บทที่ 121 หว่านแหจับเหยื่อ

องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!

หลายคนยังไม่อยากจะเชื่อผลการแข่งขันนี้ โดยเฉพาะเหล่าผู้เข้าแข่งขัน หากพวกเขาพ่ายแพ้ให้แก่เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ อย่างน้อยพวกเขาก็ยังพูดถึงการแพ้ครั้งนี้ให้คนอื่นฟังได้ง่ายกว่า เพราะการพ่ายแพ้ต่อนางนั้น ก็เป็นที่ยอมรับได้ง่ายกว่า

แต่การพ่ายแพ้ต่อคนไร้ค่าที่ไม่มีพลังปราณนั้น…

เพียงแค่คิด พวกเขาก็รู้สึกเป็นทุกข์แล้ว

เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่สนใจเลยว่าคนเหล่านั้นจะพอใจกับผลลัพธ์หรือไม่ มุมปากของนางเผยรอยยิ้มที่เมินเฉยต่อสายตาที่จ้องมาทางตนเอง นางเก็บของและวาง ‘ร่มพันกลไก’ สมบัติที่เพิ่งได้รับ ก่อนจะเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างเกียจคร้าน และเริ่มปลอมตัว พร้อมกับวางแผนว่าจะไปรับเงินรางวัลที่ได้จากการพนัน

จะมีอะไรน่ายินดีไปกว่าการชนะการแข่งขัน และยังสามารถทำเงินได้อีกด้วยเล่า

เฮ่อเหลียนเวยเวยเดินไปผิวปากไปอย่างมีความสุข

แต่ว่า!

“เจ้าพูดว่าอะไรนะ สองล้านตำลึงเช่นนั้นหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยมองใบเสร็จในมือ ดวงตาที่สุขุมและสงบนิ่งอยู่ตลอดเวลานั้น กลับเผยให้เห็นกระแสคลื่นจางๆ “มีใครลงเงินหนึ่งหมื่นตำลึงพนันว่าข้าจะชนะหรือ” และยังเป็นตำลึงทองอีกด้วย ใครในโลกนี้ช่างบ้าบิ่นขนาดนี้กัน! ไม่รู้หรือว่านางเป็นคนไร้ค่า แล้วยังจะพนันว่านางชนะอีกเช่นนั้นหรือ

ผู้จัดการบ่อนพนันพยักหน้าพร้อมกับถอยไปด้านหลัง

หยวนหมิงหัวเราะเสียงดัง ‘ฮ่าๆ’ “พนันหนึ่ง แต่จ่ายเป็นสิบ แม่นาง ครั้งนี้เจ้าพลาดเสียแล้ว”

เฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ตาลงพร้อมกับลูบคางของตนเอง นางเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับถามผู้จัดการบ่อนพนันเกี่ยวกับคนๆ นั้น “ใครเป็นคนวางเดิมพันกับข้าหรือ เจ้าจำได้หรือไม่”

ผู้จัดการบ่อนพนันพยักหน้า “ข้าจำได้ว่าคนๆ นั้นมีผมสีแดง สวมใส่ผ้าไหมคุณภาพดี และกำลังดื่มชาอยู่บนชั้นสองขอรับ”

“ชั้นสองหรือ” ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นประกายวับวาว พร้อมกับหยิบร่มขึ้นมา ก่อนจะหมุนตัวกลับขึ้นไปด้านบน

ผู้จัดการบ่อนพนันถอนหายใจ ก่อนจะพูดขึ้นว่า “นายท่าน ท่านคิดจะเอาเงินทั้งหมดนี้ไปให้คนๆ นั้นจริงๆ หรือ”

“จะเป็นไปได้อย่างไรกันเล่า” เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเขาด้วยความประหลาดใจ “เจ้าไปเอาความคิดผิดๆ เช่นนี้มาจากไหน”

ผู้จัดการสะอึก “ถ้าเช่นนั้น ท่านจะขึ้นไปที่นั่นเพื่ออะไรกันขอรับ” นี่เขาต้องการโยนตัวเองลงไปในตาข่ายหรืออย่างไรกัน

“ไป…ต่อรอง” เฮ่อเหลียนเวยเวยเผยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย

ชั้นสองของหอเฟิ่งหวงนั้นเป็นที่ร่ำลือว่ามีห้องส่วนตัวชั้นเลิศ และคนที่สามารถอยู่ที่นี่ได้ถึงสองก้านธูป ก็ล้วนเป็นเหล่าคุณชายที่ร่ำรวยและมีเกียรติในเมืองหลวง

ตามคำบอกเล่าของเสี่ยวเอ้อร์นั้น คนๆ นั้นนั่งอยู่ในห้องส่วนตัวนี้เป็นเวลากว่าสองชั่วยามแล้ว และของที่เขาสั่งก็ล้วนแต่เป็นของราคาแพงที่สุดอีกด้วย ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะมีอิทธิพลไม่น้อยเลยทีเดียว…

แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าในเมืองอู่ซิวแห่งนี้ ยกเว้นคนที่ร่วมมือกับนางทั้งสองคนนั้นแล้ว จะมีใครที่มีเงินมหาศาลเช่นนี้อีก

เฮ่อเหลียนเวยเวยมองประตูไม้บานคู่ที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะเคาะประตูอย่างสุภาพ

ในไม่ช้า เสียงทุ้มต่ำที่น่าดึงดูดก็ดังขึ้นมาจากด้านใน เสียงนั้นดังลอดประตูไม้มา “เข้ามา”

คำเพียงสองคำนั้นราวกับเป็นเสียงโลหะกระทบกันและเสียงนกร้อง ฟังดูราวกับกระบี่สองคมชั้นยอดที่มีเนื้อโลหะอัดแน่นและกำลังถูกดึงออกจากฝัก เหมือนกับว่ามันกำลังควบคุมให้ผู้คนต้องยอมจำนน

เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดในใจ คนๆ นี้จะต้องเชี่ยวชาญเรื่องการออกคำสั่งกับผู้คนที่อยู่รอบข้าง เมื่อถึงเวลาที่ต้องต่อรองราคา นางจะต้องแสดงความเป็นใหญ่ทั้งหมดออกมา เพื่อจะได้ปราบอีกฝ่ายให้อยู่หมัด

ต้องบอกว่าภาพในจินตนาการนั้นมักจะสมบูรณ์แบบเสมอ แต่ความเป็นจริงนั้นกลับผิดเพี้ยนไป

เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยที่เต็มไปด้วยความมั่นใจผลักประตูไม้เข้าไป คนๆ นั้นที่กำลังพิงเก้าอี้ไม้แกะสลักก็เพิ่งจะเงยหน้าขึ้น

เขาสลับมืออย่างเรียบเฉย ผมของเขาสีดำราวกับน้ำหมึก ส่วนชุดนั้นก็มีสีขาวราวกับหิมะ นิ้วมือเรียวของเขาวางอยู่บนฝากาน้ำชาสีฟ้าอ่อน รับไอน้ำที่ลอยขึ้นมาอยู่ในขณะนั้น รูปร่างของเขาดูเลือนรางอยู่ท่ามกลางหมอกหนา ขณะที่เขากำลังมองดูเฮ่อเหลียนเวยเวย

ในขณะที่อีกฝ่ายมองดูตนเอง เฮ่อเหลียนเวยเวยก็รู้สึกว่าหนังศีรษะของตนเองชาวาบราวกับถูกทิ้งไว้ในห้องใต้ดินน้ำแข็งเป็นเวลาหมื่นปี นางตัวแข็งทื่อในทันที

ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้

ตอนนี้ สถานการณ์บ้านเมืองกำลังวุ่นวาย ผู้คนจากทุกตระกูลต่างก็กระสับกระส่าย และต้องการที่จะกำจัดราชวงศ์ออกไปอยู่ตลอดเวลา

หากเขาจะอยู่ในเมืองหลวง ก็จะปลอดภัย แต่ทำไมเขาถึงวิ่งมาที่เมืองอู่ซิวโดยไม่มีการแจ้งให้ผู้ใดทราบ เขาไม่กลัวว่าจะโดนลอบสังหารหรืออย่างไรกัน

เดี๋ยวก่อน!

หรือว่าเขาจะไม่ได้มาที่นี่เพื่อจับตัวนาง

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล เพราะนางปลอมตัวแล้ว แม้ว่าองค์ชายสามจะมีพลังวิเศษ ก็ไม่อาจจำนางได้ด้วยการมองเพียงปราดเดียว

เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดในใจ ตราบใดที่นางปลอมตัวได้ดีพอ เขาก็จะจำนางไม่ได้ และคงจะไม่ทำอะไรกับ ‘ชายแปลกหน้า’

ดูเหมือว่าการเข้ามาของนางจะรบกวนเวลาพักผ่อนของเขาอย่างเห็นได้ชัด บุคลิกของอีกฝ่ายนั้นดูราวกับเกิดจากน้ำแข็งและหิมะ ช่างบริสุทธ์ สูงส่ง และไร้ที่ติ เขาควบคุมตนเองอย่างเสแสร้งและชั่วร้าย โดยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมาเลยแม้แต่น้อย

เขามองนางด้วยแววตาลึกล้ำ ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถคาดเดาความรู้สึกของเขาได้ว่ากำลังมีความสุขหรือกำลังโกรธอยู่กันแน่

“มานี่สิ”

หืม เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเขาอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็ดึงสติกลับมา ดวงตาที่พูดได้ของนางมองเข้าไปในจิตใจของเขาอย่างไม่สบายใจ

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกวาดสายตาไปทางประตูที่ปิดไว้ และควบคุมอารมณ์ของตนเอง พร้อมกับพูดขึ้นอย่างอดทนอีกครั้ง “มานี่สิ”

เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว

ทำไมองค์ชายสามจึงพูดกับ ‘ผู้ชาย’ ด้วยน้ำเสียงแบบนี้เล่า

ทำไมมัน… ฟังดูคลุมเครือเช่นนั้น

หรือมันจะเป็นจริงอย่างที่นางสงสัยว่าเขาเป็นพวกต้วนซิ่ว [1] จริงๆ

ยิ่งเฮ่อเหลียนเวยเวยคิดถึงเรื่องนี้มากเท่านั้น มันก็ยิ่งมีความเป็นไปได้มากขึ้นเท่านั้น จากนั้น นางก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยและยกริมฝีปากบางของตนขึ้น “ข้าคิดว่าท่านกำลังเข้าใจผิด ข้าเป็นหัวหน้าของบ่อนพนัน และไม่ใช่เสี่ยวกวน [2] อย่างแน่นอน”

เสี่ยวกวนหรือ

กิเลนอัคคีที่ซ่อนตัวอยู่ในมิติสวรรค์รู้สึกงุนงง เหตุใด จู่ๆ ผู้หญิงคนนี้ถึงเอ่ยถึงเสี่ยวกวนเล่า

นางจำนายท่านผู้นี้ไม่ได้หรืออย่างไร

จะเป็นไปได้อย่างไรกัน

พวกเขาเพิ่งเจอกันเมื่อสองวันก่อนเองไม่ใช่หรือ

อ๋อ!

เขาเข้าใจแล้ว เพราะนางปลอมตัวมานั่นเอง

เหอะ นางคิดว่าการปลอมตัวเช่นนี้จะสามารถหลอกนายท่านได้เช่นนั้นหรือ

ช่างไร้เดียงสายิ่งนัก ให้ตายเถอะ ตอนที่พวกเขาอยู่ในป่าวิญญาณเมื่อนานมาแล้ว นายท่านก็เห็นเรือนร่างของนางหมดแล้วไม่ใช่หรือ

แต่เสี่ยวกวนคืออะไรกัน

กิเลนอัคคีขมวดคิ้วแน่นอีกครั้ง

แม้แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเองก็เงยหน้าขึ้นมาเช่นกัน ก่อนจะมองหน้าเฮ่อเหลียนเวยเวยอีกครั้ง

เมื่อพิจารณาจากท่าทีปกติของเขาแล้ว อีกฝ่ายไม่น่าจะจำนางได้

มิเช่นนั้นแล้ว จากนิสัยขององค์ชายสาม เมื่อเขาเห็นนาง เขาก็คงจะพุ่งเข้ามาหา และรีบใช้ทักษะความเยือกแข็งเพื่อฆ่านางให้ตายในทันที

แต่ตอนนี้ เขาเพียงแค่มองนางอีกครั้ง และยังมีรอยยิ้มจางๆ ผุดขึ้นมาอีกด้วย

เฮ่อเหลียนเวยเวยก้มหน้าลงและปกปิดรอยยิ้มมุมปากของตนเอง เพื่อแสดงความเคารพ นางไม่อาจปฏิบัติต่อองค์ชายสามเหมือนเดิมได้ ในเวลาที่ต้องเจรจาธุรกิจ ทุกคนก็ต้องรักษามารยาทของการเป็นนักธุรกิจเอาไว้

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองดูท่าทางห่างเหินและสุภาพของนาง จากนั้นดวงตาของเขาก็จมดิ่งในทันที ความเย็นชาในแววตาของเขานั้นแผ่ขยายออกมาอย่างรวดเร็ว มือที่ถือถ้วยชานั้นกำแน่นอย่างมาก จนถ้วยกระเบื้องนั้นเกือบจะแตกกระจายคามือ

เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยเห็นว่าอีกฝ่ายไม่พูดอะไร ก็คิดว่าตนเองไม่ได้บอกรายละเอียดมากพอ นางจึงรีบอธิบายเพิ่มเติมอย่างชัดถ้อยชัดคำ “หากท่านช่วยลดจำนวนตำลึงทองลงอีกสักหน่อย ข้าก็จะช่วยท่านหาเสี่ยวกวนสักสองสามคนมาบริการท่านนะขอรับ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น กิเลนอัคคีก็สูดลมหายใจเข้าลึก

ผู้หญิงคนนี้ต้องการจะบอกว่า… จะบอกว่า… เจ้านายของเขา…

กิเลนอัคคีกลืนน้ำลาย เขาไม่กล้ามองใบหน้าด้านข้างของเจ้านายที่กำลังเยือกเย็นขึ้น และผู้หญิงคนนี้ก็กำลังรนหาที่ตายอีกครั้งแล้ว!

“ว่าอย่างไรขอรับ” เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกว่าตนเองแสดงความจริงใจอย่างมาก ในขณะที่นางกำลังยิ้มอย่างชั่วร้าย และมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยด้วยท่าทีที่กำลังบ่งบอกว่า ‘ข้าเข้าใจท่านดี’

ชายหนุ่มก็ยิ้มให้เช่นกัน ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงไพเราะที่แฝงความเย็นชาแต่น่าหลงใหล จนทำให้ทุกคนรู้สึกปั่นป่วนว่า “วิธีการต่อรองของเจ้านั้นดีจริงๆ คำพูดของเจ้าก็ฟังดูน่าสนใจมาก แต่…” ในขณะที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกำลังพูดอยู่นั้น เขาก็ค่อยๆ หันหน้าไปทางเฮ่อเหลียนเวยเวย พร้อมกับเดินเข้าไปหานาง ประกายในดวงตาของเขานั้นบังคับให้นางจนมุม…

———————————–

[1] ชายรักชาย

[2] เสี่ยวกวน เป็นคำเรียกคณิกาผู้ชาย