บทที่ 123 ฝ่าบาทขี้หึง
เด็กหนุ่มรูปงามเชิดคางขึ้นอย่างยั่วโมโห ใบหน้าอันงดงามของเขาแสดงให้เห็นว่ามันเป็นเพียงเรื่องบังเอิญเท่านั้น “หุ้นส่วนของข้า ข้าเรียกใช้ได้เพียงคนเดียวเท่านั้น ท่านพี่คงลืมไปแล้วว่าที่นี่ไม่ใช่เมืองหลวง แต่เป็นเมืองอู่ซิว แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น จริงๆ แล้ว ข้าก็ตั้งตารอการมาถึงของท่านพี่เช่นกัน”

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้พูดอะไร ความรู้สึกทั้งหมดของเขาถูกซ่อนเร้นไว้ใต้หน้ากากสีเงินอันงดงาม

ถึงแม้ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยอยากจะขยับตัวไปจับแขนของชายหนุ่มคนนี้มากเท่าไหร่

แต่นางก็มีประสบการณ์จากการทำเช่นนั้นมาแล้ว เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ซึ้งถึงตัวตนและความอันตรายของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเป็นอย่างมาก

เห็นได้ชัดว่าทั้งพลังปราณและพลังการต่อสู้ของนางนั้นยังด้อยกว่าเขาอย่างมาก

หากนางเปิดเผยความลับของตัวเองออกไปแม้แต่นิดเดียว แล้วคนฉลาดอย่างไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะสงสัยในตัวนางหรือไม่นั้นก็ไม่มีใครล่วงรู้ได้

เมื่อถึงเวลานั้น นางก็ไม่ต้องหวังว่าตัวเองจะโชคดีเหมือนตอนที่อยู่ในเมืองหลวงเลย

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่ไม่มีพลังปราณนั้นก็น่ากลัวมากพออยู่แล้ว หากตอนนี้ พลังของเขาฟื้นคืนมาแล้ว เขาก็จะอยู่ในระดับที่ยากจะหยั่งถึงได้จริงๆ

ดังนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงรู้สึกว่านางไม่ควรจะเอาไข่ไก่ไปทุบหิน [1] และร่วมมือเล่นละครกับเจ้าเด็กหนุ่มคนนี้ต่อไป อย่างน้อย นางก็จะไม่ถูกจับได้ในทันที

ในขณะที่เฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังคิดเช่นนั้น จู่ๆ นางก็รู้สึกว่าไหล่ของตนเองเบาลง เฮ่อเหลียนเวยเวยเงยหน้าขึ้นด้วยความสงสัย และพบว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกำลังจับแขนของเด็กหนุ่มรูปงามคนนั้นแน่น ดวงตาที่ดูลึกล้ำของเขามองนางอย่างลึกซึ้ง และเต็มไปด้วยความเยือกเย็นที่ดูอันตราย…

เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยที่นิ่งสงบอยู่เสมอ ต้องตกอยู่ภายใต้สายตาเช่นนี้ของเขา นางก็รู้สึกถึงบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้

หรือนางจะรู้สึกขาดความมั่นใจ นางคาดเดาเอาเองว่ามันเป็นเพราะว่าตนเองกำลังปลอมตัวอยู่นั่นเอง

เฮ่อเหลียนเวยเวยก้มหน้าลง และไม่สามารถมองหน้าอีกฝ่ายได้ นางทำได้เพียงมองเท้าของเขา เห็นได้ชัดว่าเขาคือคนๆ เดียวกัน แต่ตัวเขาในขณะนี้ ราวกับกำลังปล่อยแรงกดดันบางอย่างใส่หญิงสาว จนทำให้นางหายใจไม่ออก

ทันใดนั้น เขาก็สะบัดแขนของเด็กหนุ่มคนนั้นออก ก่อนจะเอื้อมมือไปดึงตัวนางไว้

ปัง!

เสียงเปิดประตูดังขึ้น

ดูเหมือนว่าหอเฟิ่งหวงทั้งหลังจะสั่นสะเทือนไปพร้อมกับประตูบานนั้น

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่สนใจเด็กหนุ่มที่อยู่ด้านหลังเลยแม้แต่น้อย ในขณะที่เขาลากเฮ่อเหลียนเวยเวยที่กำลังโวยวายเสียงดังออกจากห้องไป

เด็กหนุ่มรูปงามอยากจะวิ่งไล่ตามพวกเขาไป แต่กลับถูกลำแสงสีแดงผูกมัดเขาไว้อยู่ตรงจุดเดิมแน่น

“กิเลนอัคคีหรือ” เด็กหนุ่มรูปงามมองไปทางชายผมแดงที่ค่อนข้างโดดเด่นคนนั้น และทันใดนั้น ดวงตาทั้งคู่ของเขาก็สั่นไหว พร้อมกับพูดว่า “เจ้ากลับมาแล้วเช่นนั้นหรือ นั่นก็หมายความว่าพลังปราณของเขาฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์แล้วใช่หรือไม่”

กิเลนอัคคีไม่ได้พูดอะไร บางครั้ง มันก็ทำตัวสูงส่งเย็นชาเหมือนกับเจ้านายของมันไม่มีผิด

ไม่ว่าอย่างไร ภารกิจตอนนี้ของมัน คือการจับตัวนายน้อยหาน เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรบกวนเจ้านายของมันอีกก็เพียงพอแล้ว ส่วนเรื่องอื่นนั้น เขาไม่จำเป็นต้องสนใจเลย

แต่มันกลับคาดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มรูปงามคนนั้นจะยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย “เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าหากจับตัวข้าแล้ว เจ้านายของเจ้าจะปลอดภัย ตรงกันข้ามเลย เจ้าลองคิดดู แม้แต่ข้ายังรู้ข่าวว่าท่านพี่มาที่เมืองอู่ซิวเลย แล้วนับประสาอะไรกับเหล่าประมุขอาวุโสจากสี่ตระกูลใหญ่เล่า หากข้าเป็นเจ้า ตอนนี้ ข้าคงจะรีบออกไป และไม่เสียเวลายืนอยู่ที่นี่หรอก พลังปราณของเขาเพิ่งจะฟื้นคืนมาใช่ไหมเล่า เจ้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเขาอยู่คนเดียวแล้วจะปลอดภัย”

ดวงตาของกิเลนอัคคีหรี่ลง แล้วจู่ๆ เขาก็นึกถึงเรื่องบางอย่าง แต่ในขณะที่กำลังจะบินออกไป เขาก็นึกขึ้นได้ว่าคำสั่งที่เจ้านายของมันสั่งเอาไว้ คือ ‘คำสั่งเด็ดขาด’

สำหรับ ‘คำสั่งเด็ดขาด’ นั้น หมายความว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คำสั่งนั้นก็ยังคงต้องดำเนินต่อไปจนกว่าจะสิ้นสุด

หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ มันไม่สามารถออกไปจากสถานที่แห่งนี้ได้แม้เพียงครึ่งก้าว!

แต่นายท่าน เขา…

กิเลนอัคคีกำหมัดของตนเอง และมองออกไปด้านนอกหอเฟิ่งหวง แต่เขาก็มองไม่เห็นแม้แต่เงาของคนๆ นั้น

ฝนตกแล้ว

เม็ดฝนไหลลงมาตามแนวกระเบื้องและหยดลงบนตรอกที่ปูด้วยหินทีละหยด

เปาะ แปะ เปาะ แปะ

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยืนอยู่กลางสายฝน แต่เสื้อผ้าที่สะอาดและเรียบร้อยของเขานั้นไม่ได้ดูเลอะเทะเปรอะเปื้อนเลยแม้แต่น้อย

ดวงตาภายใต้หน้ากากเงินนั้นราวกับราตรีกาลที่มีหมอกอันหนาวเหน็บปกคลุมเป็นชั้นๆ

เขาลากเฮ่อเหลียนเวยเวยมา และวิ่งมาถึงตรงกลางตรอกมืดที่ไม่มีผู้ใดอยู่ ทันใดนั้น เขาก็ผลักนางไปชิดกับกำแพง

เฮ่อเหลียนเวยเวยถูกบังคับให้เงยหน้าขึ้น สายตาของนางกำลังจ้องมองริมฝีปากบางของชายหนุ่มอย่างคลุมเครือ

แววตาของนางนั้นส่องประกายระยิบระยับ

บนริมฝีปากด้านข้างของชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าของหญิงสาวยังคงมีคราบเลือดที่นางกัดเขาเอาไว้ ผมสีดำที่ดูยุ่งเหยิงของเขาก็เปียกจากเม็ดฝนเย็นๆ ที่กำลังตกลงมาเล็กน้อย

สายตาของเขายังคงเหมือนเช่นเคย มันทั้งเฉียบแหลมและหยิ่งผยอง มีพลังกดขี่ข่มเหง เยือกเย็นและสันโดษ ทั้งยังมีความรู้สึกบางอย่างที่ไม่ชัดเจนด้วยเช่นกัน

เวลานี้ ร่างกายของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้แสดงความอ่อนโยนอีกต่อไป แต่มันกำลังเผยให้เห็นถึงความเย็นชา

เขาเป็นคนฉลาดและเป็นชนชั้นสูง ท่าทีที่เขาขมวดคิ้วและขบริมฝีปากอยู่เงียบๆ นั้น ช่างดูคล้ายกับใครบางคนจากราชวงศ์ที่มีอายุหลายศตวรรษ แม้ว่าเขาจะได้รับการถ่ายทอดพันธุกรรมมาจากตระกูลอันสูงส่งนี้จริงก็ตาม

แต่เบื้องหลังรอยยิ้มของเขากลับมีความเจ้าเล่ห์และร้ายกาจแฝงเอาไว้ ท่าทีของเขาแสดงออกถึงการถืออำนาจสูงสุดแต่เพียงผู้เดียว

เฮ่อเหลียนเวยเวยหวาดกลัว และกำลังจะหยิบมีดสีเงินใต้เสื้อคลุมของนาง แต่คำพูดที่เขาเอ่ยออกมานั้น กลับทำให้นางต้องสะดุ้งโหยง

“เจ้ายังอยากที่จะเสแสร้งเล่นละครต่ออีกหรือ” เขาโน้มตัวเข้ามา แล้วริมฝีปากบางของเขาก็แนบกับใบหูของนาง คำพูดที่นุ่มนวลเหล่านั้นกระทบเข้ามาในหูของหญิงสาวอย่างครบถ้วน ไม่ตกหล่นเลยแม้แต่คำเดียว

ทันใดนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ไม่สามารถขยับตัวได้ เขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเป็นนางเช่นนั้นหรือ

แต่มันไม่สมเหตุสมผลเลย

นางปลอมตัวแล้วด้วยซ้ำ

แล้วเขาจะจำนางได้อย่างไรกันเล่า

หรือว่าเขาจะตลบหลังนางและหลอกให้นางออกมาอีกครั้งเช่นนั้นหรือ

“ก่อนหน้านี้ ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่าให้รอข้าจัดการกับเจ้าก่อน แต่เจ้ากลับหนีไป เฮ้อ เจ้าน่าจะรู้ว่าหากข้าจับตัวเจ้าได้ ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปง่ายๆ อย่างแน่นอน” น้ำเสียงอันเยือกเย็นของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเปล่งออกมาอีกครั้ง

ครั้งนี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงยืนยันได้ว่าอีกฝ่ายจำนางได้จริงๆ

ไม่ว่าเขาจะจำนางได้อย่างไร

แต่เขาจะไม่ปล่อยนางไปง่ายๆ เช่นนั้นหรือ

ให้ตายเถอะ นางแค่ไม่ได้ให้ความร่วมมือเล่นละครบทนั้นกับเขาก็เท่านั้นเอง…

แต่หลังจากนั้น เขากลับไล่ตามนางอย่างไม่ลดละขนาดนี้ รวมถึงเขายังมาเล่นสนุกกับนางเช่นนี้อีกด้วย…

เมื่อคิดถึงจุดนี้ แม้ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะเป็นคนใจเย็นเพียงใด นางก็อดที่จะพูดออกไปไม่ได้ว่า “นั่นเป็นเหตุผลที่ท่านต้องทำกับข้าถึงขนาดนี้เชียวหรือ องค์ชายสาม ท่านก็ควรจะเลิกเล่นได้แล้วจริงหรือไม่”

“เล่นหรือ” ดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจมดิ่งลง นางคิดว่าเขากำลังเล่นสนุกอยู่เช่นนั้นหรือ นิ้วมือที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อของเขาค่อยๆ กำแน่นขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับช้างโบราณที่กำลังโกรธเคือง

จนถึงตอนนี้ เขายอมผ่อนปรนให้นางมาครั้งแล้วครั้งเล่า

แต่นางกับชายอีกคนกลับโอบไหล่กันและกันเช่นนั้นอีก

แววตาของเขาในขณะนี้มีสีแดงก่ำราวกับเลือด ความโกรธเริ่มคุกรุ่นขึ้น ขณะเดียวกัน เขาก็บีบคางของนางอย่างแรง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่น่ากลัวและเย็นชา “แล้วถ้าข้ายังเล่นสนุกไม่พอเล่า เจ้าจะว่าอย่างไร”

“ไม่ว่าท่านจะเล่นสนุกพอแล้วหรือไม่ แต่เรื่องนี้มันควรจะจบลงตรงนี้ได้แล้ว” เฮ่อเหลียนเวยเวยยอมรับว่าตนเองวางกลยุทธ์ได้ไม่ดีเท่ากับเขา “ฆ่าข้าทิ้ง หรือตัดเนื้อของข้าได้เลย ตามที่ท่านต้องการ”

“ในใจเจ้าคิดว่าข้าเป็นคนโหดร้ายขนาดนั้นเชียวหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหันไปมองนาง แล้วริมฝีปากของเขาก็กระตุกเล็กน้อย

เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว มิฉะนั้นแล้วจะอย่างไรล่ะ

เขาต้องใช้สมองถึงขนาดนี้เพียงเพื่อจะจับตัวนางให้ได้ คงไม่ใช่ว่าเขาแค่อยากจะสอนบทเรียนให้กับนางเท่านั้นหรอก

“เฮ้อ…” ทันใดนั้น ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็หัวเราะเล็กน้อย พร้อมกับพูดขึ้น นอกจากความเย็นชาตามปกติแล้ว ยังมีรังสีของการกดขี่ข่มเหงที่น่ากลัวอีกด้วย ราวกับกำลังซ่อนตัวอยู่ในขุมนรกส่วนลึก และกำลังทะลวงเปลือกของมันออกมา “บางครั้ง ข้าก็อยากจะหักมือและเท้าของเจ้า แล้วมัดไว้กับประตู เจ้าควรจะรู้ว่าเหยื่อที่ดื้อด้านนั้น จะเชื่อฟังมากขึ้นหากถูกถอดเขี้ยวเล็บออก…”

—————————————————

[1] เอาไข่ไก่ไปทุบหิน หมายถึง หาเรื่องใส่ตัว