ในตอนแรก คำพูดของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์อาจฟังดูเหมือนว่ากำลังช่วยเฮ่อเหลียนเวยเวย แต่ในความเป็นจริงแล้ว คำพูดดังกล่าวในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่เพียงทุกคนจะไม่ได้รู้สึกเห็นใจเฮ่อเหลียนเวยเวยแล้ว แต่พวกเขายังคิดว่าการที่นางตรวจสอบอาวุธเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว ก็เพียงเพื่อดึงดูดความสนใจของทุกคนเท่านั้น

แน่นอนว่าทันทีที่เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์พูดจบ ทุกคนต่างก็หันไปมองเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยสายตาดูถูกมากขึ้นไปอีก

“คนบางคนก็เล่นละครได้เก่งจริงๆ”

“มันก็เป็นเช่นนี้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ นางมีเล่ห์เหลี่ยมมาตลอด ไม่แปลกใจเลยที่นางทำให้ท่านปรมาจารย์โปรดปรานได้”

“นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอาวุธคืออะไร ก็แค่เสแสร้งแกล้งทำเพื่อเรียกร้องความสนใจจากผู้ตัดสินเท่านั้น ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก”

เสียงเย้ยหยันดังขึ้นเรื่อยๆ จนกึกก้องไปทั่ว เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ลดสายตาลงเล็กน้อย ริมฝีปากสีแดงของนางโค้งเป็นรอยยิ้ม ผลลัพธ์แบบนี้นี่แหละคือสิ่งที่นางต้องการ…

แม้ว่านังแพศยาคนนั้นจะไม่ได้โกรธเคืองจนเสียสติเหมือนเมื่อก่อน

แต่เป้าหมายของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็บรรลุผลสำเร็จแล้ว นางเพียงแค่ต้องการให้นังแพศยาที่เป็นดั่งหนามแทงใจของนางคนนี้ได้ลิ้มรสชาติการถูกผู้คนนับพันเหยียดหยาม

อย่างไรก็ตาม สีหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวยนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย นางยังคงยิ้มเหมือนเดิม พร้อมกับยกแขนเสื้อกว้างสีแดงเลือดขึ้น จนดูเหมือนกับว่านางคือดอกบัวสีเลือดในโลกมนุษย์ก็ไม่ปาน

หลังจากนั้น นางก็เปิดปากพูดแต่ละคำอย่างหนักแน่น

“เหล่าคณะกรรมการยังไม่ประกาศผลเลย พวกเจ้าจะไม่โวยวายเสียงดังเกินไปหน่อยหรือ”

เฮ่อเหลียนเวยเวยถือ ‘ร่ม’ คันนั้นในมือซ้าย และวางมันลงกับพื้น ท่าทีอันสุขุมนั้น ราวกับมีจิตวิญญาณของราชินีอย่างเป็นธรรมชาติและผ่อนคลาย นางแค่ยืนอย่างเกียจคร้าน แต่กลับทำให้ผู้คนรู้สึกกดดันได้อย่างมาก

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ในห้องส่วนตัวก็แสดงความรู้สึกที่ยากจะหยั่งถึงผ่านดวงตาที่นิ่งสงบของเขา ไม่สามารถอ่านความหมายในดวงตาของเขาได้เลย แต่ริมฝีปากบางอันเย้ายวนของเขาก็ดูราวกับจะยกขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นถึงความชั่วร้ายอย่างเห็นได้ชัด

ชายผมแดงที่ยืนอยู่ข้างๆ ขยี้ตาอสูรของตนเอง “นายท่านขอรับ เมื่อครู่นี้ ท่านเพิ่งจะ…ยิ้มหรือขอรับ”

ชายหนุ่มคนนั้นไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่มองอีกฝ่าย ดวงตาสีดำขลับหรี่ลงเล็กน้อย

ชายผมแดงเก็บกรงเล็บของตนเอง และลูบสันจมูก พร้อมกับพึมพำเบาๆ “เป็นข้าที่ตาฝาดไปเองขอรับ”

ในที่สุด ชายหนุ่มคนนั้นก็ละสายตา ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้ามีชีวิตอยู่มานานหลายปีแล้ว หากดวงตาของเจ้าจะไม่พร่ามัวเลยก็คงเป็นไปไม่ได้ ข้าเข้าใจได้”

ชายผมแดง …

นั่นจึงมีคำกล่าวว่า จะหานายท่านแบบไหนก็ได้ แต่อย่าหานายท่านที่มีฝีปากร้ายกาจ เพราะตอนที่กำลังรับใช้เขา จะทำให้เราต้องขบฟันกรอดไปด้วย!

มันคือความโกรธเคืองที่ทำได้แค่แค้นใจเท่านั้น และเขาก็ไม่อาจตายได้

มันมีอายุเท่าไหร่กัน

ใช่แล้ว

มันอยู่ได้หลายพันปีหรือมากกว่านั้น แต่ในบรรดาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย มันก็ยังเป็นที่ต้องการอยู่เสมอ เข้าใจไหมเล่า

ทุกครั้งที่เหล่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวเล็กๆ เห็นมัน หน้าของพวกมันก็จะแดง และหูของพวกมันก็จะร้อนผ่าว

เพียงเพราะมันอุทิศตนมากเกินไป จนไม่เคยคิดถึงเรื่องการหาคู่ครอง ทำให้ตอนนี้ นายท่านของเขาบอกว่าเขาเป็นคนแก่แล้ว!

ฮึก ฮึก

คอยดูเถอะ พรุ่งนี้เขาจะแปลงกายเป็นชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่านี้ให้ได้

สีหน้าของชายหนุ่มคนนั้นยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ขณะที่ปล่อยให้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตนนั้นข่วนกำแพงอยู่ด้านหลัง สายตาของเขาก็มองลงไปบนเวทีอีกครั้ง

ขณะนี้ เหล่าผู้เข้าแข่งขันทุกคนได้เลือกอาวุธของตนเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

อาวุธทั้ง 18 ชิ้นอยู่ในมือของผู้เข้าแข่งขันทุกคน

คณะกรรมการตัดสินผู้อาวุโสลุกขึ้นยืน และพูดด้วยเสียงดังฟังชัด “ดูเหมือนว่าทุกคนจะพร้อมแล้ว ถ้าเช่นนั้น ตอนนี้ก็ให้คุณชายอู๋ซวงเข้ามาประกาศคำตอบที่ถูกต้อง ว่าใครเป็นผู้ถืออาวุธที่เขาสร้างมากับมือ พวกเราเองก็ไม่รู้คำตอบเช่นกัน ฮ่า ฮ่า คุณชาย เชิญ!”

จิ่งอู๋ซวงมองหน้าผู้อาวุโสคนนั้นแล้วยิ้มให้อย่างอบอุ่นและสง่างามราวกับหยก เมื่อเขาเดินไป กลิ่นโอสถก็ลอยฟุ้งออกมาจากแขนเสื้อจนทำให้ทุกคนต้องกลั้นหายใจ

ในตอนแรก ผู้คนต่างก็คิดว่าเขาจะไปยืนอยู่ข้างเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์

เพราะเขาเดินไปถึงบริเวณนั้นแล้ว

แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าในเวลาต่อมา เขากลับไปยืนอยู่ตรงหน้าเฮ่อเหลียนเวยเวย

ทั้งสองคนสบตากัน

เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้วขึ้น

จิ่งอู๋ซวงยิ้มและกระแอมไอเบาๆ “ข้าอยากจะถามคุณหนูเฮ่อเหลียนว่าทำไมเจ้าถึงเลือกของชิ้นนี้”

เฮ่อเหลียนเวยเวยเองก็ยิ้มให้เช่นกัน แต่นางปฏิเสธที่จะตอบคำถามนี้ ขณะเดียวกัน มุมปากของนางก็ยกขึ้นอย่างจงใจและไม่อาจพูดอธิบายอะไรได้ “การแข่งขันนี้ไม่มีกฎให้ผู้เข้าแข่งขันต้องบอกเหตุผลในการเลือกอาวุธของตนเอง”

ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยใหม่ หรือในยุคโบราณ

การพิจารณาว่าอาวุธชิ้นใดเป็นอาวุธดีหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับคำเพียงสองคำเท่านั้น นั่นคือ ‘จิตวิญญาณการสังหาร’

เฮ่อเหลียนเวยเวยคุ้นเคยกับการใช้ปืนกลและลูกกระสุน นางสามารถพูดได้อย่างไม่อายว่า ไม่ว่าจะมีอาวุธใดวางอยู่ตรงหน้า เพียงแค่นางสัมผัสมัน นางก็สามารถระบุได้เลยว่าอาวุธชิ้นนั้นมี ‘จิตวิญญาณการต่อสู้’ หรือไม่

‘จิตวิญญาณการต่อสู้’ นั้น ไม่ได้หมายความว่าอาวุธชิ้นนี้มีจิตวิญญาณอยู่จริงๆ

แต่มันหมายถึงความเป็นปีศาจที่กระหายเลือดโดยธรรมชาติ ราวกับพร้อมที่จะลงมือแล้ว

ในตอนแรกที่เฮ่อเหลียนเวยเวยมองดูอาวุธทั้ง 18 ชิ้น สายตาของนางก็จ้องไปที่กระบี่หยกสองคมที่เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เลือกไป แต่เมื่อหญิงสาวเดินเข้าไปใกล้อาวุธเหล่านั้น นางก็รู้ได้ว่าอาวุธชิ้นใดเป็นชิ้นที่ดีที่สุดอย่างแท้จริง

พลังปราณและการประกอบชิ้นส่วนของกระบี่หยกสองคมนั้นสมบูรณ์แบบ และมีความเป็นไปได้ที่จะบอกว่าเจ้ายุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่เป็นคนสร้างมันขึ้นมา

แต่ว่า… มันอ่อนโยนเกินไป

คนส่วนใหญ่อาจคิดว่าคุณชายอู๋ซวงเป็นคนสันโดษและไม่สนใจเรื่องทางโลก

เพราะในอดีต อาวุธทุกชิ้นที่เขาสร้างขึ้นมามักจะมีลักษณะเป็นเช่นนั้น

แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่เชื่อว่าจริงๆ แล้ว เขาจะอ่อนโยนขนาดนั้น

จากความจริงที่ว่าเขาเสนอตัวช่วยหญิงสาวให้รอดพ้นจากการไล่ตามของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั้น ก็บ่งบอกได้แล้วว่าเขาแตกต่างจากที่ผู้คนร่ำลือกัน

ในอีกแง่มุมหนึ่งคือ เขามีอาการเจ็บป่วยมานานหลายปี และเป็นคุณชายที่เกิดมาในตระกูลสร้างอาวุธที่มีชื่อเสียง เขาต้องมีเรื่องบางอย่างแอบซ่อนอยู่ลึกๆ ในใจ

นี่ก็หมายความว่าผลงานการสร้างสรรค์ที่สมบูรณ์แบบที่สุดของเขานั้น จะต้องไม่ใช่ของที่อ่อนโยนขนาดนั้นเป็นแน่

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ‘ร่ม’ ในมือของนางคันนี้ ไม่ใช่ร่มทั่วๆ ไปอย่างแน่นอน

เมื่อคิดถึงประเด็นนี้ ริมฝีปากบางของเฮ่อเหลียนเวยเวยก็โค้งขึ้น พร้อมกับนิ้วมือที่เลื่อนไปกดปุ่มบางๆ ปุ่มหนึ่ง แล้วมุมปากของนางก็เผยให้เห็นถึงความร้ายกาจ

และนี่คือกุญแจสำคัญของเรื่องนี้

หากนางเดาไม่ผิด ‘ร่ม’ คันนี้น่าจะคล้ายกับ ‘ปีกแห่งเทพราตรี’ ที่นางเคยสร้างขึ้นเมื่อก่อนหน้านี้ ผลลัพธ์ของมันนั้นออกมาดีที่สุดจากการใช้วิธีการต่างๆ

ก่อนหน้านี้ เสี่ยวไป๋เคยพูดเอาไว้ว่าวัสดุที่ใช้สร้างอาวุธที่ดีที่สุดในโลกนั้นอยู่ในมือของจิ่งอู๋ซวง แต่ไม่มีใครรู้ว่าวัสดุนั้นแตกต่างจากวัสดุชนิดอื่นๆ อย่างไร ยกเว้นจิ่งอู๋ซวง

บางที มันอาจจะซ่อนอยู่ใน ‘ร่ม’ คันนี้ก็เป็นได้

เฮ่อเหลียนเวยเวยดันร่มขึ้นไปอีกครั้ง พร้อมกับมองลึกเข้าไปในดวงตาของจิ่งอู๋ซวง ก่อนจะยิ้มออกมา นางไม่ได้สนใจเสียงดังโวยวายรอบตัวเลยแม้แต่น้อย

จิ่งอู๋ซวงกระแอมไอเบาๆ สองสามครั้ง จากนั้นก็ส่ายศีรษะ ดูเหมือนไม่มีทางเลือกจริงๆ

และแล้ว เสียงสบถก่นด่าจากด้านล่างเวทีก็ดังขึ้นอีกครั้ง

พวกเขาไม่คิดว่าหญิงสาวที่โง่เขลาคนนี้จะสามารถภูมิใจในตัวเองได้ขนาดนั้น

“นางทำอะไรน่ะ คุณชายแค่เห็นว่านางน่าสงสารเกินไป จึงถามเหตุผลที่นางเลือกร่มคันนั้น แต่ดูท่าทีของนางสิ ช่างหลงตัวเองยิ่งนัก”

สาวใช้ส่วนตัวที่ยืนอยู่ข้างเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เม้มริมฝีปากของตนเองอย่างรังเกียจ

เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์หรี่ตาลงและไม่ได้พูดอะไร แววตาของนางเผยให้เห็นถึงความพึงพอใจ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับนางแพศยานั่น คนที่ชนะในครั้งนี้ก็จะต้องเป็นนางอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม…

เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ไม่คิดเลยว่าสิ่งที่จิ่งอู๋ซวงทำหลังจากกระแอมไอนั้น คือการหยิบร่มในมือของเฮ่อเหลียนเวยเวยขึ้นมา