บทที่ 120 การจู่โจมของฝ่าบาท

องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!

นี่มันเรื่องอะไรกัน!

ยังไม่ต้องพูดถึงคนดูด้านล่างเวทีเลยด้วยซ้ำ เพราะแม้แต่คณะกรรมการตัดสินเองต่างก็ตกตะลึงเช่นกัน

คุณชายหมายความว่าตนเองเป็นคนสร้าง ‘ร่ม’ คันนั้นขึ้นมาเช่นนั้นหรือ

ผู้อาวุโสทั้งหลายต่างก็เบิกตาโตขณะที่เอ่ยถามอย่างไม่อยากเชื่อ “คุณชาย นี่คือ…”

“ข้าเป็นคนสร้างอาวุธชิ้นนี้ขึ้นมาเอง ส่วนอาวุธที่เหลือนั้น ถูกสร้างขึ้นโดยเจ้ายุทธ์จากสำนักอื่น” จิ่งอู๋ซวงไอเบาๆ และพักหายใจก่อนจะยิ้มอย่างอ่อนโยน “ดังนั้น คุณหนูใหญ่ตระกูลเฮ่อเหลียน เฮ่อเหลียนเวยเวย คือผู้ชนะที่แท้จริง”

เป็นไปไม่ได้

ทุกคนเริ่มส่งเสียงอึกทึกโวยวาย มันเป็นไปได้อย่างไรกัน

ฝีมืออย่างคุณชายอู๋ซวงจะทำ ‘ร่ม’ คันนั้นได้อย่างไรกัน

เหตุการณ์นี้ทำให้เหล่าเจ้ายุทธ์ที่ตั้งใจมาร่วมงานเพื่อมองหาอาวุธจริงๆ ต่างก็รู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่ง

งานประลองเจ้ายุทธ์ครั้งยิ่งใหญ่ กลับหลอกลวงผู้คนแบบนี้หรือ

และยังจะกล่าวอ้างอีกว่ามันคืออาวุธที่ไร้ที่ติ และน่าทึ่งที่สุด

ผู้อาวุโสมองไปทางด้านล่างเวที แล้วพอเห็นแววตาของเหล่าเจ้ายุทธ์ที่เริ่มแดงก่ำ ก็ตื่นตระหนกในทันที เขาไม่เคยเจอสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน

เดิมที เขาตั้งใจจะเชิญคุณชายอู๋ซวงมาเพื่อทำให้งานประลองเจ้ายุทธ์ครั้งนี้ได้รับเกียรติมากยิ่งขึ้น

แต่ตอนนี้ มันจะมีเกียรติมากขึ้นได้อย่างไรกันเล่า โถ่ สวรรค์ นี่กลับทำลายงานประลองครั้งนี้ลงอย่างป่นปี้

เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามจากผู้คนด้านล่างเวที จิ่งอู๋ซวงก็ไม่ได้ตอบอะไร แต่หยิบร่มจากมือของเฮ่อเหลียนเวยเวยขึ้นมา แล้วกดมัน พร้อมกับขยับมือไปทางด้านข้าง

ทันใดนั้น ร่มก็หายวับไปทันที

หายไปอย่างไร้ร่องรอย!

ยังไม่ทันที่ทุกคนจะได้สติกลับคืนมา

เสียง ‘ผลุบ’ ก็ดังขึ้น แล้วร่มคันนั้นก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับเปล่งรัศมีจางๆ ออกมา มันกลับกลายเป็นกระบี่ยาวที่คมกริบ

ทุกคนที่เห็นเช่นนั้นต่างก็ตกตะลึง

จิ่งอู๋ซวงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย พร้อมกับหันไปมองคนที่อยู่ด้านหลัง และสั่งเขาว่า “ลุงเหลียง ใช้พลังลมปราณระดับห้าโจมตีข้า”

“แต่คุณชายขอรับ ร่างกายของท่าน…” ลุงเหลียงขมวดคิ้วอย่างเป็นห่วง เดิมที สุขภาพของคุณชายก็ไม่ค่อยแข็งแรงนักอยู่แล้ว นอกจากนี้ พวกเขาก็เพิ่งจะเดินทางมาถึงได้เพียงสองวัน หากปล่อยหมัดนี้ไป เขาก็เกรงว่าคุณชายจะไม่สามารถรับหมัดนี้ได้

“ไม่ต้องห่วง” ใบหน้าของจิ่งอู๋ซวงยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยตระหนักถึงความลังเลใจนั้นได้เป็นอย่างดี นางเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับจิ่งอู๋ซวงมาไม่มากก็น้อย มันเกี่ยวข้องกับความโชคร้ายของเขา ที่มาพร้อมกับความโชคดีที่ได้เกิดมาในตระกูลร่ำรวยและมีชื่อเสียง สวรรค์จึงอิจฉาในพรสวรรค์นั้น

(สวรรค์ทำให้เกิดสมดุลระหว่างความโชคดีและความโชคร้าย)

ตั้งแต่ตอนที่เขาเกิด เขาก็มีทักษะการสร้างอาวุธที่ทำให้คนทั้งโลกต้องอิจฉา

แต่เนื่องจากปัญหาด้านสุขภาพ เขาจึงไม่สามารถใช้อาวุธได้ตลอดไป

ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นประกาย ขณะที่นางเดินไปหาจิ่งอู๋ซวงและยิ้มให้เล็กน้อย “ส่งร่มมาให้ข้า แล้วให้ลุงเหลียงโจมตีข้าแทน”

นางพอจะเดาได้แล้วว่าชายผู้นี้ต้องการจะสาธิตอะไรให้ทุกคนได้เห็น

จิ่งอู๋ซวงมองอย่างลังเล

จากนั้น เขาก็ยื่นมือออกไป และส่งร่มให้กับนาง

ชายหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังนั่งมองดูเหตุการณ์นี้อยู่ในห้องส่วนตัวเผยแววตาลึกล้ำที่สัมผัสได้ถึงความเยือกเย็น

ดูเหมือนว่าเขาควรจะหาเวลาที่เหมาะสมบอกเหยื่อของตนเอง

เขาไม่ชอบให้คนอื่นแตะต้องของที่เป็นของเขา…

ปลายลิ้นของเขาเลียริมฝีปากบางของตนเอง พร้อมกับยกมุมปากขึ้นข้างหนึ่ง ผมสีดำยาวของเขาทิ้งตัวลงมา จากนั้น เขาก็เผยให้เห็นความชั่วร้ายที่ราวกับกำลังล่อลวงวิญญาณของใครบางคน…

เมื่อชายผมแดงเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่าย เขาก็รู้สึกว่าศีรษะของตนเองชา จากนั้น จึงกางกรงเล็บของตนเองออกเพื่อจะข่วนพื้น ขณะเดียวกัน เขาก็มองดูเฮ่อเหลียนเวยเวยที่ยืนอยู่บนเวทีและกำลังยื่นมือออกไป ก่อนจะหมุนมัน และร่มสีดำคันนั้นก็ปรากฏเส้นแสงสีเงินที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นที่นี่

นั่นคือ

ชายผมแดงเลิกคิ้ว และจดจ่ออยู่กับการนึกถึงสิ่งที่ปรากฏขึ้นในป่าวิญญาณ

ตอนนี้ มันน่าสนใจขึ้นแล้ว

“ลุงเหลียง โจมตีได้เลย” เฮ่อเหลียนเวยเวยยกริมฝีกปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม ก่อนจะเอนตัวไปข้างหนึ่งพร้อมกับถือด้ามจับของร่มไว้ในมือ

คราวนี้ ลุงเหลียงไม่ลังเลอีกต่อไป ขณะนั้นเอง พลังลมปราณก็ก่อตัวขึ้นตรงกลางฝ่ามือของเขา ก่อนจะหันไปทางหญิงสาว แล้วโจมตีออกไป

มีเพียงเสียงดัง ‘ปัง’ เกิดขึ้น

เฮ่อเหลียนเวยเวยกางร่มคันนั้น โดยที่ร่างกายของนางไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย เกราะกำบังที่มองไม่เห็นจากร่มคันนั้นรับพลังการโจมตีทั้งหมดเอาไว้ มันอ้าออกทีละน้อย จนชั้นของพลังปราณนั้นสะท้อนกลับไปยังอีกฝ่าย

ทุกคนต่างก็นิ่งอึ้ง และถอนหายใจออกมายาวๆ หนึ่งครั้งเพื่อผ่อนคลายความตกตะลึงนั้น

เสียงโห่ร้องด้วยความประหลาดใจดังไปทั่วทั้งงานประลอง

“สุดยอดเลย”

“หากข้าได้ครอบครองอาวุธเช่นนั้น ข้าก็มั่นใจได้ว่าจะไม่มีผู้ใดเทียบได้แล้ว”

“สมกับที่เป็นคุณชายอู๋ซวง ยอดเยี่ยมเกินไปแล้ว!”

คำพูดยกย่องชื่นชมดังขึ้นราวกับกระแสน้ำ แต่ไม่มีใครรู้เลยว่า ก้นบึ้งในใจของจิ่งอู๋ซวงนั้นได้เกิดความประหลาดใจผุดขึ้นมาเล็กน้อย

ตอนที่เขาสร้าง ‘ร่มพันกลไก’ ขึ้นมานั้น เขาเพียงทำให้มันสามารถต้านทานพลังการโจมตีได้เท่านั้น และมันก็ไม่ควรจะสะท้อนพลังโจมตีกลับไปได้เช่นนั้น

แต่ตอนนี้…

จิ่งอู๋ซวงหรี่ตาลงมองหญิงสาวที่ยิ้มอย่างอ่อนโยนเหมือนกับก่อนหน้านี้ และดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจอะไรบางอย่างได้ รูม่านตาของเขาหรี่ลง

เป็นฝีมือของนางนั่นเอง

นางนั่นเองที่เปลี่ยนความสามารถของ ‘ร่มพันกลไก’

นอกจากความสามารถพื้นฐานของมันที่ใช้เป็นเกราะกำบังแล้ว นางยังเพิ่มความสามารถให้มันโจมตีกลับได้อีกด้วย

และ ‘ร่มพันกลไก’ ก็เต็มใจที่จะเปลี่ยนแปลง

นั่นก็พิสูจน์แล้วว่า ‘ร่มพันกลไก’ ได้เลือกเจ้านายของมันแล้ว…

จิ่งอู๋ซวงคลายฝ่ามือที่กำแน่นของตนเองลง พร้อมกับแววตาของเขาที่ค่อยๆ ปรับใหม่ เฮ่อเหลียนเวยเวยคนนี้คือคนไร้ค่าที่น่าอับอายจากเมืองหลวงจริงๆ หรือ

ความสามารถของนางไม่ได้ถูกจำกัดไว้เลยแม้แต่น้อย

การเปลี่ยนแปลงความสามารถของ ‘ร่มพันกลไก’ ได้อย่างเชี่ยวชาญและรวดเร็วเช่นนี้ นอกจากจะต้องทำความคุ้นเคยกับอาวุธแล้ว นางยังต้องมีพลังลมปราณที่ล้ำลึกและไม่อาจประเมินค่าได้อีกด้วย จึงจะสามารถทำเช่นนั้นได้

แต่จากข่าวลือนั้น คุณสมบัติทั้งสองอย่างนี้ล้วนเป็นสิ่งที่เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่มี

“เป็นอาวุธที่ยอดเยี่ยมจริงๆ” เฮ่อเหลียนเวยเวยขยับมือไปด้านข้างพร้อมกับพับร่ม

ร่มคันนั้นส่องแสงอ่อนๆ ออกมาราวกับตอบสนองนาง

“เป็นร่มที่เชื่อฟังดี” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม “ข้าควรจะคืนมันให้กับเจ้าของของมัน”

จิ่งอู๋ซวงมองนาง ก่อนจะกลับมาวางมาดอันอ่อนโยนตามปกติของเขา “ตอนนี้มันเป็นของเจ้า เจ้าคือเจ้าของคนปัจจุบันของมัน และเจ้าก็เป็นผู้ชนะการประลองในครั้งนี้”

ครั้งนี้ ภายในโถงของงานประลองนั้นเงียบสงัดเป็นพิเศษ

ไม่มีใครพูดอะไรออกมา เพราะข้อเท็จจริงนั้นได้แสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนอยู่แล้ว

เฮ่อเหลียนเวยเวยได้เลือกอาวุธที่น่าทึ่งที่สุดในงานประลองเจ้ายุทธ์ครั้งนี้

และเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ คนที่พวกเขาฝากความหวังเอาไว้นั้น… เป็นฝ่ายแพ้…

ในขณะนั้นเอง ใบหน้าของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็น่าเกลียดอย่างมาก นางไม่อาจทนได้ นางกำมือทั้งสองข้างภายใต้แขนเสื้อยาวของตนเองแน่น แต่นางก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องฝืนยิ้มไว้จนกว่างานประลองครั้งนี้จะจบลง

ชัยชนะของเฮ่อเหลียนเวยเวยในครั้งนี้เหมือนตบหน้านางอย่างจัง

ทำไมนังแพศยาคนนั้นถึงโชคดีอย่างนี้

เหล่าคุณชายจากตระกูลสูงศักดิ์ที่ต้องสูญเสียเงินจำนวนมากต่างก็แปลกใจเช่นกัน พวกเขาหันหน้าไปมองมู่หรงฉางเฟิงที่นั่งอยู่ข้างๆ “ซื่อจื่อ ผู้หญิงคนนี้เรียนรู้วิธีการใช้อาวุธตั้งแต่เมื่อไหร่กันหรือ ท่านพอจะรู้หรือไม่”

“นางก็แค่โชคดีที่เดาถูกเท่านั้น” มู่หรงฉางเฟิงกำมือของตนเองแน่นด้วยแววตาที่สงบ แน่นอนว่าเขาไม่รู้ หากเขารู้… บางทีเขาอาจจะ…

ไม่มีทาง

อย่างที่เขาบอก นางก็แค่โชคดีที่เดาถูกเท่านั้น

มู่หรงฉางเฟิงมองเหล่าผู้ชม พร้อมกับขบกรามแน่น

เหล่าคุณชายทั้งหลายต่างก็ไม่มีอารมณ์ที่จะมาสงสัยว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยคนนั้นโชคดีที่เดาถูกจริงหรืออย่างไร พวกเขารู้เพียงว่าคราวนี้ ตนเองได้พ่ายแพ้อย่างน่าเวทนายิ่งนัก ให้ตายเถอะ

อีกด้านหนึ่ง ในห้องส่วนตัวที่มีการตกแต่งอย่างประณีต

ชายผมแดงมองไปยังเจ้านายของตนที่วางถ้วยชาลงอย่างกะทันหัน ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นอย่างสับสน “นายท่านขอรับ เราจะไม่รอดูจนจบหรือขอรับ”

ชายคนนั้นไม่ตอบ เขายกริมฝีปากขึ้นช้าๆ อย่างมีเสน่ห์ เป็นรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนรอยยิ้ม ขณะเดียวกัน มันก็ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงกลิ่นอายของความหน้าเนื้อใจเสืออยู่ภายใน “ถึงเวลาขึงตาข่ายแล้ว”

“ขึงตาข่ายอะไรหรือขอรับ” ชายผมแดงยังคงไม่เข้าใจเหตุการณ์ในตอนนี้

ชายคนนั้นคลายแขนเสื้อออกอย่างไม่เร่งรีบ ก่อนจะพูดทีละคำ “ตาข่ายสำหรับจับสุนัขจิ้งจอก”

หลังจากพูดจบ ชายคนนั้นก็ลุกขึ้นยืน เขาสวมเสื้อคลุมขนสัตว์สีขาว แขนเสื้อนั้นยกขึ้นเล็กน้อย เขาดูเยือกเย็นอย่างมาก จนไม่มีผู้ใดกล้าที่จะเข้าใกล้เขาแม้แต่ครึ่งก้าว

จากท่วงท่าที่มีเสน่ห์อันงดงามนั้น หากเขาไม่ใช่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยองค์ชายสามแห่งราชวงศ์แล้ว จะเป็นใครได้อีกเล่า…