เฟิ่งรั่วเอ๋อร์กับเซวี่ยลี่กินขนมไหว้พระจันทร์ที่ทำจากจวนพักตากอากาศเองแล้ว ก็ดื่มเหล้าองุ่นที่ซูสุ่ยเลี่ยนบ่มเองเมื่อปีก่อนไปหลายจอก นั่งอยู่ครู่หนึ่งก็กลับเรือนสวนไผ่ เพราะตั้งแต่เฟิ่งรั่วเอ๋อร์ตั้งครรภ์ก็ติดนอน ยังไม่ทันยามซวีก็เริ่มหาวติดๆ กันแล้ว เซวี่ยลี่สงสารที่นางตั้งครรภ์ลำบาก แทบจะทำตามใจนางทุกอย่าง
“อยากพักผ่อนหรือยัง” หลินซือเย่าก้มลงมองสตรีที่พิงอยู่ในอ้อมกอดเขา
ซูสุ่ยเลี่ยนกะพริบตาปริบๆ “ก็เหนื่อยเหมือนกัน” ตอนบ่ายมาว่างไม่มีงานอะไรก็ทำชุดนอนผ้าไหมให้กับทารกแฝด
ต้นเดือน จวนอ๋องจิ้งฝากหอกว่างชื่อโหลวเอาผ้าพระราชทานมาให้หกพับ ล้วนเป็นผ้าไหมฟ้าเนื้อนิ่มละมุนที่หาไม่ได้ตามท้องตลาด เอามาตัดชุดใส่ติดแนบกายจะเหมาะที่สุด สองวันนี้ก็เลยตัดชุดนอนให้อาเย่าไว้ใส่ในฤดูใบไม้ร่วงชุดหนึ่ง หลายวันนี้ตัดชุดตัวในให้ทารกแฝดอีกด้วย
ผ้าเนื้อดีเช่นนี้ นางยืนยันที่จะตัดและปักด้วยตนเองให้ได้ ในเรื่องนี้หลินซือเย่าเองก็ไม่ได้ขัดขวางนางมากนัก เพียงแต่คอยกำชับนางว่าอย่านั่งนานเกินไป อย่าปล่อยให้สายตาอ่อนล้าเกินไป
ซูสุ่ยเลี่ยนนับว่าตนเองได้พยายามร้องขอจนได้ทำงานที่นางพึงใจแก้เหงามาได้แล้ว
“เช่นนั้นกลับกัน” หลินซือเย่าอุ้มนางขึ้นกลับห้องนอน ได้ยินซือชงเป่าปากดังมาพร้อมเสียงหัวเราะ
นางได้แต่พยายามซุกหน้าลงในแผ่นอกเขา อดยู่ปากบ่นไม่ได้ว่า “ขายหน้าแท้”
แต่กลับได้ยินเสียงหลินซือเย่าหัวเราะกลับมาแทน “ไม่เห็นหรือว่าท่านแม่ก็ถูกท่านพ่ออุ้มกลับไป”
“ไม่เหมือนกัน” เฟิ่งรั่วเอ๋อร์ตอนนั้นก็หลับสะลึมสะลืออยู่ข้างกายเซวี่ยลี่แล้ว ย่อมต้องอุ้มกลับห้อง
“ไม่มีอะไรไม่เหมือน” ล้วนเป็นสตรีมีครรภ์ที่ต้องการการเอาใจใส่พิเศษ หลินซือเย่ายิ้มบาง วางนางลงบนเตียงอย่าเบามือ
“วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
“ดีมาก ครั้งนี้ถึงกับไม่ได้รู้สึกอยากจะอาเจียนเหมือนตอนที่ท้องสองแฝดนั่น”
หลินซือเย่าได้ยินก็เคาะหน้าผากนางเบาๆ “เจ้าอยากหรือ”
“ย่อมไม่อยาก ข้าก็แค่เปรียบเทียบ” ซูสุ่ยเลี่ยนทำหน้าทะเล้นแลบลิ้นยาว กอดเอวเขาไว้หลวมๆ
“เจ้ายังไม่นอนอีก” หลินซือเย่ากุ้มลงจุมพิตริมฝีปากที่ยิ่งแดงฉ่ำของนางหลังตั้งครรภ์ จนนางหายใจหอบจึงได้ปล่อยนาง “ได้ไหม”
อยู่ๆ ถามเช่นนี้ทำเอาหูนางแดงไปหมด
“ขอเพียงระวังหน่อยก็ไม่มีปัญหา” ครั้งก่อนตอนตั้งครรภ์ อาเย่าต้องระงับใจอยู่เกือบสี่เดือน ครั้งนี้นางข่มความอาย แอบไปถามหยางจิ้งจือ จึงได้คำตอบที่นางต้องการมา
“หยางจิ้งจือบอก?” หลินซือเย่าอมยิ้มลอบมองใบหน้างามผุดผ่องของนาง เพื่อเขานางยอมกล้าทำเรื่องที่เมื่อก่อนไม่มีทางทำแน่นอน
“อืม ข้า…ข้าไปถามมา” นางเอ่ยอธิบาย ทั้งตัวแดงเถือกไปหมดด้วยความเขินอาย
“ลำบากเจ้าแล้ว” เขาก้มลงดึงดูดริมฝีปากนาง จากนั้นก็ขจัดสิ่งกีดขวางบนตัวของเขาและนางทิ้ง ขึ้นทาบทับกายนาง
มือหนึ่งโอบข้างกายนาง อีกมือแทรกเข้าสู่เอี๊ยมสีเขียวใบบัวนุ่มลื่น ประคองความงามของนางเอาไว้ สัมผัสแผ่วเบา ทำให้นางรู้สึกแทบจะระเบิดออกมา
“อาเย่า…” นางอดงึมงำหรี่ตาพริ้มอยู่ใต้ร่างเขาไม่ได้
“ข้าจะระวัง” เขารับรองด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน สองมือยังคงวาดผ่านทั่วผิวละมุนขาวนุ่มนวลของนางที่หลายปีมานี้ไม่เคยเปลี่ยน เขายินยอมพร้อมใจจมอยู่ในห้วงแห่งรักลึกซึ้ง
“สุ่ยเลี่ยน…” เขาถอนหายใจเบาๆ สองปีมานี้ เหมือนเกิดใหม่…แต่งภรรยา…มีลูก…มีพ่อแม่…ขอบคุณสวรรค์ ที่ให้เขาก่อนตายได้พบนางผู้มีจิตใจดีงาม จากนี้ไปเขาได้พ้นจากโลกแห่งความมืดมิดรากกับคุกมาแล้ว มาอยู่ท่ามกลางแสงตะวัน โลกของเขาเปลี่ยนไปเพราะนาง
“อืม…” นางคิดถาม แต่สิ่งที่ออกจากปากมาตอนนี้กลับเป็นเสียงคราง ทำเอานางอายจนต้องกัดริมฝีปากไว้ไม่ยอมปล่อย
“อย่ากัด…ส่งเสียงออกมา…ข้าอยากฟัง…” เขาทำให้นางเปิดปากออก ค้นหาไปทั่วก่อนจะยอมปล่อย
มือปัดป่ายไปมาจนพบว่านางพร้อมสำหรับเขาแล้ว
“อา…” ยามเขาแทรกกายเข้าลึกลงไปอีก นางอดครางเบาๆ ออกมาไม่ได้ โหมกระหน่ำอยู่นาน ก่อนจะถึงความอภิรมย์ขีดสุด
แต่เขาก็ยังไม่คิดหยุด นางได้แต่หมดแรงอยู่ในอ้อมกอดเขา พึมพำไม่ได้ศัพท์ เขายังคงโหมแรงไม่หยุด ก่อนจะคำรามเบาๆ นางและเขาถึงขีดสุดแห่งความอภิรมย์อีกครา…
ค่ำคืนเดือนมืด แสงจันทร์เป็นใจ
ในห้องเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งฤดูใบไม้ผลิ เสียงหอบหายใจดังไม่หยุด เสียงกบร้องด้านนอกก็คอยประสานบรรเลง
“โอย มีแต่พวกเราคนโสดตัวคนเดียว…” ซือชงดื่มเหล้าองุ่นลงไป พลางจ้องมองไหที่ว่างเปล่าหลายไห หัวเราะเบาๆ กล่าวว่า “บ่ายนี้บอกว่าแค่ไหเดียว พริบตาก็หลายไห ฝีมืออาซ้อนี่ไม่เลวจริงๆ ควรแก่การวางไว้กลางใจแท้”
“ตอนบ่ายเป็นเหล้าดอกกุ้ยไหเดียวที่บ่มมาสองปี เหล้าองุ่นพวกนี้บ่มเมื่อปีก่อน อาจารย์ลุง ท่านชิมไม่ออก ผุย! ละอ่อน…” ซือถูอวิ๋นนอนอยู่บนสนามหญ้า ยืมคำจากหยางจิ้งจือที่มักพูดติดปากมาเยาะซือชง
“โอ๊ะโอ! เจ้าเด็กบ้าดื่มไปกี่แก้ว ใจกล้า? หรือว่ามีซือหลิงคอยให้ท้าย ไม่เห็นอาจารย์อยู่ในสายตา” ซือชงได้ยินก็หรี่ตาราวกับกำลังโมโห
“ไหนเลยจะกล้า! ศิษย์จะกล้าเพียงใดก็ยังสำนึกคุณอาจารย์เลี้ยงดู” พอได้ยินซือชงเหมือนโมโห ซือถูอวิ๋นก็รีบกอดขาเขาไว้
“ชิ! ไปเล่นที่อื่น” ซือชงรำคาญโบกมือไล่ให้ศิษย์ไปไกลๆ ซือถูอวิ๋นไม่สนใจ เอาแต่หัวเราะร่าคว้าสุราดีไหสุดท้ายขึ้น “อาจารย์ วันนี้อาจารย์ลุงปล่อยข้าอิสระวันหนึ่ง ข้าไปหาพี่น้องเราดื่มสักหน่อนนะ อย่าคิดถึงข้าล่ะ…” พูดเสร็จ ก็อาศัยแสงจันทร์ทะยานไปยังหอกว่างชื่อโหลวในเมืองฝานลั่วทันที
“เจ้าลูกหมา!” ซือชงหัวเราะด่าลั่น หันกลับไปหาซือทั่วที่เอาแต่กรอกสุราให้ตนเอง “นี่ วันนี้เจ้าเจอผีหลอกหรือไง เหมือนล่องลอยนะ จะว่าไปเจ้าซือเล่านี่ ตอนบ่ายส่งกลับห้องก็หายตัวไปเลย อาหารเย็นก็ไม่เห็นหน้า ชมจันทร์ก็ไม่มา…แปลกแท้!”
ซือทั่วเงยหน้ามองเขา ก่อนจะดื่มต่ออีกจอก
“จริงๆ เลย…แต่ละคนเกิดอะไรขึ้น!” ซือชงส่ายหน้า ดื่มเหล้าองุ่นอีกครึ่งแก้วสุดท้ายในมือลงไป
“เฮ้ย ข้ากลับไปนอนละนะ พรุ่งนี้มาคุยธุระกับเจ้า”
“อืม” ได้ยินแต่เสียงตอบรับไม่ดังไม่ค่อยตามหลัง ไม่มีคำอื่นอีก
ซือชงเกาหัวแกรก ยกไหสุราเปล่า เตรียมจะส่งกลับไปห้องครัว
เจ้าซือหลิงยังมีกฎติดมือบ้าบออะไรนักหนา ขอเพียงอยู่ในรัศมีมองเห็น เรื่องเล็กๆ ก็ให้ช่วยถือติดมือ ไม่ว่าแขกหรือเจ้าของบ้าน ต้องช่วยกันถือติดมือ ไม่อาจเป็นคนว่างงานที่รอแต่อาหารเข้าปาก
ตอนแรกก็ยังหัวเราะเขา สาวใช้บ่าวชายมากมายในจวน ยังต้องให้พวกเขาถือติดมือ…แต่ว่าตอนนี้เขาก็ชินเสียแล้ว น่าจะบอกว่า ไม่มีใครอยู่ที่นี่สองวันขึ้นไปแล้วจะไม่ชิน หากไม่ชินจริงๆ ซือหลิงก็จะบีบให้เจ้าชินเอง
“ที่เหลือมอบให้เจ้า อย่าให้ข้าต้องโดนพลังฝ่ามือเขานะ” สุดท้ายกล่าวเตือนก่อนจากไป ซือชงยกไหสุราเดินออกไปจากเรือนสวนสน
ในใจยิ่งคิดก็ยิ่งแปลก ตั้งแต่บ่ายมานี้ เหลียงเอินไจ่ที่ชอบมาที่นี่ก็หายตัวไป ซือเล่าก็ยิ่งหายไปอย่างน่าแปลก ซือทั่ว…ก็เหมือนมีปัญหา…เฮ้อ เขาไม่มีอะไรคนเดียว เอาเถอะ พรุ่งนี้คุยงานก็กลับหอกว่างชื่อโหลวแล้วกัน อยู่ที่นี่ดูคนเขาเป็นคู่กระหนุงกระหนิงกันแล้ว ใจเขาก็แทบกระอักโลหิต
เอ๋? นั่นมันคนของฮ่องเต้เซวี่ยหมิงนี่ ดึกอย่างนี้ นางมาทำอะไรที่นี่คนเดียว
เห็นอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ ซือชงก็แอบหลบเข้าหลังพุ่มไม้ เห็นแต่นางผ่านเขาไป ตรงไปยังศาลาแปดเหลี่ยมที่ซือทั่วอยู่ตอนนี้ ซือชงแอบคิดร้าย หัวเราะแอบตามหลังไป ยามเบื่อๆ มีเรื่องมาให้แก้เบื่อ ไยไม่รีบเล่า!
“จากกันไปนานเป็นอย่างไรบ้าง” เจี้ยนเยว่น้ำเสียงเย็นเยียบผ่านความมืด เข้าสู่โสตประสาทซือทั่ว
“เจ้าล่ะ ไม่เจอกันสิบปี เจ้าได้สมดังหวังแล้วหรือยัง” ซือทั่วดื่มสุราจอกสุดท้ายหมดก็ลุกขึ้นยืนหันหลังให้เจี้ยนเยว่
“ฮะๆ…ช่างเป็นอะไรที่น่าขัน เห็นๆ ว่าเป็นเจ้าที่ผิดสัญญา ทำไมกลับมาถามข้า” เจี้ยนเยว่เจ็บปวดร้อนใจ คิดไม่ถึงว่าผ่านมาสิบปี ถึงกับยังเจ็บปวดเพราะเขา
“ข้า? ผิดสัญญา? อย่างไร?” ซือทั่วค่อยๆ หันมา แววตาเย็นเยียบจ้องมองเจี้ยนเยว่ไม่กะพริบ รอให้นางอธิบาย รอคำอธิบายที่นางตัดสินประหารเขาทิ้งไปจากชีวิตนาง
“ตอนนี้แล้วยังจะมีความหมายอันใดอีก…ข้ามาก็ไม่ได้มาพร่ำเรื่องพวกนี้…แต่มา…คืนให้เจ้า…” นางแบมือออก ในฝ่ามือมีแหวนหยกมรกตวาววับ นี่คือของที่เขาเคยมอบให้นาง เพียงแต่สัญญานั้นไม่อยู่แล้ว ว่ากันว่าเป็นของจากบรรพชนเขามอบแก่สะใภ้แห่งตระกูล เก็บไว้จะมีประโยชน์อันใด แต่ทุกครั้งที่นางโยนทิ้ง นาทีถัดมานางก็จะรีบไปหาคืนมา ผ่านไปสามสี่รอบ นางก็ตัดสินใจเก็บติดตัวไว้ หากว่าวันหนึ่งได้เจอเขา ก็จะคืนให้เขาต่อหน้า
ช่างบังเอิญ ที่แท้เขาก็คือพี่น้องกับองค์ชาย สิบปีต่อมาได้มาพบกันอีกครั้ง นางคิดว่าตนเองใจสงบนิ่งแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่ารอยแผลในใจ ตกตะกอนผ่านมาสิบปี ตอนนี้ขุ่นขึ้นมาอีกแล้ว
“เจ้าเก็บไว้เถอะ คืนข้าก็ไม่มีประโยชน์” ซือทั่วเหลือบมองฝ่ามือนาง ก่อนจะหันกลับไปกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบ
ให้นางเก็บไว้ น่าขัน นางไม่อาจได้อยู่ร่วมกับเขา…จะเก็บไว้ต่อไปได้อย่างไร
“วันนั้นข้ามีภารกิจ มาไม่ทันนัด หากเพราะเรื่องนี้ เจ้าก็คิดว่าข้าผิดคำสัญญา ใช่ว่า…”
“ภารกิจ? ฮ่ะๆ…ภารกิจอะไรต้องเข้าไปหอขุยฮวาโหลว และทั้งวัน…” เจี้ยนเยว่ก้มหน้าหัวเราะขัดวาจาเขาขึ้น
“เชื่อไม่เชื่อแล้วแต่เจ้า” ซือทั่วหันหน้าหนี ในใจเขาใช่ว่าไม่เจ็บ หลังจากเร่งทำภารกิจเสร็จ ก็รีบไปตามนัด เหลือเพียงแค่วาจาฝากเสี่ยวเอ้อร์ไว้สี่คำ ‘ไว้เจอกันใหม่’ ตั้งแต่นั้นมาปีหนึ่งเต็มๆ เขาก็ยอมรับภารกิจสำคัญที่อันตรายที่สุดของหอนักฆ่า เสี่ยงตายเพื่อขอให้ตนเองได้ตายเร็วขึ้น คิดไม่ถึงนางกลับหาว่าเขาผิดคำสัญญา
“นี่ ให้ข้าพูดหน่อยนะ ข้าจำได้ว่าซือทั่วสิบปีก่อนไปปฏิบัติภารกิจหอขุยฮวาโหลวกลับมา ก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน ตั้งแต่นั้นก็เอาแต่ออกปฏิบัติภารกิจ แย่งแต่ภารกิจสิ้นชีพง่ายๆ ไปทำ พวกเราไม่รู้ว่าเกิดอะไรกับเขา ที่แท้เกี่ยวกับเจ้านี่เอง” ซือชงแอบฟังจบก็โดดออกมาจากมุมหนึ่ง ขัดความเงียบของทั้งสองคนขึ้น
“เจ้า…” เขามาอยู่ที่นี่ตอนไหนกัน นางถึงกับไม่รู้ ก็จริง พวกเขาพลังวัตรราวปีศาจ ไหนเลยที่นางและเจี้ยนเหิงจะเทียบได้
“หุบปาก” ซือทั่วหันไปตวาดใส่ซือชง สีหน้าย่ำแย่แดงก่ำกำลังบอกว่าเขาถึงกับเขินอาย
เจี้ยนเยว่มองเขาอย่างไม่เข้าใจ เขาในความคิดนางคือผู้ชายที่ทิ้งไม่ลง วางไม่ลงมาสิบปี เจ็บปวดมาสิบปี คิดถึงมาสิบปี
“เมื่อครู่เจ้าว่าไปหอขุยฮวาโหลวเพื่อปฏิบัติภารกิจ?” นางดึงดันถามขึ้น ต้องทำเรื่องนี้ให้กระจาง จะได้ปลดปล่อยความเจ็บปวดในใจนางลง
“ในเมื่อผ่านไปแล้ว ตอนนี้แล้วยังจะมีความหมายอันใดอีก” ซือทั่วยืมคำนางมาย้อนปิดปากนาง
“เฮ้ย อาทั่ว เจ้าพิรี้พิไรอย่างนี้ตอนไหนกัน ใช่ก็ใช่ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่…เอ๋? สิบปีก่อน หอขุยฮวาโหลว…อา! ข้านึกออกแล้ว ภารกิจ ‘หวังไท่ซุ่ย’ นั่นใช่ไหม ฮา ฮา ฮา สตรีนี่นะ เจ้าเข้าใจซือทั่วผิดแล้ว ตอนนั้นเป็นภารกิจที่ลำบากใจจริงๆ กำจัด ‘หวังไท่ซุ่ย’ ที่ชอบเรื่องโลกีย์ มักเข้าออกสถานที่เช่นนั้น รอทีเดียวก็ตั้งหลายวัน ตอนนั้นพวกเราพนันกัน ซือทั่วแพ้ ก็ได้แต่ให้เขาไปลงมือ ใช่แล้ว ตั้งแต่นั้น ซือทั่วก็…”
“เจ้าพอได้แล้ว” ซือทั่วขัดคำพูดไม่หยุดของซือชง ขอเพียงอธิบายเรื่องนี้กระจ่างก็พอ จะเอาเรื่องต่อจากวันนั้นมาพูดทำบ้าอะไร
“เป็นเช่นนี้หรือ ทำไมไม่บอกข้าก่อน” เจี้ยนเยว่พึมพำถามต่อ
“ข้าบอกแล้วว่าวันนั้นข้ามีภารกิจ เจ้าบอกเจ้าจะรอข้า” ซือทั่วหันหน้าหนี จงใจไม่มองหน้านาง กลัวว่าตนเองจะไม่อาจระงับอารมณ์ที่ผุดขึ้นมาตอนนี้ได้ คิดว่าหลายปีมานี้สงบนิ่งแล้ว เขาลืมนางไปนานแล้ว ไม่คิดว่าการได้พบนางที่นี่เมื่อคืนก่อน ตอนนั้นเขาจึงได้พบว่า ที่แท้เขาไม่เคยลืมนาง เคยแค้นใจ เคยโมโห แต่ไม่เคยลืม
นางได้ฟังคำอธิบายดังนี้ก็ราวกับสายฟ้าฟาด ใช่แล้ว นางเคยบอกว่า ไม่ว่าเขาไปนานเท่าไร นางก็จะรอเขา แต่ว่าตอนนั้นนางยืนอยู่ที่ถนนเห็นเขาเข้าไปในหอขุยฮวาโหลวหนึ่งวันเต็มๆ ไม่ออกมา ใจนางก็แตกสลาย ไหนเลยจะคิดอะไรต่อได้อีก
ที่แท้สิบปีมานี้ ที่ลงโทษไปนั้นไม่เพียงแต่ตัวนางเอง ยังมีเขาด้วย…
“ขอโทษ…” สองตานางมีน้ำตาไหลรินออกมาไม่ขาดสาย
“นี่ เจ้า…เจ้าอย่าร้องไห้…ข้ากลัวน้ำตาสตรีที่สุด…เฮ้ย ซือทั่ว มอบให้เจ้าแล้ว…อย่างไรคนเขาก็มาเพราะเจ้า ข้าไปก่อนละ…ดีกันแล้วก็อย่าลืมมอบของขวัญให้พ่อสื่ออย่างข้าด้วยล่ะ อย่างไรข้าก็เป็นคนแก้ปมในใจพวกเจ้านะ…”