บทที่ 122 เขาจุมพิตเฮ่ยเหลียนเวยเวย

องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!

เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกได้ลางๆ ว่ากำลังจะเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น แต่ดูเหมือนว่าหญิงสาวจะไม่มีทางหนี นางจึงทำได้แค่มองไปที่เขาเท่านั้น

รอยยิ้มตรงมุมปากของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั้นทั้งซับซ้อนและน่าหลงใหล ริมฝีปากของเขาบางยิ่งกว่าของนางด้วยซ้ำ ดวงตาเรียวยาวสีดำสนิทคู่นั้นก็กำลังพินิจดูหญิงสาวผ่านหน้ากากสีเงินอย่างมีเลศนัย ราวกับว่าเขาสามารถมองทะลุผ่านทุกส่วนของนางได้…

ในขณะที่เขาเข้ามาใกล้นาง ดวงตาของนางก็จมดิ่งลง ชายผู้นี้มักจะมีพลังบางอย่าง ราวกับมีมนต์เสน่ห์อยู่เสมอ ไม่ว่าเขาจะมีพลังปราณหรือไม่ก็ตาม เขาก็ยังคงอันตรายเช่นเดิม

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอื้อมมือออกไปและวางนิ้วบนกำแพงที่อยู่ด้านหลังของนาง ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ราวกับกำลังสะกดจิตอีกฝ่ายอย่างไม่สามารถอธิบายได้ “ข้าไม่ได้สนใจในเสี่ยวกวน กลับกัน หากเปลี่ยนเป็นเจ้า ข้าก็อาจจะรับไว้พิจารณา”

คอของเฮ่อเหลียนเวยเวยแข็งเกร็ง กลิ่นหอมจางๆ ของชาผสมกับกลิ่นไม้จันทน์ของผู้ชายคนนี้ลอยเข้ามาผ่านด้านหลังใบหูของหญิงสาว และในชั่วพริบตา ลมหายใจเย็นเฉียบนั้นก็ราวกับกำลังกัดกินนาง จนทำให้หญิงสาวตกอยู่ในภวังค์

ไม่นะ…

องค์ชายสามกำลังจะลวนลามนางเช่นนั้นหรือ

ลวนลามนางที่กำลังปลอมตัวเป็นผู้ชายอยู่เช่นนั้นหรือ

เฮ่อเหลียนเวยเวยยื่นแขนออกไปโดยไม่รู้ตัว พร้อมกับยกริมฝีปากขึ้นเป็นรอยยิ้มเล็กน้อย “ท่านควรดูให้ดีๆ ก่อนขอรับ จริงๆ แล้วข้าเป็นผู้ชาย… เหวอ”

ชายหนุ่มคนนั้นบรรจงจูบอันเยือกเย็นและบริสุทธิ์ ราวกับพร้อมที่จะกลืนกินทุกอย่าง โดยไม่รอให้เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดจบ กลิ่นชาอ่อนๆ ในปากของเขาลอยคลุ้งเข้ามาในปากของนาง เฮ่อเหลียนเวยเวยใช้มือที่ว่างอยู่ของตนเองผลักร่างของชายหนุ่มออกไปอย่างแรง แต่เนื่องจากนางใช้แรงจากมือเพียงข้างเดียว ทำให้นางเสียสมดุลเล็กน้อย ร่างกายของนางจึงซวนเซไปทางขวา ก่อนจะล้มลงบนโต๊ะ

ผมสีดำสนิทที่แผ่สยายอยู่บนโต๊ะไม้จันทน์นั้นช่างดูเย้ายวน ตรงกันข้ามกับใบหน้าอันเย็นชาของเฮ่อเหลียนเวยเวย จุมพิตของชายหนุ่มทำให้หางตาของหญิงสาวที่ดูเย็นชานั้น เกิดประกายน้ำที่ดูเย้ายวนออกมาเล็กน้อย ราวกับเป็นดอกบัวบานในทะเลสาบที่ถูกอาบด้วยสายใยเสน่หา…

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยใช้มือเพียงข้างเดียวจับมือทั้งสองข้างของหญิงสาวไว้เหนือศีรษะของนาง ริมฝีปากบางของเขานั้นเยือกเย็นอย่างตั้งใจ ขณะที่กำลังจูบอย่างดูดดื่ม รสชาติหอมหวานจากภายในปากของหญิงสาวนั้น ทำให้เขาหลับตาพริ้มอย่างพึงพอใจ

แต่ด้วยนิสัยของเฮ่อเหลียนเวยเวยแล้ว นางจะยอมให้เขาข่มเหงตนเองได้อย่างไรกัน นางกัดริมฝีปากของเขาด้วยเขี้ยวอย่างแรง หลังจากนั้น ร่างของนางก็เลื่อนลงมา ก่อนจะหลุดจากพันธนาการของเขา จากนั้นก็ใช้หลังมือเช็ดริมฝีปากของตนเอง

องค์ชายสามเป็นบ้าอะไรกัน

ลืมเรื่องที่เขาจูบนางตอนที่เขาเมาไปได้เลย

แม้แต่ตอนที่เขามีสติ เขาก็ยังลวนลามนางเช่นกัน

หรือเป็นเพราะว่านางแต่งตัวเป็นผู้ชายเช่นนั้นหรือ

“ข้าเป็นชายแท้ และไม่สนใจผู้ชายอย่างท่าน” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มอย่างเคร่งขรึม ก่อนจะถอดใจว่าตัวเองคงโชคร้ายเอง ขณะที่เช็ดริมฝีปากของตนเองอีกครั้ง

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองการกระทำของหญิงสาว และดวงตาของเขาก็จมดิ่งลงกว่าเดิม

เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกว่าตัวเองยังไม่หายโกรธ นางจึงมองอีกฝ่ายแบบหัวจรดเท้าอยู่สองสามครั้ง ก่อนจะพูดว่า “โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้าไม่ชอบท่อนล่างของท่านสักเท่าไหร่”

เดิมที นางคิดว่าการพูดเช่นนั้น จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกโกรธแค้น จนใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีม่วง

อย่างไรก็ตาม เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่คิดเลยว่าจู่ๆ เขาจะโอบกอดนางไว้แนบอก รอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้มของเขานั้นแฝงกลิ่นอายชั่วร้ายเอาไว้ “ไม่ชอบเช่นนั้นหรือ แต่ร่างกายของเจ้าไม่ได้บอกเช่นนั้น”

น้ำเสียงของเขาก้องอยู่ที่ข้างหูของนาง

จนเฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกว่าริมฝีปากของเขาอยู่ใกล้จนแทบจะสัมผัสใบหูของนางอยู่รอมร่อ

เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดในใจว่า ‘ท่าไม่ดีแล้ว’ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ยอมให้อีกฝ่ายขัดขืน ขณะที่เขากดตัวนางลง พร้อมกับจับมือทั้งสองข้างของนางไว้ด้านหลัง เฮ่อเหลียนเวยเวยก็คิดจะยกขาของตนเองขึ้นมาเตะ ‘จุดสำคัญ’ ของอีกฝ่าย

แต่ในที่สุด ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็เอนตัวไปด้านหน้า ก่อนจะใช้แรงเหวี่ยงกดร่างของหญิงสาวขึ้นมาบนโต๊ะ

เขารังแกนางมากเกินไปแล้ว!

เฮ่อเหลียนเวยเวยเริ่มรู้สึกโกรธ และใช้ฟันกัดไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอีกครั้ง

แต่ครั้งนี้ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้ปล่อยนางไป และปล่อยให้รสชาติของเลือดนั้นไหลไปทั่วช่องปากของตนเอง ขณะที่เคลื่อนตัวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวเพื่อใช้แรงกดขาของอีกฝ่ายที่อยู่ระหว่างเขา

เขาไม่ยอมปล่อยให้นางขัดขืนใดๆ ในขณะที่เขากำลังดูดลิ้นของหญิงสาวอยู่

ขณะเดียวกัน มือข้างหนึ่งของเขาก็จับตรงด้านหลังของศีรษะของนางอย่างแผ่วเบา และไม่ยอมเปิดโอกาสให้นางหลบหนีไปได้

เขาเอาแต่ใจตัวเองอย่างมาก จนทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่สามารถขยับตัวได้แม้แต่องศาเดียว

มือของเขาจับแผ่นหลังของหญิงสาว และเริ่มเคลื่อนไหวช้าๆ อย่างซุกซน นิ้วเรียวยาวเหล่านั้นลูบไล้ไปทั่วผิวของนาง ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนขึ้นมาด้านบน…

เฮ่อเหลียนเวยเวยตัวสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่อยู่

“หยุด” เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกตัวชาวาบตั้งแต่ช่วงกระดูกก้นกบไปจนทั่วร่างกาย หญิงสาวไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน และไม่อาจพูดอะไรออกมาได้ ราวกับว่าปอดของนางกำลังมีปัญหา

จนกระทั่งในที่สุด ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ยอมปล่อยตัวนาง ขาทั้งสองข้างของนางอ่อนแรง จนต้องเอนตัวพิงแขนของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่โอบเอวนางไว้ เพื่อจะได้ยืนอย่างมั่นคง

“เห็นหรือไม่ว่าเจ้าชื่นชอบมันเพียงใด” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับเอื้อมมือไปด้านหน้าของหญิงสาว เขาเผยให้เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนที่ดูไม่เหมือนกับรอยยิ้มนัก จากนั้นริมฝีปากของเขาก็ขยับเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้นทีละคำอย่างช้าๆ “น่าเสียดายที่เจ้าเป็นผู้ชาย” ในเมื่อนางอยากจะเล่นสนุก เขาก็จะเล่นละครไปกับนางด้วยเช่นกัน…

เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยได้ยินดังนั้น นางก็แทบอยากจะแทงเขาให้ตาย!

“ใช่แล้ว ข้าเป็นผู้ชาย สิ่งที่ข้ามี ท่านเองก็มีเช่นกัน เพราะฉะนั้นท่านไปสัมผัสของตัวเองจะดีกว่า” เฮ่อเหลียนเวยเวยขยับข้อมือของตนเอง

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก้มหน้าลงและยิ้มอย่างลึกซึ้ง “ไม่หรอก การได้สัมผัสเจ้ายังคงน่าสนใจกว่าอยู่ดี”

น้ำเสียงทุ้มต่ำนั้น แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้คิดที่จะปกปิดความคลุมเครือของตนเองเลยแม้แต่น้อย

ไอ้เวรเอ๊ย ไอ้สารเลว

ทำไมก่อนหน้านี้ นางถึงไม่เคยรู้เลยว่าองค์ชายสามเป็นคนประเภทนี้กัน!

“กำลังสาปแช่งข้าอยู่เช่นนั้นหรือ อย่าลืมสิว่าใครเป็นคนใช้คำอย่างท่อนบน และท่อนล่างก่อน” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจับผมยาวของอีกฝ่ายขึ้นมา พร้อมกับได้กลิ่นหอมจางๆ จากผมของนาง

หลังจากนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยก็เพิ่งจะรู้ตัวว่าตนเองไม่สามารถขยับตัวได้ แสงในตาของนางจมดิ่งลง นางไม่อยากเชื่อเลยว่าผู้ชายที่สูญเสียพลังปราณอย่างเขาจะสามารถกดดันนางได้มากขนาดนี้ มากเสียจนนางไม่สามารถโต้กลับได้เลย

ในตอนแรกนั้น นางยังพอเข้าใจได้ว่าเขาคงจะมีทักษะมวยปล้ำ จึงเชี่ยวชาญการต่อสู้ในระยะประชิด

แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นถึงสองครั้งติดต่อกัน นางก็อดตั้งคำถามถึงความน่าเชื่อถือของข่าวลือเหล่านั้นไม่ได้

หรือว่าจริงๆ แล้ว องค์ชายสามจะเสแสร้งมาตั้งแต่แรก

และพลังปราณของเขาน่าจะฟื้นคืนมาแล้ว

เขาช่างร้ายกาจและเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก เมื่อเผชิญหน้ากับเขา นางก็ไม่อาจผ่อนคลายกล้ามเนื้อส่วนใดของตนเองได้เลย

แล้วตอนนี้ นางควรจะทำเช่นไรเล่า

เดิมที นางคิดว่าหากปลอมตัวเป็นผู้ชาย ทุกอย่างก็จะเรียบร้อย

แต่นางไม่เคยคิดเลยว่ามันจะไปปลุกเร้าความสนใจของผู้ชายคนนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ

บ้าจริงเชียว

แต่เขาก็คงไม่หวังให้นางนั่งอยู่เฉยๆ พร้อมกับมัดมือของตนเองเอาไว้ เพื่อรอให้เขามาจับตัว

ในขณะที่เฮ่อเหลียนเวยเงยหน้าขึ้น และกำลังจะตอบโต้กลับ นางก็ได้ยินเสียงดังปัง!

ประตูไม้ถูกใครบางคนเตะจนเปิดออก!

เฮ่อเหลียนเวยเวยหันกลับไปมองด้านหลัง และเห็นเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งยืนอยู่นอกประตู มุมปากของเขายกขึ้นอย่างมีเลศนัย ดวงตาแหลมคมของเขาหรี่ลงเล็กน้อย มุมปากของเขายิ้มอย่างชั่วร้ายขณะที่มองดูเหตุการณ์ตรงหน้า ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสนใจ

“ท่านพี่ ท่านกำลังทำอะไรน่ะ” ดวงตาของเด็กหนุ่มหรี่ลง ก่อนจะพูดอย่างมีเลศนัย พร้อมกับเงยหน้าขึ้นและยิ้ม “ท่านทำเช่นนี้กับหุ้นส่วนของข้าได้อย่างไรกัน”

เขาพูดเน้นคำว่า ‘หุ้นส่วน’ ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ผนวกกับรอยยิ้มอันชั่วร้าย ทำให้คำพูดนั้นยิ่งฟังดูคลุมเครือ…

หลังจากนั้น เด็กหนุ่มคนนั้นก็เดินเข้ามาและวางมือไว้บนไหล่ของเฮ่อเหลียนเวยเวย ก่อนจะดึงนางเข้ามากอด พร้อมกับหัวเราะอย่างสนิทสนม

เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้วและมองมือที่วางอยู่บนไหล่ของตนเอง หญิงสาวรู้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้พยายามจะช่วยให้นางรอดพ้นจากสถานการณ์ในตอนนี้ นางจึงยิ้มขึ้น และไม่ได้ผลักเด็กหนุ่มออกไป หนำซ้ำ ยังทำตัวไหลไปตามน้ำอย่างเป็นธรรมชาติด้วยเช่นกัน จนดูราวกับว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนนั้นสนิทสนมกันมากจริงๆ

อย่างไรก็ตาม เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่รู้เลยว่าในขณะนั้น ใบหน้าอันหล่อเหลาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกำลังก้มลง…