จึงโยนโอสถถุงหนึ่งให้อีกฝ่าย

ผู้นำตระกูลหวังรับมันได้ เขาก็แย้มยิ้มและรีบเก็บโอสถไป “ขอบคุณบุตรศักดิ์สิทธิ์!”

คนอื่น ๆ มองเขาด้วยสายตาริษยา หากได้รับรองบุตรศักดิ์สิทธิ์ ของสิ่งนี้ก็จะเป็นของพวกเขา!

ชายหนุ่มนำคณะเยื้องย่างสู่เวหา และหวังเหมิ่งก็กลับตระกูลหวังไปทันที เมื่อเปิดถุงโอสถนั้นออกก็พบว่าภายในมีโอสถอันดับสี่อยู่หลายสิบชิ้น

หวังเหมิ่งตื่นเต้นเสียจนแทบลมจับ โอสถอันดับสี่!

สำหรับตระกูลของพวกเขา โอสถที่แจกจ่ายในตระกูลอย่างมากก็มีเพียงอันดับหก และยามนี้เมื่อได้โอสถอันดับสี่มามากมาย ก็เท่ากับให้จุดเปลี่ยนแก่ตระกูลหวังของพวกเขา!

ว่าแล้วเชียว ประจบบุตรศักดิ์สิทธิ์ไว้ไม่เสียหาย!

เขามัดถุงแล้วสั่งการทุกคนในตระกูลหวังทันที “จากวันนี้ไป ตระกูลหวังของเราจะตัดสัมพันธ์กับตระกูลหยาง! ไม่ติดต่อกันอีก!”

เขาหวังเหมิ่งไม่ใช่คนโง่ เห็นได้ชัดเจนว่ากาลก่อน บุตรศักดิ์สิทธิ์เกลียดหยางอวิ๋น และไม่ชอบตระกูลหยาง

ตัดสัมพันธ์กับพวกเขาไปก็ไม่เดือดร้อน!

หากภายหน้าตระกูลหยางล่มจม ตระกูลหวังของเขาจะอยู่ดีกินดี!

……

หุบเขาเคลื่อนฟ้า

เพิ่งจะเช้าตรู่เท่านั้น แต่ผู้คนมากมายก็หลั่งไหลมาจากทั่วทุกสารทิศ

ยอดฝีมือเหล่านี้ย่อมมาเพื่อเข้าร่วมการคัดเลือกของสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ ทว่าพวกเขาไม่กล้าเหิมเกริมผิดพลาด ล้วนปักหลักอยู่ที่ตีนเขาเคลื่อนฟ้า รอให้คนจากสำนักบนยอดเขาสั่งการ

พวกเขาหลายคนมาจากตระกูลชั้นสูง และผู้รู้จักกันก็ย่อมเริ่มเสวนา

“ข้าได้ยินมาว่าจะมีผู้ทรงอำนาจจากตระกูลใหญ่ต่าง ๆ มาเข้าร่วมการทดสอบนี้หรือ?!”

“ใช่แล้ว ข้าได้ยินมาว่ามีตระกูลสูงสุดหลายแห่งจากแดนเหนือมาด้วยนะ!”

“เฮ้อ ข้าไม่รู้เลยว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์ตระกูลลู่จะมาด้วยหรือไม่! แต่ข้าได้ยินมาว่าเขาเข้าสู่ขั้นเทียมเซียนแล้วนะ!”

“จริงหรือ?! ขั้นเทียมเซียนอายุสิบเจ็ด?! นี่ยังเป็นคนอยู่หรือ?”

ผู้ฝึกยุทธ์จากสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ยืนบนหุบเขาเคลื่อนฟ้า พวกเขาทุกคนล้วนแล้วแต่มีฐานการบ่มเพาะเหนือขั้นเทียมเซียน ย่อมได้ยินบทสนทนาของทุกผู้ ณ ตีนเขา

เมื่อหนึ่งในศิษย์พี่จากสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ได้ยินเช่นนี้ เขาก็อดรำพึงไม่ได้ “ดูเหมือนหนนี้จะมีผู้แข็งแกร่งราวกับปีศาจโผล่มาอีกแล้ว ขั้นเทียมเซียนอายุสิบเจ็ด!”

สายตาของศิษย์พี่ผู้นั้นพลันหันไปมองหยางอวิ๋นซึ่งอยู่ห่างไปไม่ไกลนัก “ศิษย์น้อง ข้าจำได้ว่าเจ้าเองก็อายุสิบเจ็ดยามแรกเข้าสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ ตอนนั้นเจ้าอยู่ในขั้นจักรพรรดิยุทธ์ระดับกลาง ฐานการบ่มเพาะเท่านี้ในอายุนี้นับว่าโดดเด่นในฝูงชนมากแล้ว แต่ไม่คาดคิดเลยว่าคนผู้นี้จะแข็งแกร่งกว่าเจ้าอีก!”

ศิษย์น้องคนอื่น ๆ เองก็พยักหน้าตาม ๆ กัน เห็นได้ชัดว่าสนใจในตัวบุตรศักดิ์สิทธิ์ตระกูลลู่ผู้นี้มาก

หัวใจของหยางอวิ๋นขมขื่น ในอดีตมีเพียงตัวเขาที่ถูกชื่นชมยกยอเช่นนี้

เขาอดกลั้นไว้ แต่ก็ยังกล่าวว่า “เขาเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์จากตระกูลลู่แห่งตำหนักธารสุญญะแดนเหนือ หากอายุเท่านี้แล้วยังอยู่ในขั้นจักรพรรดิยุทธ์สิ จึงจะน่าประหลาดใจ”

วาจาของเขาแฝงคำประชดประชัน เห็นได้ชัดว่าจงใจค่อนแคะ บอกว่าลู่หยวนใช้วัตถุภายนอกช่วยดันตนขึ้นสู่ขั้นเทียมเซียน

ทว่าผู้คนที่เหลือพลันรำพึง “ที่แท้ก็เป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์ของตำหนักธารสุญญะแดนเหนือนี่เอง ข้าได้ยินมาว่าเขาเป็นนายน้อยของสำนักอักขระสวรรค์ด้วยนะ!”

“จริงหรือ เช่นนั้นข้าจะต้องสานสัมพันธ์อันดีกับเขาไว้!”

“ยอดฝีมืออายุน้อยเพียงนี้ ยามเขาเข้าร่วมสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ ข้าจะดื่มกับเขาหน่อย!”

เมื่อมองกิริยาของพี่น้องผู้เคยห้อมล้อมเขาในกาลก่อน หัวใจของหยางอวิ๋นก็ยิ่งไม่สบอารมณ์

ใช่แล้ว คนเหล่านี้ล้วนเป็นทายาทตระกูลใหญ่จากทั่วแผ่นดินหยวนหง

ไม่ใช่คุณชายน้อยจากตระกูลเล็ก ๆ หรือตำนานแท้จริงจากสำนักใด

ลู่หยวนถือได้ว่าเป็นบุคคลระดับหนึ่งในหมู่ผู้เยาว์ในแดนเหนือ และเขาหยางอวิ๋นก็แค่หนึ่งบุคคลจากสถานที่เล็ก ๆ ไร้ภูมิหลังใด ๆ เทียบกันแล้ว พวกเขาย่อมอยากผูกมิตรกับลู่หยวน

หัวใจของหยางอวิ๋นคุกรุ่นด้วยอารมณ์

เฮอะ บุตรศักดิ์สิทธิ์ตระกูลลู่แล้วอย่างไร?!

ต่อให้เป็นบุตรแห่งสวรรค์ เขา หยางอวิ๋นผู้นี้ก็เหยียบย่ำได้!

ลู่หยวน ความแค้นของหยางซือซือ ข้าจะชำระแน่นอน!

หลิงอวิ๋นยืนแยกตัวห่างจากทุกผู้ ย่อมสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของบุคคลเหล่านั้น เมื่อมองสายตาเคียดแค้นของหยางอวิ๋น ในใจของนางก็บังเกิดเค้าความรู้สึก

แต่ก่อนจะทันได้พูดอะไร นางก็ได้ยินศิษย์ผู้หนึ่งจากด้านข้างก้าวออกมากล่าวว่า “ท่านบรรพชน ใกล้ได้เวลาแล้ว มีผู้อยู่ด้านล่างมากมาย พร้อมเริ่มคัดเลือกหรือยังขอรับ?”

หลิงอวิ๋นเหลือบมองฟ้าแล้วพยักหน้า

คนมากมายที่ตีนเขายังคงเสวนากัน จู่ ๆ พวกเขาก็ได้ยินเสียง ‘ครืน’ แล้วคลื่นพลังสายหนึ่งก็แผ่จากยอดเขา ปกคลุมทั่วหุบเขาเคลื่อนฟ้าในทันที

ทุกคนหยุดการพูดคุย ต่าวมองขึ้นไปยังยอดเขาเคลื่อนฟ้า

หอกยาวเล่มหนึ่งลอยขนานนภากลางอากาศ และร่างหนึ่งในชุดแดงก็เหยียบอยู่เหนือหอกเล่มนั้น

คนที่พอมีความรู้บ้างต่างทราบว่านี่คือบรรพชนหอกหลิงอวิ๋นแห่งสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ และในหัวใจของพวกเขาก็เต้นระส่ำ

พวกเขาหลายคนยังหวังจะกราบบรรพชนหอกเป็นอาจารย์ เพราะถึงอย่างไร บรรพชนหอกผู้สูงส่งนี้ไม่เพียงมีพรสวรรค์ รอบรู้ มาจากภูมิหลังอันเลิศล้ำเท่านั้น แต่ยังเป็นหญิงงามหาใดเปรียบ

ที่สำคัญที่สุดคือ ขณะนี้บรรพชนหอกผู้นี้มีศิษย์เพียงหนึ่งคน

ต้องทราบว่าในสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ อาจารย์แต่ละคนมีศิษย์จำนวนมาก และแม้บางคนจะเด่นดังในโลกภายนอก แต่หลังจากเข้าสู่สำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาก็ไม่ได้รับความสนใจจากอาจารย์เลย แทบไม่ต่างจากผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไป

ยามนี้บรรพชนหอกมีศิษย์เพียงหนึ่ง หากฝากตัวเป็นศิษย์นางได้ จะเป็นที่สังเกตเห็นอย่างแน่นอน!

ถึงยามนั้น ไม่ว่าจะเป็นการชี้แนะฝึกฝนหรือการเลือกอาวุธวิเศษย่อมเกิดขึ้นได้

คนเหล่านี้ล้วนประสานมือคำนับหลิงอวิ๋นผู้อยู่เหนือนภาและร้องตะโกนขึ้นอย่างรีบร้อน “คารวะท่านบรรพชน!”

หลิงอวิ๋นกวาดตามองลงมา พยักหน้าแล้วยกมือขึ้นอย่าสุขุม พลังอันอ่อนโยนพยุงตัวพวกเขาขึ้น

“ทุกท่าน วันนี้สำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ของข้าคัดเลือกศิษย์ และยังคงยึดตามกฎเดิม ผู้ใดไต่บันไดสวรรค์ขั้นที่สามสิบ จะสามารถเข้าร่วมสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ของข้าได้!”

ว่าแล้ว หอกใต้เท้าของหลิงอวิ๋นก็เคลื่อนขยับ แสงทองทะยานออกจากปลายหอก พลังอันแข็งแกร่งสายหนึ่งเดือดพล่านขึ้นทันที

ครืนนน

เหนือเวหา เสียงอันสนั่นก้องทั่วทิศปรากฏขึ้น ทำให้ทุกคนครั่นคร้าม

บนท้องนภา หมู่เมฆาม้วนตัว แปรเปลี่ยนเป็นสีทองในทันใด และขั้นบันไดสีทองก็โปรยลงจากหมู่เมฆสู่ตีนเขา ต่อหน้าต่อตาของทุกคน

ทันทีที่ขั้นบันไดเคลื่อนลงมา ทุกคนก็สัมผัสพลังอันแข็งแกร่งแผ่ปะทะกายได้ ทั่วร่างของตนเหมือนถูกฉาบด้วยเหล็กหลอม และครู่ต่อมา พวกเขาก็เหงื่อแตกพลั่ก

เสียงของหลิงอวิ๋นดังขึ้นอีกครั้ง “บันไดสวรรค์นี้มีทั้งสิ้น 999 ขั้น แต่ละขั้นจะทวีพลังขึ้น หากเจ้ามีฐานการบ่มเพาะสูง ก็ยิ่งเผชิญแรงกดดันได้สูง ผู้ใดอาสาประเดิมคนแรก?”

ทุกคนในฝูงชนมองหน้ากัน

ไม่กี่อึดใจต่อมา ในที่สุดผู้มาจากตระกูลใหญ่หลายคนก็เริ่มเดินมายังบันได

เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ล้วนมีความคิดในใจเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น แต่หากพวกเขาผ่านเกณฑ์เป็นคนแรก ย่อมเป็นที่ประทับใจของหลิงอวิ๋น และมีโอกาสได้พึ่งพานางมากขึ้นในภายหน้า!

พวกเขาเองก็เป็นความหวังจากตระกูลต่าง ๆ และยามนี้ยังเป็นยอดฝีมือในขั้นยอดยุทธ์และราชันยุทธ์ พวกเขาคิดว่าแค่บันไดสามสิบขั้นสั้น ๆ คงง่ายเหมือนปอกกล้วยสำหรับพวกเขา

แต่ทันทีที่ก้าวขึ้นสู่บันไดอย่างมาดมั่น อำนาจอันสะท้านสะเทือนถึงวิญญาณก็ปกคลุมพวกเขาทันที

อากาศรอบกายพวกเขาดูคล้ายสั่นสะท้าน… สัมผัสได้เพียงว่าโสตดูจะอื้ออึงไปหมด

พวกเขากัดฟันเดินขึ้นทีละก้าว

ทันทีที่คนอื่น ๆ ก้าวขึ้นมา พวกเขาก็มีสภาพไม่ต่างกัน

หลังผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม กลับไร้ผู้ใดขึ้นสู่บันไดสวรรค์ขั้นที่ยี่สิบห้าได้

ที่ยอดหุบเขาเคลื่อนฟ้า ศิษย์สำนักมายาศักดิ์สิทธิ์มากมายกอดอกมองเหล่าผู้กระเสือกกระสนจะขึ้นบันไดสวรรค์อย่างเย็นชา ส่ายหน้าแล้วรำพึง “พวกนี้ไม่ไหวหรอก!”

“ครึ่งชั่วยามเข้าไปแล้ว แต่กลับไร้ผู้ใดเหยียบย่างถึงขั้นที่สามสิบ ชะรอยการคัดเลือกหนนี้จะมีผู้ผ่านไม่มากเสียแล้ว”

พูดถึงตรงนี้ ศิษย์น้องหลายคนก็กระซิบกระซาบกัน

“ข้าได้ยินว่าการคัดเลือกศิษย์ที่แดนเหนือนี้ แท้จริงคือบรรพชนหลิงอวิ๋นจะเลือกศิษย์เพิ่มอีกสองคน เรื่องนี้จริงหรือ?”

“ข้าก็เคยได้ยินมาเช่นกัน เพราะถึงอย่างไร จำนวนศิษย์ของท่านบรรพชนก็มีน้อย เจ้าสำนักเองก็ร้อนใจ หาไม่คงมิให้ท่านบรรพชนมาเป็นผู้นำคัดเลือกเพียงหนึ่งเดียวหรอก!”

“เช่นนั้น ไม่ใช่ว่าศิษย์น้องหยางอวิ๋นก็จะมีศิษย์น้องชายหญิงเหมือนกันแล้วหรือ? ยามนี้ สำนักของบรรพชนหลิงอวิ๋นก็ไม่น่าว้าเหว่แล้ว!”

เสียงเหล่านี้ฟังดูหยาบกระด้างมากยามเข้าถึงโสตหยางอวิ๋น เขาก็เคยได้ยินเรื่องเหล่านี้มาเช่นกัน แต่อาจารย์รับปากเขาไว้ว่าหนนี้ นางจะไม่รับศิษย์เพิ่ม!

หากเป็นเมื่อสองสามวันก่อน เขาจะยังเชื่อวาจาอาจารย์เขามาก แต่หลังจากเหตุเมื่อวันก่อน เขาก็ไม่เชื่ออาจารย์ของตนเท่าไหร่แล้ว!

หลิงอวิ๋นยืนตรงหน้าทุกคน และได้ยินเสียงกระซิบกระซาบของศิษย์จากเบื้องหลังเช่นกัน

นางเหลือบตามองหยางอวิ๋น สังเกตเห็นเช่นกันว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าไม่สู้ดี นางถอนใจเบา ๆ แล้วถ่ายทอดวจีบอกเขา “อย่าห่วงเลย ในแดนเหนือมีน้อยคนนักจะเข้าสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ของข้าได้ และผู้ใช้หอกก็ยิ่งน้อยไปใหญ่ ไม่มีผู้ใดเข้าตาให้ข้ารับเป็นศิษย์ได้”

หยางอวิ๋นได้รับการปลอบจากหลิงอวิ๋น หัวใจของเขาพลันหวั่นไหว แต่แล้วเขาก็สะกดมันไว้

หลิงอวิ๋นยังอยากพูดต่อ ทว่าเหนือท้องนภา เสียงหนึ่งซึ่งมีความเอื่อยเฉื่อยก็ดังมาไกล ๆ “ท่านบรรพชนหลิงอวิ๋น ไม่ได้พบกันมาสามวัน คิดถึงบุตรศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้หรือไม่?”

เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนี้ พวกเขาก็ตกตะลึง ผู้ใดกันที่กล้าพูดออกมาเช่นนี้?!

หยางอวิ๋นยิ่งถลึงตาเดือดดาลกว่าเก่า เสียงนี้เกินคุ้นสำหรับเขา นั่นคือลู่หยวน!