ตอนที่ 118 โจวฉายอวิ๋นกลับบ้านแม่

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 118 โจวฉายอวิ๋นกลับบ้านแม่

หลังออกจากบ้านของคุณย่าฟาง โจวฉายอวิ๋นก็ไปที่ตลาดมืดในเมืองเพื่อซื้อหมูสามชั้นสักสองสามชั่ง จากนั้นก็เดินไปที่บ้านของพ่อแม่

ผ่านไปชั่วโมงกว่าก็มาถึงบริเวณทุ่งนาของหมู่บ้านจินเผิน ซึ่งเป็นที่ตั้งของบ้านครอบครัวทางแม่

ช่วงนี้เป็นฤดูกาลเพาะปลูก คนที่ทำงานอยู่ในไร่นาเห็นโจวฉายอวิ๋นสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกระโปรงจีบลายดอกไม้ ก็ต่างนึกกันว่าตนจำคนผิด

หลังขยี้ตาแล้วมองอีกครั้งก็พบว่าคนๆ นั้นคือโจวฉายอวิ๋น ซึ่งดูขาวขึ้น มีน้ำมีนวลมากขึ้น และสวยยิ่งกว่าเดิม

ชาวบ้านต่างมีสีหน้าไม่อยากเชื่อ บางคนถึงกับตะโกนเรียกหล่อน “ฉายอวิ๋นเอ้ย ไปอยู่กับใครในเมือง ทำอะไรมาถึงดูร่ำรวยขึ้น แต่งตัวเหมือนคนเมืองเลยน่ะ!”

โจวฉายอวิ๋นติดตามผู้หญิงที่หย่าร้างจากหมู่บ้านของอดีตสามีเพื่อไปทำงานในเมือง และทุกคนในหมู่บ้านรู้เรื่องนี้

ตามคำบอกเล่าของพ่อแม่ พี่ชาย และพี่สะใภ้ของเธอ โจวฉายอวิ๋นติดตามผู้หญิงที่หย่าร้างไปในเมืองเพื่อขายซาลาเปา

ประเด็นอยู่ที่ว่า แค่ทำซาลาเปาจะสร้างรายได้ขนาดไหนเชียว? ดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าไรเลย!

นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเขาถามโจวฉายอวิ๋นว่าเธอทำอะไรในเมือง

โจวฉายอวิ๋นไม่น่ากลับชนบทด้วยชุดนี้เลย

ชุดนี้มีอยู่ทั่วไปในเมืองก็จริง แต่มันสะดุดตาเกินไปในชนบท

โจวฉายอวิ๋นเป็นคนขี้อาย ไม่ชอบให้คนอื่นจ้องมองมาที่หล่อน

เมื่อถูกชาวบ้านจับตามอง หล่อนจึงรู้สึกไม่สบายใจ ดึงเสื้อแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันจะทำอะไรได้ล่ะ เป็นคนงานขายของให้เขาน่ะสิ!”

ชาวบ้านคนหนึ่งสงสัย “ขายแรงงานแต่งตัวดีขนาดนี้เลยหรอ? เราทำงานหนักทุกวัน ใช้ชีวิตเหมือนสุนัข ไม่ได้กินดีอยู่ดี การแต่งตัวยิ่งไม่ต้องพูดถึง”

แม้โจวฉายอวิ๋นจะเป็นคนซื่อสัตย์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าปัญญาอ่อน แค่ฟังเท่านี้ก็พอจะเข้าใจว่าหมายถึงอะไร

ผู้คนถามหล่อนเพราะสงสัยว่าหล่อนกำลังทำสิ่งลึกลับในเมือง!

แม้โจวฉายอวิ๋นจะโกรธ แต่ก็ไม่ได้แสดงออกมา เพียงอธิบายอย่างอารมณ์ดี “ขายแรงงานในเมืองกับการทำไร่ทำนาในชนบทมันต่างกันมากน่ะ ฉันช่วยคนอื่นทำซาลาเปาในเมือง และขายตามท้องถนน ได้เงินวันละ 10-20 หยวน ขณะที่การทำไร่ทำนาในชนบทได้รายได้วันละหนึ่งหยวนก็ถือว่าไม่เลวแล้ว เจ้านายของฉันเป็นคนดี ไม่เพียงแต่จ่ายค่าจ้างให้ฉันเท่านั้น แต่ยังให้เงินพิเศษอีกด้วย หล่อนยังซื้อเสื้อให้ฉันเมื่อฉันจะกลับบ้านอีก ไม่งั้นคนขี้เหนียวอย่างฉันก็คงไม่ซื้อเสื้อผ้าราคาแพงและทันสมัยขนาดนี้หรอก”

สิ่งที่หล่อนพูดไม่เพียงไขข้อสงสัยของชาวบ้านเท่านั้น แต่ยังทำให้พวกเขาอิจฉาหล่อนอีกด้วย

แม่ของฉายอวิ๋นกำลังทำงานบ้านอยู่ ทันใดนั้นก็ได้ยินชาวบ้านคนหนึ่งยืนอยู่ที่ประตูบ้านพลางตะโกนว่า “แม่ฉายอวิ๋น ฉายอวิ๋นของคุณกลับมาแล้ว ทำไมคุณไม่ไปดูล่ะ แต่งตัวเหมือนผู้หญิงในเมือง แถมยังใส่กระโปรงด้วยนะ”

หลังจากไม่ได้เจอลูกสาวเป็นเวลาหนึ่งเดือน แม่ของฉายอวิ๋นก็แทบอยากจะตาย เมื่อได้ยินดังนั้นจึงทิ้งสิ่งที่กำลังทำอยู่และวิ่งออกไปด้านนอก

ทันทีที่วิ่งออกจากหมู่บ้าน นางก็เห็นลูกสาวที่แต่งตัวเฉิดฉายเดินเข้ามาในหมู่บ้านอยู่ไกลๆ แม่ของฉายอวิ๋นมีความสุขมากจนยิ้มปากจะฉีกถึงรูหู

ลูกสาวเข้าเมืองไปกับใครบางคนเป็นเวลาหนึ่งเดือน ไม่มีแม้ข่าวคราว ทำให้นางเป็นห่วงตลอดเวลา แต่เมื่อเห็นลูกสาวกลับมาอย่างปลอดภัยก็โล่งใจ

แม่ลูกกลับบ้านมาด้วยกัน

ระหว่างทางแม่ก็คอยถามโจวฉายอวิ๋นว่าอยู่ในเมืองเป็นอย่างไรบ้าง

แล้วก็ได้ยินจากลูกสาวว่าตอนอยู่ในเมืองได้กินสามมื้อต่อวัน และเกือบทุกมื้อเป็นเนื้อสัตว์ งานก็ไม่เหนื่อย หลินม่ายปฏิบัติต่อหล่อนเป็นอย่างดีและหล่อนก็มีความสุขมาก

แม้ว่าลูกสาวของนางจะไม่มีความสุขเพราะถูกครอบครัวสามีไล่ต้อนกลับไปบ้านแม่ แต่ในใจลึกๆ นางก็อยากให้ลูกสาวมีชีวิตที่ดี

ครั้นกลับถึงบ้าน โจวฉายอวิ๋นได้มอบขนมกับน้ำตาลทรายแดงให้พ่อโจวและแม่โจว ส่วนเนื้อหมูสามชั้นนั้นมอบให้กับแม่โจว

แม่โจววางขนมกับน้ำตาลทรายแดงไว้ในห้อง จากนั้นจึงนำหมูสามชั้นไปเตรียมอาหารสองสามจานสำหรับมื้อกลางวัน

เพียงใช้หมูสามชั้นสองชั่งกับผักใบเขียว ก็ได้อาหารจานเนื้อและผักมาสองสามอย่างแล้ว

“แม่ ไม่ต้องรีบทำข้าวเที่ยงนะคะ” โจวฉายอวิ๋นหยุดนางไว้ ก่อนหยิบเงินสิบหยวนจากกระเป๋าให้ “เงินนี้ให้พ่อแม่ไว้ซื้อของกินของใช้นะ”

แม่โจวรีบผลักมือที่ถือเงินออก “ลูกเอาเงินนี้ไปเถอะ ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างในชีวิต ถ้ามีเงินอยู่ในมือบ้างจะทำให้ชีวิตง่ายขึ้นหน่อย”

เมื่อลูกสาวกลับมาก็ไม่อยากจะเป็นภาระ ลูกคงเป็นทุกข์และไม่มีความสุข และนางก็เป็นห่วงชีวิตที่เหลือต่อจากนี้ของลูก

หล่อนมีลูกไม่ได้ บั้นปลายชีวิตคงอยู่อย่างโดดเดี่ยว ไม่มีลูกสาวเลี้ยงดูยามแก่เฒ่าก็เก็บเงินไว้ใช้ยามเกษียณก็ได้

โจวฉายอวิ๋นยืนยันที่จะมอบเงินสิบหยวนให้กับแม่ “แม่ ไม่ต้องกังวลนะคะ ฉันอยู่กับม่ายจื่อไม่เสียค่าใช้จ่าย และฉันยังมีเงินเดือนสามสิบหยวนต่อเดือน เงินเดือนสามสิบหยวนนี้ฉันเก็บออมทั้งหมด เมื่อฉันแก่ลงฉันก็อยู่ได้ เงินสิบหยวนเป็นเงินพิเศษจากม่ายจื่อ มันไม่ง่ายสำหรับพ่อแม่ที่เลี้ยงฉันมา นี่คือเงินบำนาญของพ่อแม่นะ ตราบใดที่ฉันทำงานกับม่ายจื่อต่อไป ฉันจะให้เงินบำนาญแก่พ่อแม่เดือนละสิบหยวน”

แม่โจวรับเงินสิบหยวนทั้งน้ำตา “พ่อกับแม่… ขอโทษลูกด้วยนะ”

ลูกสาวนางมีลูกไม่ได้ ในใจนางจึงรู้สึกผิด

พวกเขาไม่ได้ให้ร่างกายที่แข็งแรงแก่หล่อน ซึ่งทำให้ชีวิตของหล่อนต้องลำบาก

โจวฉายอวิ๋นโบกมือ “พ่อแม่ไม่ต้องเสียใจหรอกค่ะ นี่คือโชคชะตาของฉัน”

หล่อนตระหนักว่าถ้าตนไม่แต่งงาน ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีชีวิตต่อไม่ได้ ดังนั้นทำไมต้องรู้สึกไม่พอใจสิ่งนี้หรือสิ่งนั้นด้วย

ในตอนเที่ยง พ่อโจว พี่ชายและพี่สะใภ้ของฉายอวิ๋นที่ทำงานอยู่ในทุ่งนาก็กลับมา

ทุกคนรู้ว่าโจวฉายอวิ๋นใช้ชีวิตอยู่ในเมืองกับหลินม่ายได้ไม่เลว พวกเขาก็มีความสุขแทนหล่อน

โดยเฉพาะพี่สะใภ้ที่ยิ่งมีความสุขเมื่อแม่สามีบอกว่าโจวฉายอวิ๋นให้เงินนางสิบหยวน

พ่อแม่สามีและแม่สามีล้วนเป็นคนประหยัดและขยันขันแข็ง ส่วนพี่สะใภ้ก็เป็นคนประหยัด แต่สุดท้ายก็ไม่เหลือให้พวกเขา!

ดังนั้นพวกเขาจึงปฏิบัติต่อโจวฉายอวิ๋นด้วยความกระตือรือร้นเป็นพิเศษ และคอยคีบเนื้อให้เธอ

ในที่สุดโจวฉายอวิ๋นก็ตระหนักถึงประโยชน์ของการหาเงิน อย่างน้อยเธอก็มีตัวตนในครอบครัวของหล่อน

หลานชายห่างๆของป้าหูถูกฟางจั๋วหรานจับได้

แถมยังขู่ว่าจะเอาเรื่องนี้ไปแจ้งความที่โรงพัก หล่อนจึงตกใจมาก กอดหลานพาไปซ่อนที่บ้านญาติ

วันรุ่งขึ้นตอนสิบโมงกว่าก็ได้แอบกลับมาที่บ้าน เมื่อเห็นว่าบ้านของตนไม่เปิดทำการ และร้านเปาห่าวชือเสี่ยวชือเตี่ยนกำลังเฟื่องฟู จึงกัดฟันด้วยความโกรธ

ด้วยความที่ลืมไปว่ามีชนักติดหลัง เลยบอกผู้ช่วยที่จ้างไว้ให้มาทำงานตอนเที่ยง

หลินม่ายเห็นการเคลื่อนไหวทั้งหมดที่อยู่ข้างๆ แต่เธอไม่มีเวลาที่จะสะสางบัญชีกับป้าหู

โจวฉายอวิ๋นไม่อยู่ ดังนั้นตอนเที่ยงเธอจึงดูแลกิจการคนเดียว ปลีกตัวไปไหนไม่ได้

เพื่อที่จะแย่งชิงธุรกิจของหลินม่าย ป้าหูยืนอยู่ที่ประตูและตะโกนด้วยเสียงก้องกังวาน

แต่ก็ยังมีลูกค้าไม่น้อยที่มองร้านของหล่อนอย่างเฉยเมย แล้วไปที่ร้านของหลินม่ายแทน

ทำเหมือนกับว่าสิ่งที่ครอบครัวของหล่อนขายไม่ใช่อาหาร แต่เป็นอุจจาระ

ป้าหูโกรธจัดจนแทบจะขาดใจ ด่าเสียงขรมว่าคนที่มากินล้วนงี่เง่า ไม่ซื้อของถูก แต่ยืนกรานจะซื้อของแพง

ผู้ช่วยในร้านเม้มปากอย่างดูถูก เมื่อได้ยินคำสบถของหล่อน

แม้ว่าซาลาเปาและหมั่นโถวของร้านป้าหูจะมีรสชาติจะไม่เลว แต่รสชาติของหลูจู่นั้นยากที่จะอธิบายจริงๆ เพราะมันมีกลิ่นเหม็นคาว

พวกเขาปรุงหลูจู่ทุกวัน ไม่ต้องพูดถึงลูกค้าที่มากิน

ป้าหูรู้สึกหดหู่ใจ ทันใดนั้นหญิงวัยกลางคนสองคนก็พุ่งเข้ามา ไม่ทันได้อธิบายอะไร ก็ทุบสิ่งของทุกอย่างต่อหน้าต่อตา สร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้รับประทานอาหารในร้านหลายคน

…………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

มีเงินนับเป็นน้อง มีทองนับเป็นพี่ คำกล่าวนี้ยังไงก็ใช้ได้ทุกครั้งล่ะค่ะ

ป้าหูกำลังรับกรรมแล้วล่ะ

ไหหม่า(海馬)