บทที่ 130 บดขยี้บันไดสวรรค์ในสิบขั้น (ต้น)

ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา

บทที่ 130 บดขยี้บันไดสวรรค์ในสิบขั้น (ต้น)

บทที่ 130 บดขยี้บันไดสวรรค์ในสิบขั้น (ต้น)

เหนือเวหาไกลออกไป หนึ่งร่างในชุดสีชาดห่มดำเยื้องย่างเชื่องช้า สองข้างกายขนาบด้วยหญิงงามไร้ผู้เทียบเทียม เป็นที่น่าอิจฉายิ่งนัก

ชายผู้นั้นมีรอยยิ้มเรื่อยเฉื่อยบนใบหน้า ดูไม่เห็นผู้ใดในสายตา

หากเป็นคนอื่นกล้าดูแคลนการเลือกศิษย์ของสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์เพียงนี้ ทั้งยังกล่าววาจาเพ้อเจ้อกับบรรพชนหลิงอวิ๋นเช่นที่เห็น คนเหล่านี้คงชักอาวุธออกมาประชันสั่งสอนสักหน่อยแล้ว

ทว่ายามนี้ ทุกผู้ล้วนสัมผัสได้ว่าเบื้องหลังชายชุดสีชาดห่มดำมีผู้อารักขาที่แข็งแกร่งคนหนึ่งอยู่ และเสี้ยวพลังที่แผ่ออกมา อย่างน้อยที่สุดก็อยู่ในขั้นเซียนยุทธ์!

คนเหล่านี้ย่อมไม่กล้าลงมือ ทำได้เพียงอ้าปากเสวนาหารือ

“ชายผู้นี้เป็นใครกัน เหตุใดกำเริบถึงเพียงนี้?”

“ไม่รู้ แต่… เขากล้าพูดเช่นนี้กับบรรพชนหลิงอวิ๋น เกรงว่าไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่ ต่อให้มีผู้อารักขาขั้นเซียนยุทธ์ บรรพชนหลิงอวิ๋นก้าวสู่ขั้นปรมาจารย์ยุทธ์ไปแล้วครึ่งก้าว การเอาชนะพวกเขานั้นง่ายนัก!

หนึ่งในหมู่พวกเขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “เหมือนเขาจะเป็น… ลู่หยวน!”

คนอื่น ๆ ล้วนหันมองเขาด้วยสายตาเบิกกว้างตาม ๆ กัน “จริงหรือ?!”

ต้นเสียงพยักหน้ายืนยัน “ใช่ ข้าเคยเห็นเขามาก่อน เขาคือลู่หยวน!”

ก่อนหน้านี้ ทุกผู้ยังพูดเหยียดเยาะกันอยู่เลย ทว่ายามนี้กลับยิ้มแย้มเปลี่ยนวาจาไปสนิท

“อ้อ! ที่แท้ก็เป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่ มิน่าเล่าจึงหยิ่งผยองได้เช่นนี้!”

“ใช่แล้ว! ถูกเผง! ไร้ความกลัวต่อครรลองแห่งฟ้าดิน อนาคตยิ่งใหญ่สูงส่งเหนือใคร!”

หยางอวิ๋นมองท่าทีซึ่งเปลี่ยนไปราวหน้ามือกับหลังมือของคนเหล่านี้อย่างเย็นชา หัวใจเปี่ยมความเย้ยหยัน

หลิงอวิ๋นเบนศีรษะน้อย ๆ มากล่าวกับลู่หยวนราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเมื่อครู่

“ในเมื่อข้ามาแล้ว ก็เข้าร่วมการคัดเลือกด้วยเลยเป็นไร”

ลู่หยวนลดสายตาลงมองผู้คนซึ่งกระเสือกกระสนปีนบันไดแล้วยิ้มบาง ๆ

“บรรพชนหลิงอวิ๋น เจ้าก็รู้ถึงพลังของข้าผู้นี้ ยกเว้นการทดสอบไปจะดีกว่า”

ชายหนุ่มชี้ไป๋ชิวเอ๋อร์และฉินอี่หาน “แล้วก็ ช่วยละเว้นการทดสอบสำหรับพวกนางด้วย”

รอยยิ้มที่เพิ่งเผยขึ้นนิด ๆ บนใบหน้าของบรรดาศิษย์สำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายแข็งค้างไปทันที

ละเว้นการทดสอบ?!

นับแต่ก่อตั้งสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์มา ไม่เคยมีผู้ใดได้รับการยกเว้นไม่ต้องเข้าทดสอบ!

ทายาทจากสำนักหรือตระกูลที่แข็งแกร่งบางแห่งมีคุณสมบัติเข้าสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ได้ ทว่าก็ไม่เคยมีผู้ใดเสนอให้งดเว้นการทดสอบขณะถึงเวลาคัดเลือกศิษย์มาก่อน

บุตรศักดิ์สิทธิ์ตระกูลลู่ผู้นี้… หยิ่งผยองจริง ๆ!

หยางอวิ๋นแค่นยิ้มเยาะในใจ

งดเว้นการทดสอบ?!

เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าเป็นบุคคลอันดับหนึ่งในโลกหล้า? สำนักมายาศักดิ์สิทธิ์อยู่ไม่ได้ถ้าไร้เจ้าหรือ? วาจาสามหาวเพียงนี้ ท่านอาจารย์จะรับปากเจ้าได้เช่นไร?!

บรรพชนหอกจ้องมองลู่หยวนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “บุตรศักดิ์สิทธิ์เป็นนายน้อยตระกูลลู่ และเป็นเจ้าสำนักน้อยของสำนักอักขระสวรรค์ มีคุณสมบัติเข้าร่วมสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ได้ทันที”

“หากบุตรศักดิ์สิทธิ์คิดจะเข้าร่วมสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ ก็สามารถไปยังสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ได้ ไม่จำเป็นต้องมาที่นี่เลย”

“ส่วนอีกสองท่าน ไป๋ชิวเอ๋อร์เป็นนายน้อยตระกูลไป๋ มีคุณสมบัติเข้าร่วมสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ด้วยเช่นกัน ทว่าฉินอี่หานท่านนั้น เกรงว่ายังต้องเข้ารับการทดสอบอยู่” น้ำเสียงของหลิงอวิ๋นราบเรียบ สายตาไร้การเปลี่ยนแปลงอารมณ์ “หากบุตรศักดิ์สิทธิ์อยากจะเข้ารับการทดสอบด้วย ย่อมไร้ปัญหาใด”

ลู่หยวนส่ายหน้ายิ้ม ๆ “ไม่ทดสอบหรอก ข้าเกรงว่าบันไดสวรรค์นี่จะรับสิบก้าวของข้าไม่ได้”

“พรืด!”

หยางอวิ๋นหัวเราะออกมาทันทียามได้ยินเช่นนี้ และมองบุตรศักดิ์สิทธิ์ด้วยสายตาเจือความหยามเหยียด

ข้าเพิ่งได้ยินอะไรนะ?!

บันไดสวรรค์หรือจะทนสิบก้าวของลู่หยวนไม่ได้?!

บันไดสวรรค์จะไม่พังทลายต่อให้ยอดฝีมือขั้นปรมาจารย์ยุทธ์มาเดิน!

เขาอยู่เพียงขั้นเทียมเซียน กล้าดีเช่นไรมาทำตัวยโสเช่นนี้?!

เมื่อคนอื่น ๆ ได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของพวกเขาเองก็แปรเปลี่ยนไป ชายหนุ่มผู้นี้เหิมเกริมเกินไปจริง ๆ

หลิงอวิ๋นเองก็ส่ายหน้า “บุตรศักดิ์สิทธิ์กล่าวมากเกินไปแล้ว”

ลู่หยวนเมินสายตาหยามเหยียดของคนทุกผู้ ทำเพียงกล่าวกับบรรพชนหอกตรง ๆ ว่า “ท่านไม่เชื่อหรือ?”

หลิงอวิ๋นกล่าวอย่างอ้อม ๆ ว่า “บันไดสวรรค์นี้เคยรับการท้าทายจากยอดฝีมือขั้นปรมาจารย์ยุทธ์มาก่อน”

ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้น “แล้วหากวันนี้ ข้าขยี้มันภายในสิบขั้นเล่า?”

ริมฝีปากสีชาดของบรรพชนหอกเผยอเล็กน้อย สารพัดวาจาถูกกลืนลงท้องไปจนสิ้น

แม้ว่านางกับลู่หยวนจะเคยพบหน้ากันเพียงไม่กี่หน แต่ชายหนุ่มก็ไม่ทำให้นางรู้สึกว่าเขาเป็นคนใบไม้หนึ่งใบบังตา มองไม่เห็นภูเขาไท่ซาน*[1] เหตุใดวันนี้เขาจึงกล่าววาจาสามหาวใหญ่โตเพียงนี้?

บดขยี้บันไดสวรรค์นี้ กระทั่งนางยังทำไม่ได้!

“ข้าเคยได้ยินมาว่า หลังเข้าร่วมกับสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ บรรพชนทั้งหลายจะเป็นผู้เลือกศิษย์ แต่ข้าเลือกอาจารย์ของตัวเองในใจแล้ว”

ถ้อยคำของลู่หยวนหยุดไป สายตาจับจ้องนิ่งที่หลิงอวิ๋น เผยความปรารถนาอันร้อนแรงออกมาอย่างซื่อตรง

“หากบุตรแห่งสวรรค์ผู้นี้บดขยี้บันไดสวรรค์ได้ในสิบเก้า ถือว่าบรรพชนหลิงอวิ๋นเป็นอาจารย์ของข้าดีหรือไม่?”

สายตาซึ่งเดิมเหยียดหยามของบุตรแห่งโชคชะตาพลันแปรเปลี่ยน

ที่แท้เจ้าหนุ่มนี่ก็มีอุบายเช่นนี้!

พูดจาโอหังใหญ่โตเพื่อดึงความสนใจของท่านอาจารย์!

เฮอะ!

แต่แผนเอาแต่ใจของลู่หยวนผู้นี้พลาดแล้ว อย่าว่าแต่ตัวเองจะไม่อาจบดขยี้บันไดสวรรค์นี้ได้เลย แต่เดิมที ท่านอาจารย์ก็เป็นผู้สันโดษรักสงบ ไม่ชอบให้ศิษย์ตนเองโอ้อวดจองหอง!

ต่อให้เจ้าสำนักมาเองในวันนี้ เกรงว่าเขาก็คงไม่อาจขอให้ท่านอาจารย์ยอมรับบุตรศักดิ์สิทธิ์ได้!

คิ้วเรียวของหลิงอวิ๋นขมวดน้อย ๆ ด้วยคุณสมบัติและภูมิหลังตระกูลของชายผู้นี้ ขอเพียงเขาก้าวเข้าสู่สำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่อาจทราบได้เลยว่าจะมีบรรพชนมากมายเพียงไรที่กรูเข้ามาขอรับเขาเป็นศิษย์ และในหมู่คนเหล่านั้น ผู้มีฐานบ่มเพาะแข็งแกร่งกว่านางก็ไม่ได้ขาด

ยิ่งกว่านั้น อีกฝ่ายก็ไม่ใช่ผู้ฝึกฝนหอก เหตุใดถึงต้องมาฝากตัวเป็นศิษย์นาง?

หลิงอวิ๋นงุนงงและกำลังจะปฏิเสธ

ทันใดนั้น หมู่เมฆาเหนือนภาก็เคลื่อนคล้อย เงามายารูปร่างเสมือนเซียนผู้หนึ่งปรากฏขึ้น

เสียงอันเฒ่าชราและสุขุมเสียงหนึ่งดังขึ้นในอากาศ “แม่หนูอวิ๋น ในเมื่อเจ้าหนุ่มตระกูลลู่สนใจเช่นนี้ เห็นด้วยกับเขาจะดีกว่า ตาเฒ่าผู้นี้ก็อยากทราบเช่นกันว่ารากฐานของเจ้าเด็กตระกูลลู่ผู้นี้เป็นเช่นไร และสามารถบดขยี้บันไดสวรรค์ที่ตาเฒ่าผู้นี้สร้างขึ้นได้จริง ๆ หรือไม่”

เมื่อเงามายานี้ปรากฏขึ้น ทุกผู้จากสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ก็ยืนตัวตรงก้มคำนับอย่างแสนนอบน้อม “คารวะเจ้าสำนัก!”

เงามายานี้เป็นของเจ้าสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์… เฉิงไท่

เมื่อหลิงอวิ๋นได้ยินชายชรากล่าวเช่นนี้ หัวใจของนางก็ยังไม่อยากยอมรับ “เจ้าสำนัก ข้า…”

“ไม่ต้องพูดแล้ว เจ้าสนองความฉงนใจของตาเฒ่าผู้นี้หน่อยเถิด”

สายตาของเฉิงไท่หันไปมองอีกฝ่าย “เจ้าหนุ่มตระกูลลู่ สิ่งใดจะเกิดขึ้นหากเจ้าไม่อาจบดขยี้บันไดสวรรค์ในสิบย่างก้าว?”

“เจ้าสำนักคิดเช่นไร?”

เฉิงไท่ครุ่นคิดแล้วกล่าวช้า ๆ “หากเจ้าไม่อาจบดขยี้บันไดสวรรค์ได้ในสิบขั้น เจ้าจะไม่อาจเข้าร่วมสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ได้ชั่วชีวิต เช่นนี้เป็นไร?”

เมื่อเหล่าผู้ติดตามเบื้องหลังลู่หยวนได้ยินเช่นนี้ หัวใจของพวกเขาก็นิ่งค้าง อยากเกลี้ยกล่อมให้ชายหนุ่มทิ้งการเดิมพันนี้ไปเสีย

[1] ใช้เปรียบเทียบกับการที่คนเรามองแค่ส่วนใดส่วนหนึ่ง จนไม่เห็นใจความสำคัญหรือความเป็นจริงในภาพรวม หมายถึง ที่ผ่านมา ลู่หยวนดูไม่เหมือนคนที่มองไม่เห็นภาพความเป็นจริงว่าความแข็งแกร่งของตนอยู่ระดับใด