“เซียงหลัน?” ซูสุ่ยเลี่ยนเลิกคิ้วมองเซียงหลันที่อึ้งอยู่ ในใจก็อดถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้ พ่อสามีที่มีความคิดแสนประหลาดผู้นั้น ถึงกับเห็นคนเขาได้ดีไม่ได้ กว่าจะทำให้เซียงหลันกับเจี้ยนเหิงเกิดประกายความหวัง อยู่ๆ ก็ให้เจี้ยนเหิงตามเขากลับเซวี่ยหมิง
ไม่รู้จริงๆ ว่าในใจเขาคิดทำอะไร ก่อนหน้านี้คนที่พยายามจับคู่เซียงหลันกับเจี้ยนเหิงก็คือเขา ตอนนี้คนที่พรากคู่รักจากกันก็คือเขา เฮ้อ ทำเอานางกลายเป็นคนใจร้ายไปด้วยเลย
“อา…คุณหนู?” เซียงหลันได้สติ ก็หันมารับตะกร้าจากมือซูสุ่ยเลี่ยนด้วยอาการเก้อเขิน “ใช่แล้ว บอกแล้วว่าจะไปเก็บผลไม้”
รอบลานบ้านปลูกผลไม้ไว้ไม่น้อย ตอนนี้ช่วงฤดูใบไม้ร่วง ผลไม้กำลังสุกพอดี หากยังไม่เก็บอีกก็คงร่วงลงพื้นเป็นปุ๋ยให้กับดินแล้ว
สำหรับผลไม้ที่เก็บมา นอกจากเลือกเอาที่สดใหม่มากินแล้ว ส่วนใหญ่ก็จะเอาไปทำตามความต้องการของแขก บ่มเป็นสุราผลไม้ต่างๆ ส่วนน้อยที่จะเอาไปดองแล้วตากแดดทำผลไม้แห้ง
ทุกวันสาวใช้จวนพักตากอากาศมีงานประจำที่ต้องทำ ดังนั้นงานที่ไม่ใช่งานประจำในช่วงลงเพาะปลูกฤดูใบไม้ผลิ หรือเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงพวกนี้ ก็ย่อมต้องผลัดกันมาทำ วันนี้พอดีเป็นรอบของเซียงหลัน ซูสุ่ยเลี่ยนว่างไม่มีอะไรทำ ก็ตัดสินใจพาเซียงหลันออกไป พยายามเก็บผลไม้ให้มากที่สุด เด็ดฝักบัว แล้วก็เอาไปตากแดดฤดูใบไม้ร่วงตอนเที่ยงต่อ ก็เป็นงานที่สบายๆ งานหนึ่ง
“เจี้ยนเหิงเขา…” ซูสุ่ยเลี่ยนคิดปลอบใจ แต่พอจะเอ่ยปากก็ไม่รู้เริ่มกล่าวอันใดดี
“คุณหนู บ่าวกับเขา ไม่มีอะไร” แต่ทว่าตอนพันแผลให้เขาครั้งหนึ่ง ไปเอาเสื้อให้เขาครั้งหนึ่ง เป็นเพื่อนเขาไปโรงหมอชิงหยางครั้งหนึ่ง ไม่ทันระวังทำข้อเท้าแพลงไป ถูกเขาอุ้มกลับมาขึ้นรถม้าระยะทางหนึ่ง…เรื่องพวกนี้ หากคิดได้ก็แค่ เจ้าช่วยข้า ข้าช่วยเจ้า ไม่ใช่หรือ แต่ทำไม…ทำไมพอวันนี้รู้ว่าเขาจะไป ใจนางอยู่ๆ ก็เหมือนสูญเสียการควบคุมเช่นปกติไป
“ข้าคิดว่า เขาน่าจะกลับมาอีก บางทีกลับไปจัดการงานให้เรียบร้อย…” ซูสุ่ยเลี่ยนค่อยๆ เดาสิ่งที่นางคิด น่าจะเป็นเช่นนี้กระมัง ไม่อย่างนั้น บิดาสามีนางไยต้องเสียเวลาจับคู่ให้พวกเขาสองคน? เรื่องมาได้ครึ่งทางแล้ว ก็กลับจะพรากพวกเขาจากกันหรือ
“คุณหนู เซียงหลันเข้าใจ เรื่องพวกนี้ ฝืนกันไม่ได้” เซียงหลันก้มหน้ายอมรับ
เจี้ยนเหิงเขา…คือองครักษ์ประจำพระองค์ฮ่องเต้เซวี่ยหมิง สำหรับนาง นางถือว่าอาจเอื้อมสูงแล้ว…ดังนั้น ไม่ว่าเขาตัดสินใจอะไร นางก็ย่อมรับได้ ก็ถือเสียว่า…เป็นความคิดนอกลู่เพียงครั้งเดียวจากที่เดิมก็ตั้งใจว่าจะอยู่เป็นโสดตัวคนเดียวละกัน
ดังนั้นกล่าวได้ว่าหมอหยางพูดได้ถูกต้อง ชายหนุ่ม ‘…ที่แตะต้องไม่ได้’ เอ่อ คำว่า ‘สัตว์’ ข้างหน้านี้ เหมือนไม่ค่อยเหมาะกระมัง ชายหนุ่มกับหญิงสาวเหมือนกัน ล้วนเป็นคน ทำไมจึงกลายเป็นสัตว์ได้?!
“คุณหนู คุณหนู” ซูสุ่ยเลี่ยนกับเซียงหลันเพิ่งก้าวเข้ามาในเรือน กำลังจะไปยังฝั่งด้านใต้ของลาน ว่าจะไปเด็ดองุ่นที่อยู่ตามระเบียงทางเดินริมแม่น้ำ มองไปไกลๆ ก็เห็นซิ่นจือที่รับหน้าที่ดูแลเรือนข้างๆ วิ่งกระหืดกระหอบมาถึง
“คุณหนู…ฮูหยินมีเรื่องด่วน…มาหาท่านรอบหนึ่งแล้ว บอกว่า…ร่างกายนางรู้สึกไม่ค่อยดี…” ซิ่นจือหอบหายใจหนัก สุดท้ายก็พูดออกมาได้หมด
“เซียงหลัน เจ้าไปก่อน ข้าไปเรือนสวนไผ่ดูหน่อย” คงไม่ใช่เรื่องที่บิดาสามีนางจะกลับเซวี่ยหมิง แม่สามีเลยทำใจไม่ได้ ส่งผลต่อครรภ์กระมัง
ซูสุ่ยเลี่ยนตามซิ่นจือเร่งไปที่เรือนสวนไผ่ เซียงหลันถือตะกร้าเดินไปที่ระเบียงยาวริมแม่น้ำ
ตอนนี้นอกจากพื้นที่นี้ที่มีองุ่นที่ต้องเก็บแล้ว องุ่นที่อื่นล้วนเก็บหมดแล้ว เข้าสู่กระบวนการบ่มสุราแล้ว
ดูท่าแล้ว ก่อนยามอู่นางก็คงเก็บหมด ตอนบ่ายก็จะไปสระบัวเก็บฝักบัวแล้วกัน ทำงานให้มากๆ หน่อย เหมือนว่าจะทำให้ลืม ‘เขา’ ได้
รีบๆ ลืมเสีย! ชายหนุ่มที่ครอบครองแสงสว่างชีวิตนางครึ่งเดือนมานี้ไม่ใช่ญาติโกโหติกาอะไรของนาง
“เซียงหลัน…” ด้านหลังมีเสียงเรียกเบาๆ
เซียงหลันที่กำลังให้กำลังใจตนเองก็ตกใจสะดุ้งโหยง ตบหน้าอกทำใจให้สงบ จากนั้นก็หันกลับไป
“เจ้า…เจ้าไม่ใช่ว่าไปแล้ว?” เห็นชายรูปงามตัวโตตรงหน้า เซียงหลันที่เพิ่งทำใจให้สงบลงได้ก็เต้นโครมครามอีกครั้ง
“ยังไม่ได้กล่าวอำลากับเจ้า” เจี้ยนเหิงก้าวเข้ามาก้าวหนึ่ง ปัดใบองุ่นที่ตกลงบนบ่านางออก ก่อนจะถอยออกไปก้าวหนึ่ง แสดงท่าทีเกรงคำครหา
อำลา? อ้อ ไม่ๆๆ นางไม่อยากอำลา หลังจากอำลา ก็คงคิดถึงความหมายการกระทำของเขา
“เจ้าไปอำลากับคนอื่นแล้วหรือยัง?”
“ยัง” มีเพียงเจ้า ในใจสำทับอีกประโยค เจี้ยนเหิงแสร้งกำมือปิดปากกระแอมไอเพื่อปิดบังสีหน้าที่ดูไม่เป็นธรรมชาติของเขา
“เอ๋? อย่าง…อย่างนั้นไม่รีบไปลา?” เซียงหลันลนลานไม่รู้ควรทำเช่นไร ปากก็พูดจาลนลานที่แม้แต่นางเองก็ยังไม่รู้ว่าพูดอะไรออกไป
“อืม เจ้า…รักษาสุขภาพ…” เจี้ยนเหิงกระซิบแผ่วเบา ก่อนจะหันหลังเดินจากระเบียงยาวที่มีพวงองุ่นห้อยอยู่ไป หันหลังให้กับเซียงหลัน ท่ามกลางแสงแดดเจิดจ้าตอนเที่ยง ให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวอย่างบอกไม่ถูก
แต่ว่านางไม่มีสิทธิ์ ไม่มีคุณสมบัติไปปลอบใจความโดดเดี่ยวของเขา ข้างกายเขาไม่ใช่ที่ของนาง หรืออาจกล่าวได้ว่า เขาไม่ใช่คนของที่นี่…
เขาคือองครักษ์วังหลวงเซวี่ยหมิง คือมือขวาฮ่องเต้เซวี่ยหมิง จะยอมจากบ้านเกิดเมืองนอนของเขามาอยู่จวนพักตากอากาศห่างไกลเช่นนี้หรือ แม้เพื่อนาง…นาง…ไม่ๆๆ นางย่อมไม่มีคุณสมบัติพอ นางเป็นแค่สาวใช้ จะอาจเอื้อมให้องครักษ์ประจำพระองค์ตามนางมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
สำหรับนางก็ยิ่งไม่อาจไปจากที่นี่ นางเป็นบ่าวจวนอ๋องจิ้งชั่วชีวิตนี้ ถูกซื้อตัวไว้รับใช้ทั้งชีวิตแล้ว ขอเพียงนางมีชีวิตอยู่ นางก็ไม่อาจไปจากจวนอ๋องจิ้งได้ นอกจากเจ้านายใจดีมีเมตตา ปล่อยนาง…แต่นางไม่อาจคาดหวังว่าจะมีความหวังที่ไม่อาจเป็นจริงได้…
ดังนั้นเขากับนางเดิมก็เป็นคนจากสองโลก ยังคงเดินไปตามเส้นทางตนเองก็แล้วกัน ทางใครทางมัน…
แต่ว่าความเค็มปร่าบนใบหน้านางนี่คืออะไรกัน ฝนตก? ทำไมฝนเค็ม หรือว่า…นางร้องไห้..เป็นครั้งแรกที่นางร้องไห้ให้กับชายแปลกหน้าที่รู้จักกันแค่ครึ่งเดือน…
……
“ท่านแม่!” แม่สามีนางถึงกับหลอกนาง หลอกนางมาที่นี่ ก็เพื่อให้เซียงหลันพบกับเจี้ยนเหิงตามลำพัง
“เอ่อ…นี่คือ…นี่คือความต้องการท่านพ่อเจ้า” เฟิ่งรั่วเอ๋อร์ยอมรับว่าตัวต้นเรื่องก็คือเซวี่ยลี่ ไม่ใช่นาง
“ท่านพ่อ? เจี้ยนเหิงไม่ใช่ต้องกลับเซวี่ยหมิงไปแล้วหรือ ยังให้เขาพบเซียงหลันทำไมกัน” ซูสุ่ยเลี่ยนยอมรับว่านางโมโห พูดจาไม่น่าเชื่อถือ ในใจนางแอบสบถสรุปคำนี้ออกมา
“เจ้าเองก็คิดเช่นนี้หรือ” เซวี่ยลี่สีหน้าได้ใจพลางถาม
“หรือว่าไม่ใช่” ซูสุ่ยเลี่ยนมองเฟิ่งรั่วเอ๋อร์อย่างนึกสงสัย เห็นอีกฝ่ายหน้าตาไม่รู้อะไรด้วย ก็ถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ กล่าวว่า “ท่านพ่อ เซียงหลันเป็นแม่นางที่ดี เริ่มแรกข้าคิดว่าท่านจริงใจอยากให้เจี้ยนเหิงแต่งกับนาง ดังนั้นจึงได้รับปากช่วยท่าน แต่ผู้ใดจะรู้ว่า…ท่านกลับ…”
“ดู…ข้าบอกแล้วไหม สะใภ้รู้เข้าย่อมตำหนิเจ้า แล้วอย่างไรดีเนี่ย ดูว่าผู้ใดจะช่วยเจ้า สะใภ้โดนรังแก ลูกชายต้องมาขอคำอธิบายจากท่านแน่” เฟิ่งรั่วเอ๋อร์ส่ายหน้าอย่างเสียไม่ได้ หันไปค้อนใส่ชายข้างกายนาง
“ข้าก็ไม่ใช่ว่าต้องการทดสอบพวกเขาสองคนแค่นั้นหรือ ก็ไม่ใช่ว่าจะแยกพวกเขาจากกันจริงๆ เสียหน่อย” เซวี่ยลี่พอได้ยินว่าลูกชายอาจจะไม่สนใจเขาอีก ก็รีบตาโตเดือดร้อนขึ้นมาทันที
ซูสุ่ยเลี่ยนพอได้ยินเซวี่ยลี่อธิบายเช่นนี้ ในใจก็พลันนึกเข้าใจขึ้นมาทันที “ความหมายของท่านพ่อก็คือ…”
“เฮ้อ ปกติเจ้าก็ดูฉลาดดี ทำไมพอเจอเรื่องเช่นนี้จึงได้เลอะเลือนเช่นนี้ได้…มา เอาหูมาใกล้ๆ…” เซวี่ยลี่เขยิบเข้าไปที่ข้างหูนางพลางกระซิบอธิบายให้ซูสุ่ยเลี่ยนฟัง พอกล่าวจบก็ตบบ่านางเบาๆ หัวเราะเอิ๊กอ๊าก กล่าวว่า “เป็นเช่นไรบ้าง? ท่านพ่อเจ้าแผนการดีไหม นี่เรียกว่า…ความมืดมิดก่อนฟ้าสาง…ฮา ฮา!”
ซูสุ่ยเลี่ยนสบตากับเฟิ่งรั่วเอ๋อร์อย่างไร้คำบรรยาย แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
……
“เฮ้! เจ้ามัวมาทำอะไรที่นี่” หยางจิ้งจือตรวจคนไข้รายสุดท้ายของช่วงเช้าเสร็จ ก็เดินออกจากห้องตรวจ พบเหลียงเอินไจ่มารออยู่บนเก้าอี้ด้านนอก ก็อดเตะเตือนเขาไม่ได้ “เฮ้ จะนอนก็กลับไปนอน มานอนที่นี่ท่าทางเหมือนอะไรนี่!”
“อืม…” เหลียงเอินไจ่ปิดตาแค่นฮึในใจ ก่อนจะรั้งหยางจิ้งจือไว้ ตามคาด นางที่ยืนไม่มั่น ไม่ทันระวังก็ล้มเข้าสู่อ้อมกอดเขา
“เจ้า…เจ้าคนเลว…” หยางจิ้งจือหน้าแดงลนลานตะกายขึ้นจากอ้อมกอดเขา กำลังจะยืนตรงก็ถูกเขารั้งเข้าไปกอดอีก
“ซีเอ๋อร์…” เขากอดนางไว้อย่างพึงใจ “อย่าหลบหน้าข้า”
“ผู้ใดหลบหน้าเจ้า! อย่าคิดเข้าข้างตัวเองไป” หยางจิ้งจือพยายามเบือนหน้าหนี ไม่ให้เขาพ่นลมร้อนใส่หน้านาง ชายหนุ่มผู้นี้ รู้ไหมว่าชายหญิงไม่ควรแตะเนื้อต้องตัว ดีที่นางมาจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด นางยังรู้สงวนท่าทีมากกว่าเขา
“เปล่าหรือ อย่างนั้นสองสามวันนี้เอาแต่หลบหน้าข้า แม้แต่คืนกินเลี้ยงพร้อมหน้าวันไหว้พระจันทร์ก็ไม่ไปจวนพักตากอากาศคือผู้ใด” เขาก้าวเข้าประชิด
“นั่นเพราะว่าโรงหมอคนไข้เยอะ ข้าผละไปไม่ได้” นางยังดื้อดึงปากแข็ง
“รังเกียจข้าจริงหรือ” เหลียงเอินไจ่ถอนหายใจเบาๆ ปล่อยนาง พลางถามด้วยน้ำเสียงเหมือนรู้สึกเศร้าโดดเดี่ยว ทำเอาใจนางปวดแปลบขึ้นมาทันที
“…ก็ไม่ใช่หรอก” นางอยู่ๆ อยากตอบว่า ‘ใช่’ แต่ก็กลัวว่าจะไม่ได้เห็นรอยยิ้มของเขาอีก
“ก่อนหน้าที่ข้าจะมาเมืองฝานฮัว ข้าไปเซวี่ยหมิงมา…” เขาอธิบายเบาๆ น้ำเสียงไม่แสดงอารมณ์อันใด
“เซวี่ยหมิง? ไป…ไปทำอะไร” อย่าบอกนางนะว่าไปตามหานาง เหตุผลนี้ไม่น่าซาบซึ้งใจสักนิด
“ไป…ทำธุระ แล้วก็จะเลยไปเยี่ยมเจ้า…คาดไม่ถึงว่าเจ้าไม่ได้กลับไป” เขาเปลี่ยนท่าที ไม่อยากให้นางรู้ความบ้าคลั่งของเขา กลัวนางหัวเราะเยาะเขากระมัง เพื่อนาง เขาถึงกับลาหยุดงานขึ้นเหนือ แม้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้สนใจอะไรเขาก็ตาม
“อ้อ…“ ตามคาด นางรู้ว่าเขาคงไม่ได้มีใจเช่นนั้น ท่านอ๋องสูงศักดิ์ ปีหน้าก็จะได้สร้างจวนใหม่แล้ว มีพื้นที่อาณาเขตตนเองแล้ว จากนี้อนาคตทางการเมืองของเขาก็จะยิ่งก้าวไกล เขาที่เป็นเช่นนี้จะมาติดตามหญิงสาวที่แทบไม่มีอะไรสักอย่างขึ้นเหนือล่องใต้หรือ
หยางจิ้งจือสลัดความเฝื่อนขมที่อัดแน่นจนนางไม่กล้าปล่อยใจให้คิดตาม แสร้งทำน้ำเสียงราบเรียบกล่าวว่า “กลับเมื่อไร” นางรู้วันนี้เขาจะกลับเมืองหลวงแล้ว
“กลับตอนนี้” เหลียงเอินไจ่พลันลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าเสร็จ ก็หันหลังเดินออกไปจากโรงหมอ หยางจิ้งจือมองส่งเขาออกไป จนกระทั่งได้ยินเสียงเขาลอยเข้ามาว่า “ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ ข้ามาที่นี่…เพียง…เพราะเจ้าอยู่ที่นี่”
ชายหนุ่มน่ารังเกียจผู้นี้! ก่อนจากไปยังจะทำกับนางเช่นนี้อีก…ทั้งดีใจทั้งทรมานใจ…น้ำตานางพรั่งพรู ทำเอาชิงหลันที่ก้าวเข้ามาตกใจ