เล่มที่ 2 บทที่ 42 ศึกราชสีห์ชิงอำนาจ (7)

ยุทธเวทผลาญปีศาจ

“พระเจ้าช่วย…” ผู้ฝึกตนขั้นเลี่ยนชี่ระดับกลางหนึ่งลุกขึ้นอย่างตาลีตาเหลือกทันที จากนั้น คนที่สองก็ลุกพรวดตามมา
ราวกับฝูงชนถูกอำนาจมนตร์สะกด ผู้คนทั่วทั้งสนามต่างพากันลุกขึ้นพรวดพราดคนแล้วคนเล่า และจ้องมองไปที่ศิลาหินไร้นามแท่นนั้นเป็นสายตาเดียวกัน!

กี่ปีมาแล้ว?

ที่ศิลาหินแท่นนี้ตั้งตระหง่านอยู่ ณ ที่แห่งนี้ไม่มีผู้ใดสร้างความสั่นคลอนให้มันได้ แม้แต่โอนเอนเพียงสักนิดก็ทำไม่ได้!

บัดนี้ ในที่สุดก็มีคนทำให้มันสั่นคลอนแล้ว!

ศิลาหินของเมี่ยรื่อ อัจฉริยะแห่งการฝึกตนที่ร้อยปีจะมีสักคน บัดนี้ได้สั่นคลอนหลังจากสวีหยางอี้ใช้วรยุทธ์กระบวนท่าที่แปดสิบเก้า!

“อิ่งซา…” หั่วหยุนมองไปยังศิลาหินแท่นนั้นด้วยสายตาพร่ำเพ้อ จากนั้นก็หันกลับมามองอีกใส่ด้วยสายตาแหลมคม “นายต้องการข้อแลกเปลี่ยนอะไร?”

“ถึงจะยอมหลีกให้ฉัน?”

“ไม่มีทาง” ดวงตาของอิ่งซาซุกซ่อนไฟร้อนระอุอยู่ล้ำลึก “เจ้าหนูคนนี้ ฉันจะรับเขาเป็นศิษย์ด้วยตัวเอง หั่วหยุน… ถึงตอนนี้แล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเหมืองหินวิญญาณกะโหลกกะลาพรรค์นั้นแล้วจะได้ไหม?”

ทั้งสองเงียบกริบไม่พูดจา

ไม่มีใครคาดคิดว่าฉู่เจาหนานผู้เป็นที่หมายปองก่อนหน้านี้จะต่อสู้กับสวีหยางอี้จนมีสภาพสะบักสะบอมถึงขนาดนี้

ไม่มีใครคาดคิดว่าสวีหยางอี้จะสามารถทำให้ศิลาหินของเมี่ยรื่อสั่นคลอนได้!

เรื่องพรรค์นี้ หากไปถึงหูบุคคลระดับจินตันเหรินเจิน พวกเขาคงมารับเขาเป็นศิษย์แน่!

แต่ตอนนี้ทั้งสองคนที่อยู่ที่เหตุการณ์กลับไม่ได้สนใจศิลาหินแล้ว ทว่ากลับมองหน้ากันตาเขม็ง

“กระบวนท่าเมื่อครู่… นายใช้ได้กี่ครั้ง?” ฉู่เจาหนานยิ้มร่าก่อนเลียริมฝีปากอย่างกระหายเลือด “ยอดเยี่ยม… แข็งแกร่งจริงๆ … ยิ่งกว่าพวกอัจฉริยะที่เห็นแต่ในหนังสือ นายมอบความฮึกเหิมให้กับฉัน…”

“นายแข็งแกร่งมาก ประสานกระบวนท่าที่แปดสิบเก้ากับกระบวนท่าสังเวยชีพงั้นเหรอ… แต่ว่า…” ดวงตาเขาวาวประกาย และยกปืนขึ้นมาอีกครั้ง “ครั้งนี้ ชัยชนะเป็นของฉัน!”

สวีหยางอี้หักนิ้วดังกรอบแกรบ “ใช้ได้ไม่มาก แต่ก็มากพอที่จะเอาชนะนาย”

สิ้นสุดเสียงพูด ฝ่ามือเขาก็ฟาดออกไปทันที ดาบแสงพลังปราณสีขาวยาวหนึ่งเมตรปรากฏขึ้นที่ฝ่ามือเขา แม้แต่ฉู่เจาหนานที่อยู่ห่างออกไปสิบเมตรยังได้ยินเสียงแหวกอากาศ!

“พายุสะบั้นมังกร!” ดวงตาของเขาสะท้อนประกายของดาบแสงเล่มนั้นออกมา การโจมตีของดาบแสงได้ปลดปล่อยคมเขี้ยวพลังปราณออกมาฟาดฟันจนพื้นสังเวียนกลายเป็นร่องเสี้ยววงกลมลึกหนึ่งเมตรกว่า!

“แกรกๆ !” เสียงแตกดังขึ้นสองครั้ง พื้นสังเวียนแตกระแหงเป็นใยแมงมุม ฉู่เจาหนานกระโดดถอยหลังหลบ แต่ถูกแรงกระแทกของการโจมตีพัดกระเด็นไปราวยี่สิบเมตร

ปล่อยให้เขายิงปืนอีกไม่ได้!

ดวงตาสวีหยางอี้ฉายความกังวลออกมาแวบหนึ่ง เพราะครั้งแรกที่รับลูกกระสุนของอีกฝ่าย เขาไม่มีทางหลบพ้นแน่นอน เนื่องจากการโจมตีกินบริเวณกว้างเกินไป

ทักษะร่างกายของผู้ใช้วิชาปืนประสานกับยุทธเวทปืนเป็นการดึงอานุภาพของอาวุธประเภทปืนออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ สร้างความเสียหายรุนแรงได้เป็นวงกว้าง ทั้งยังโจมตีภายในรัศมีได้อย่างอิสระและแม่นยำ ซึ่งเขาไม่อยากลิ้มลองรสชาติมันเป็นครั้งที่สอง

“เปิดโหมด!” เสียงตะโกนขึ้นเอ็ดตะโร มือขวาของสวีหยางอี้มีกรงเล็บพยัคฆ์ขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น เสียงคำรามดังสนั่นทั่วสนาม “กระบวนท่าที่เก้าสิบสอง… พยัคฆ์หมอบ!”

เขาทุ่มพละกำลังทั้งหมดโจมตีลงพื้นด้วยกรงเล็บพยัคฆ์แดงฉานยาวสองเมตร รอยแตกแขนงเป็นใยแมงมุมพลันปรากฏขึ้นใต้มือที่ตะปบลงมา หินหยกแตกกระจายด้วยแรงตะปบของกรงเล็บพยัคฆ์ จากนั้นเศษหินจำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งเข้าโจมตีใส่ฉู่เจาหนานพร้อมแรงตะปบที่ฟาดออกมา!

พื้นด้านหน้าของเขายุบลงตัวกลายหลุมเส้นผ่าศูนย์กลางห้าเมตรด้วยแรงตะปบ ในเวลาเดียวกัน เขางอตัวคล้ายงูที่ยืดหยุ่น ก่อนพุ่งตัวทะยานออกไป!

“กระบวนท่าที่เก้าสิบสาม… ดาวตก!”

กระบวนท่าดาวตก เป็นกระบวนท่าเร่งความเร็วเพียงหนึ่งเดียวของวรยุทธ์กระบวนท่าที่เก้าสิบขึ้นไป เพียงเสี้ยวพริบตา ความเร็วที่พุ่งไปด้านหน้าของเขาก็เร็วขึ้นเป็นเท่าตัว เร็วจนพุ่งแซงหน้าเศษหินที่พุ่งจู่โจมนำร่องไปเมื่อครู่เสียอีก เท้าของเขากระโดดเหยียบลงบนแผ่นหินแต่ละแผ่น ทุกๆ การเหยียบเป็นการเสริมแรงกระโดดและเพิ่มความเร็วยิ่งขึ้นไปอีก!

ไม่มีทางเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายยิงปืนได้อีกเป็นอันขาด!

หากอีกฝ่ายมีโอกาสทำเช่นนั้น เขาไม่มีทางเตรียมป้องกันได้เหมือนครั้งแรกแน่นอน!

และเมื่อถึงตอนนั้น ฉู่เจาหนานจะกลายเป็นมือซุ่มยิงที่น่ากลัวเลือดเย็น และคอยดักซุ่มยิงที่ตำแหน่งที่ดีด้วยลูกกระสุนที่อันตรายถึงชีวิตพวกนั้น

“ให้ตายเถอะ!” ดวงตาของฉู่เจาหนานแดงก่ำ แรงต้านอากาศของปืนกำลังลดลง ในขณะที่ความเร็วของอีกฝ่ายกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ !

“ล็อกเป้า!” ไม่มีทางถอย ขณะลอยตัวอยู่กลางอากาศ ร่างกายของเขาได้ปลดปล่อยกระแสลมหมุนสีเขียวหญ้าอันน่าสะพรึงกลัวออกมาอีกครั้ง ประกายไฟเป็นพันหมื่นปะทุออกมาแทบจะในเวลาเดียวกัน บัดนี้ ดอกไม้ไฟแห่งความตายได้แผ่คลุมไปทั่วสนามแล้ว!

“กระบวนท่านี้มัน…” ณ ด้านล่างสังเวียน เกาเย่เด้งตัวลุกขึ้นพรวด พร้อมกับจ้องมองบนสังเวียนด้วยดวงตาแดงเรื่อ

เพราะกระบวนท่านี้ ทำให้ฉู่เจาหนานผ่านเข้ารอบมาได้ตลอด คู่ต่อสู้ของเขาทุกคนต่างต้องพ่ายแพ้ให้กับเขา

ตอนนี้ ในฐานะที่ต้องมาเจอเจ้าคนร้ายกาจเหมือนกัน สวีหยางอี้เขาจะต้านทานได้หรือไม่?

“ปุๆๆ!” เสียงกระสุนปืนยิงเข้าเนื้อดังขึ้น กระสุนเป็นพันเป็นหมื่นนัดพุ่งเข้าจู่โจมแบบเดียวกัน! กำแพงพลังปราณสี่ทิศปรากฏวงกระเพื่อมขึ้นนับไม่ถ้วนทันที นั้นเป็นห่าฝนกระสุนปืนนับไม่ถ้วนที่ร่วงหล่นลงมา

กรงเล็บพยัคฆ์สีแดงฉานปรากฏขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ได้ตะปบลงพื้นแต่อย่างใด ทว่ากรีดลงบนแผ่นหินขนาดใหญ่และพลิกมันขึ้นมาเป็นโล่หินป้องกัน!

เศษหินที่ถูกกระสุนปืนทะลวงแตกกระจุยกระจาย โล่กำแพงหินค่อยๆ บางลงเรื่อยๆ และเขาก็ขยับเข้าใกล้อีกฝ่ายมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน! แต่ด้านหลังของเขาปรากฏรอยเลือดหยดลากยาวเป็นสาย!

ทั่วทั้งร่างเจ็บปวดราวถูกไหม้คลอก แต่สวีหยางอี้กลับไม่มีความคิดจะหยุดลงแม้แต่น้อย

หากหยุดลงก็คงไม่มีโอกาสเข้าประชิดอีกฝ่ายแน่นอน!

เผชิญหน้ากับนักซุ่มยิงที่ถนัดการโจมตี ระยะไกลแบบนี้ หากปล่อยโอกาสหลุดรอดไปแต่ครั้งเดียว เกรงว่าคงไม่มีโอกาสครั้งต่อไปแล้ว

เขากัดฟันเจ็บใจ ลูกกระสุนหนึ่งนัดทำลายการป้องกันของเขาไม่ได้ แต่กระสุนเป็นหมื่นๆ ลูกตอนนี้กลับยิงโดนต้นขาติดต่อกันถึงห้าครั้งตรงบาดแผลเดียวกัน เลือดถึงกะบพุ่งกระฉูดเป็นน้ำพุ

ฉู่เทียนอีที่กำลังดูการต่อสู้บนสังเวียน ตอนนี้ได้ปล่อยมือออกจากแหวนเรียบร้อยแล้ว

บางอย่าง ใช้ไม่ได้ง่ายๆ จากมุมที่เขาอยู่ตรงนี้ มองเห็นสภาพสวีหยางอี้ได้อย่างชัดเจน

หน้าอกด้านขวา ต้นขาข้างซ้าย แขนข้างขวา ถูกกระสุนวิญญาณระลอกแรกระดมยิงจนเนื้อกระจุย ตามร่างกายของเขาแทบไม่มีตรงไหนเป็นชิ้นดี ทว่าฉู่เทียนอีกลับไม่ชอบแววของอีกฝ่ายเป็นยิ่งนัก

แววตาสงบเยือกเย็นที่เจอแววเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ราวกับนักล่าชำนาญการ ถึงต่อให้อยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายก็ไม่ละทิ้งความหวัง

ในที่สุด เขาก็ตระหนักบางเรื่องขึ้นได้ แม้จะตามหาเหล้าแห่งเซียนมาได้อย่างยากลำบาก แต่เขาไม่มีโอกาสใช้มันเลย!

เขาไม่ใช่นักรบ แต่เป็นผู้บังคับบัญชาที่สามารถคุมสถานการณ์สู้รบในภาพรวมได้ แต่เมื่อเป็นการต่อสู้ตัวต่อตัว… เฉกเช่นสวีหยางอี้ในตอนนี้ที่ได้รับความสนใจ ต่อให้เขาลงมือเอง ถ้าหากถูกจับได้ขึ้นมา เรื่องคงจบบานปลายจบไม่สวยเป็นแน่ แต่ถ้าหากไม่ลงมือ…

เขาก็ไม่กล้ารับประกันได้ว่า… ผลแพ้ชนะจะออกมาเป็นอย่างไร!

สายตาของเขามองเข้าไปในกำแพงพลังปราณอย่างว้าวุ่น

หากความสงบเยือกเย็นยังไม่เลือนหายไปจากดวงตาคู่นั้นของสวีหยางอี้ หากความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่นั้นยังไม่จางหาย เขาก็ยังมีโอกาสคว้าชัยชนะ

แม้แต่ตัวฉู่เทียนอีเองก็มองออกมาว่าคนๆ นั้นแข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งเป็นที่สุด! จนกระทั่งภายในใจแทบไม่อยากยอมรับว่าคนๆ นั้นจะแข็งแกร่งกว่าหลานชายยอดอัจฉริยะของเขาเสียอีก!

เหล้าแห่งเซียนสกัดหนึ่งหยดสามารถออกฤทธิ์ได้ภายในรัศมีสามสิบเมตร หากเขาลงมือตอนนี้ ฉู่เจาหนานคงพลอยโดนถูกหลงไปด้วย

สิ่งของต้องห้ามแบบนี้ ทางที่ดีที่สุดก็ไม่ควรใช้ ควรเก็บใช้ตอนสำคัญจริงๆ ซึ่งตอนนี้… เวลาสำคัญปราก ฏขึ้นเบื้องหน้าแล้ว แต่เขากลับหาโอกาสใช้ไม่ได้

“ตึ้ง!” ตอนนี้ เสียงดังอุดอู้ดังมาจากกำแพงพลังปราณ ก่อนดังขึ้นอีกเจ็ด ระลอกตามมา!

“เงาพริบตา… เขายังใช้เงาพริบตาได้อีกเหรอ! ทะเลลมปราณของเขากักเก็บพลังปราณไว้เท่าไหร่กันแน่!” หลัวซานเฟิงซัดหมัดไปที่ขอบสังเวียนอย่างเจ็บใจ เศษหินร่วงหล่นเต็มพื้น เขาได้แต่ถลึงตาจ้องมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

“ไม่… ไม่ใช่สิ!” ยังพูดไม่ทันจบ อันดับหนึ่งที่อยู่ข้างๆ เขาคนหนึ่งก็พูดโพล่งขึ้น “นี่มัน… ไม่ได้ใช้โจมตี! แต่ใช้เพิ่มความเร็วต่างหาก! ทั้งๆ ที่พวกเขาอยู่ห่างกันไม่ถึงห้าเมตรเนี่ยนะ!”

สวีหยางอี้ไม่คิดจะเปิดโอกาสให้ฉู่เจาหนานแม้แต่น้อย

ขณะที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วของกระบวนท่าดาวตก เขาได้สำรวจภายในตัวเองไปหนึ่งรอบ

ทะเลลมปราณ… ใช้ได้อีกแค่สามกระบวนท่าเท่านั้น!

ต้องชนะภายในสามกระบวนท่าให้ได้!

ฉู่เจาหนานอยู่ห่างจากเขาแค่ยี่สิบกว่าเมตร หากเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายแม้แต่นิดเดียว ตัวเองคงต้องพ่ายแพ้!

สามกระบวนท่า ห่างยี่สิบเมตร นาทีเป็นตาย

ความเร็ว ที่ต้องการตอนนี้คือความเร็ว วรยุทธ์ทั่วใต้หล้า ความเร็วเท่านั้นที่เป็นตัวตัดสิน เขามั่นใจเหลือเกินว่า ขอเพียงเข้าประชิดตัวได้ อีกฝ่ายไม่มีทางสู้ตัวเองได้แน่นอน

ท่าแรก เงาพริบตา

การใช้เงาพริบตาในครั้งนี้ไม่ได้มุ่งจู่โจม แผ่นหินที่เขาโยนทิ้งไว้ก่อนหน้านี้ ก็ไม่ได้ใช้เพื่อเบี่ยงเบนสายตาอีกฝ่ายเท่านั้น ขณะกระบวนท่าดาวตกเร็วขึ้น เขาได้โยนแผ่นหินป้องกันไปด้านหลังหลายแผ่น จากนั้น เขาก็กระโดดเหยียบแผ่นหินด้านหลังเพื่อถีบตัวส่งแรงเพิ่มความเร็วขึ้นอีกระดับ!

ตอนนี้ ฉู่เจาหนานถึงกลับสีหน้าถอดสี

เขามองวิธีการของอีกฝ่ายออก และเขาก็เข้าใจด้วยว่าตอนนี้เป็นนาทีที่ต้องทุ่มสุดตัว

อีกฝ่ายไม่มีทางเปิดโอกาสให้ตัวเขาลอยขึ้นไปกลางอากาศอีกเป็นแน่!

นาทีนี้เหลือระยะทางเพียงห้าเมตร จิตสังหารในดวงตาของอีกฝ่ายแน่วแน่ยิ่งนัก ราวกับเขากำลังจ้องมองราชาแห่งสรรพสัตว์กำลังพุ่งเข้าหาตัวเอง หากประมาทแม้แต่นิดเดียวคงถูกฉีกขาดเป็นชิ้นๆ แน่!

สี่เมตรสุดท้าย!

ท่าที่สอง…

สวีหยางอี้ร่ายคำปลดปล่อยขึ้นในใจ กล้ามเนื้อทั่วร่างกายพองขยาย เส้นเลือดกลางหน้าอกเร่มขดเคี้ยวขึ้นอีกครั้ง ผิวหนังตามตัวแดงเรื่อ

สังเวยชีพ!

“ยังใช้กระบวนท่าสังเวยชีพได้อีกเหรอ?!” ดวงตาของหลัวซานเฟิงแทบถลนออกมา เพราะตัวเขาใช้ได้แค่ครั้งเดียว ตอนนี้ระดับของพวกเขาทั้งสองห่างชั้นกันอย่างสิ้นเชิง เพราะอีกฝ่ายสามารถใช้ได้ถึงสองครั้ง!

ท่าทางการต่อสู้จะตัดสินผลแพ้ชนะแล้ว…

ผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างลุกขึ้นกันอย่างเงียบๆ พวกเขาต่างนึกไม่ถึงว่าศึกตัดสินของผู้ฝึกตนขั้นเลี่ยนชี่ระดับต้นทั้งสองจะดุเดือดถึงขนาดนี้

การคู่สู้คู่อื่นๆ แค่แฉลบไปแฉลบมาก็จบแล้ว แต่การต่อสู้ตัดสินแพ้ชนะของพวกเขาทั้งสองคนมันไม่ได้ง่ายแบบนั้น!

พลังแบบนี้มันเกินกว่าขอบเขตของขั้นเลี่ยนชี่ระดับต้นแล้ว!

สามเมตร!

แขนทั้งสองข้างของฉู่เจาหนานสั่นระริก ดวงตาฉายแววตาเด็ดเดี่ยว ไรฟันขบกันแน่น สีหน้าหล่อเหลาก่อนหน้านี้ บัดนี้ ดูดุร้ายขึ้นรำไร

ปืนทั้งสองกระบอกที่อยู่ในมือเขาส่งเสียงหึ่งๆ ออกมา พลังปราณทั่วทั้งร่างไหลทะลักเข้าสู่ปืนทั้งสองกระบอก!

ฉู่เทียนอีลุกขึ้น ภายในใจร้อนรุ่มดุจเปลวไปแผดเผ้า

อยากลงมือ แต่ไม่มีโอกาส!

เขาไม่ใช่นักรบ จึงเล็งไม่เห็นจุดพิฆาต!

สองเมตร!

“พายุสะบั้นมังกร!” สวีหยางอี้เงยหน้าตะโกนลากยาว มือทั้งสองดุจดาบแสงในเรื่องมุซาชิ หุ่นรบซามูไร ดาบพลังปราณเล่มใหญ่ยาวสองเมตรที่อัดแน่นไปด้วยพลังปราณทั้งหมดของตัวเองอย่างไม่เคยมีมาก่อน พุ่งทะยานเข้าฟาดฟันใส่ฉู่เจาหนาน

ในสภาพที่ใช้กระบวนท่าสังเวยชีพ พลังลมปราณทั่วทั้งร่างเหือดแห้งหายไปอย่างรวดเร็ว หากการโจมตีนี้ไม่สำเร็จ ก็คงพ่ายแพ้!

“ครืด!” ปราก ฏร่องลึกที่ถูกดาบพลังปราณลากกรีดขนานทั้งสองข้างของเขาราวกับเป็นสัญญาณของระฆังมรณะ ราวกับพลังของวิญญาณวีรชน[1]ที่หอบความน่าสะพรึงกลัวของความตายพุ่งเข้าทำลายล้าง ประหนึ่งเกลียวคลื่นพายุคลั่ง!

หนึ่งเมตร!

ท่ามกลางรูม่านตาของฉู่เจาหนานที่สะท้อนดาบพลังปราณอันน่าสะพรึงกลัวสองเล่มนั้นขึ้นมา ภายใต้การเสริมพลังจากกระบวนท่าสังเวยชีพ ทำให้ดาบแสงเล่มนั้นไม่ใช่แค่ดาบแสงธรรมดาอีกต่อไป หากแต่มันเป็นเหมือนดาบโบราณที่แฝงด้วยมนตร์ขลัง

ผมเผ้าของเขาปลิวกระเจิงยุ่งเหยิง ม้วนพลังดุจเกลียวคลื่นคลั่งที่เค้นออกมาหมายจะเอาชนะเมื่อครู่ถูกพลังเฮือกสุดท้ายของสวีหยางอี้ ที่พุ่งเข้ามาพัดไปด้านหลัง ชุดลายพรางขาดวิ่นโบกระพือส่งเสียง

หั่วหยุนกำมือแน่น อิ่งซายืดตัวตรง

สายตานับหมื่นจับจ้องไปที่จุดศูนย์กลาง

คู่ต่อสู้ระดับมือพระกาฬทั้งสอง ตัดสินแพ้ชนะเพียงเสี้ยวพริบตา

เพียงเสี้ยวลมหายใจจะตัดสินศึกตัดสินที่ยาวนานครึ่งชั่วโมงรอบนี้และเป็นการปิดม่านการประลองคู่สุดท้ายลง!

ผู้ที่ยืนหยัดเป็นคนสุดท้าย จะเป็นใคร?

ศูนย์เมตร!

——————————————————————————–

[1] Servant หรือวิญญาณวีรชน ผู้แต่งใช้คำที่อ้างมาจากการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่อง Fate stay night