สายตาของสวีหยางอี้กับฉู่เจาหนานสบสานเข้าหากัน เสียงคล้ายท่อนโลหะกระทบกันดังสนั่น ในเวลาเดียวกัน ดวงตาทั้งสองคนต่างสะท้อนความรู้สึกเดียวกันออกมา
ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน
สวีหยางอี้ขมุบขมิบปากตัวเอง ฉู่เจาหนานคิดว่าตัวเองตาฝาดไป แต่กลับเป็นตัวเขาเองที่เห็นมันชัดกว่าใคร
เขามองเห็นชัดเจนว่าอีกฝ่ายพูดออกมาหนึ่งประโยค
อย่าคิดเสียใจภายหลัง!
“ฮ่าๆๆ!” เขาหัวเราะร่าออกมา มือทั้งสองข้างยกตั้งขึ้นอย่างรวดเร็ว!
ตอนนี้ บรรยากาศรอบข้างวังเวงเงียบสงบ เหลือเพียงสองเงาร่างบนสังเวียน เงาร่างทั้งสองเปียกโชนไปด้วยเลือดสด
ไร้ซึ่งสุรเสียงใดๆ แต่ยังคงได้ยินแววเสียงแผ่วเบา ภาพที่เกิดขึ้นสร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้ฝึกตนที่เพิ่งเริ่มฝึกบำเพ็ญ แม้แต่รุ่นพี่อย่างพวกเขาก็พลอยรู้สึกหวั่นไหวไปตามๆ กัน
“ฟุบ!” วินาทีถัดมา คมดาบพลังปราณพุ่งเข้าประชิดฉู่เจาหนานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
พลังปราณเสี้ยวสุดท้ายในร่างกายเหือดแห้งหายไป สวีหยางอี้ฟาด ฟันด้วยแรงทั้งหมดอย่างไม่ลังเล
ในเวลาเดียวกัน รูกระบอกปืนดำทะมึนทั้งสองรู ก็เล็งอยู่เบื้องด้านเขาเช่นกัน
“แสงอุไรกระเพื่อมวิบไหว จันทราทาบเงาลงผิวน้ำดุจเหรียญหยกจมดิ่ง”
“ปัง! ปัง!” ประกายไฟคล้ายเมื่อยามยิงปืนใหญ่ทั้งสองลูกปะทุขึ้นระหว่างทั้งสองคน!
ราวกับลูกระเบิดลูกเล็กสองลูกระเบิดขึ้นบนสังเวียน คลื่นพลังโจมตีสีแดงฉานจนเห็นได้ด้วยตาระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง!
ฝุ่นควันลอยคลุ้ง เศษหินแตกกระจาย ทุกคนต่างมองไม่เห็น สิ่งที่เกิดขึ้นด้านในกลุ่มควัน
หั่วหยุนกับอิ่งซามองเข้าไปโดยไม่ใช้พลังจิต
การต่อสู้แบบนี้เรียกได้ว่าน่าสลดใจ ผู้แพ้ แพ้อย่างสมศักดิ์ศรี ส่วนผู้ชนะ คว้าชัยชนะมาในสภาพเลือดอาบโชนทั่วทั้งร่าง
การใช้พลังจิตของตัวเองส่องดูการต่อสู้ถือว่าเป็นการดูหมิ่นศักดิ์ศรีของผู้ฝึกตนอย่างร้ายแรง
และถือเป็นการยั่วยุเช่นกัน
หั่วหยุนกับอิ่งซาไม่คิดจะยั่วยุวัยรุ่นอนาคตก้าวไกลทั้งสองคนนี้
“หลายปีมานี้… ฉันรอพวกเขาอยู่ในขั้นจู้จีมาตลอด” หั่วหยุนเอ่ยเสียงขรึม
“เช่นกัน” อิ่งซาพูดขึ้นอย่างหลากอารมณ์ ดวงตาส่องประกาย
“เป็นไงบ้าง!” “ใครชนะ!” “ใครเป็นผู้ชนะ?” “สองคนนี้ทุ่มสุดตัวแล้วใช่ไหม?”
บรรดาอันดับหนึ่งแทบจะพุ่งเข้าไปในกำแพงพลังปราณ แต่ว่าพวกเขาเข้าไปไม่ได้ กำแพงพลังปราณจากที่สร้างจากน้ำมือของจินตันเจินเหริน แม้แต่ผู้ฝึกตนขั้นจู้จีระดับสมบูรณ์ก็เข้าไปไม่ได้ ถึงจะใจร้อนแค่ไหน ก็ทำได้แค่รอผลลัพธ์เท่านั้น
ภายในกำแพงพลังปราณ กระแสลมพัดเกรี้ยวกราด ฝุ่นควันลอยตลบ
ช่วงเวลานี้เอง… เสียงคล้ายเขาถล่มดังลอยมา
“ครืดๆๆ …” สายตารอลุ้นของทุกคนถูกดึงดูดด้วยเสียงนั่นทันที
“พระเจ้า… ให้ตายเถอะ…” หญิงสาวขั้นเลี่ยนชี่ระดับต้นคนหนึ่งปิดปากตัวเองพร้อมกับมองดูศิลาหินสี่สิบกว่าแท่นที่ตั้งอยู่รอบตัวอย่างกับเห็นผี
“ไม่ใช่แล้ว…” คนธรรมดาจากตระกูลผู้ฝึกตนคนหนึ่งเงยหน้าขึ้นมาอย่างไม่อย่างเชื่อ ลูกกระเดือกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างตกตะลึงจนแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
หญิงชราคนหนึ่งลุกขึ้นพรวด มือที่จับไม้เท้าอยู่เกร็งจนเส้นเลือดปูด เธอจ้องดูสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าในสภาพปากสั่นระริก
วัยรุ่นคนหนึ่งลุกขึ้นยืนอย่างเงียบๆ ริมปากผนึกแน่น ไร้ซึ่งคำเอ่ยใดๆ ประหนึ่งหุ่นเชิดถูกชักใยก็มิปาน
นอกจากเขม่าควันแล้ว ก็เห็นแต่เพียงเขม่าควัน
ระลอกแรกยังไม่ทันสงบ ระลอกที่สองก็ปะทุตามมา
เพียงแต่ครั้งนี้… ไม่ใช่ฝุ่นควันที่มาจากศิลาหิน แต่เป็นควันจากอณูพลังปราณ! อณูพลังปราณมากมายดุจฝนกระหน่ำ มากล้นดั่ง ผืนสมุทร!
ทันใดนั้น ศิลาหินที่เหลืออยู่สี่สิบกว่าแท่นก็แตกสลายลงจนหมด!
ศิลาหินของบรรดาผู้ชนะจากการประลองครั้งใหญ่ของมณฑลหนานทงรุ่นก่อนๆ พังทลายลงทันที!
ไม่มีการสั่นคลอน ไม่มีการโอนเอน ไม่มีร้าวแตกร้าวแผ่ปกคลุม เพียงแต่ภายในห้าวินาที เพียงห้าวิทีเท่านั้น ศิลาหินทั้งสี่สิบกว่าแท่นได้พังทลายส่งเสียงขึ้นพร้อมกัน ก่อนสลายกลายเป็นอณูพลังปราณ!
ในตอนนี้ ภายในตัวหนังสือคำว่าหนึ่งในใต้หล้าอันเก่าแก่แฝงด้วยมนตร์ขลังแห่งนี้ มีอณูพลังปราณมหาศาลล่องลอยอยู่ในอากาศก่อนค่อยๆ หายไป ราวกับตกอยู่ในห้วงภวังค์แห่งความฝันและจินตนาการ แสงประกายจากอณูพลังปราณส่องระยิบระยับต้องใบหน้าอันไม่อยากเชื่อของทุกคน บรรยากาศเสมือนอยู่ในแดนเซียนก็ไม่ปาน
ทุกคนต่างนิ่งเงียบ ไม่มีใครเอ่ยปากพูดแม้แต่คนเดียว สาตาทุกคนต่างจับจ้องไปที่ศิลาหินแท่นที่สูงที่สุดเป็นสายตาเดียวกัน!
ศิลาหินไร้นาม!
ศิลาหินเพียงหนึ่งเดียวที่ไม่แตกสลาย!
ผู้ฝึกตนอัจฉริยะเพียงหนึ่งเดียวนับตั้งแต่สถาปนาประเทศหวาซย่า!
มันไม่โอนเอน ไม่สั่นไหว แต่ขณะที่สายตาทุกคนจ้องอยูนั้น ได้บังเกิดเสียง “แครก” ดังขึ้น
มันคือเสียงรอยแตก!
เป็นครั้งแรกที่ศิลาหินไร้นามของเมี่ยรื่อปรากฎรอยร้าว!
“แครกๆๆ …” รอยร้าวนั้นไม่ใช่เล็กๆ มันเกิดขึ้นตั้งแต่ตรงกลางฐานลามไปยันยอดศิลา! ราวกับผ่าศิลาหินไร้นามที่ยิ่งใหญ่เหนือศิลาหินแท่นอื่นออกเป็นสองซีก!
“เฮ้ย…” เสียงตะโกนเสียงหลงของหั่วหยุนดังสะท้อนเข้าหูตัวเอง ตอนนี้เขาเพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองรุดหน้าเดินขึ้นมาสองสามก้าวและจับราวที่นั่งตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ความรู้สึกหลากหลายพลันทะลักขึ้นภายในใจของเขา
พรสวรรค์แบบนี้… นับเป็นพรสวรรค์ที่เหนือกว่าตัวเขายิ่งนัก! เป็นพรสวรรค์ที่ทำให้ผู้ฝึกตนขั้นจู้จีอย่างเขาอดอิจฉาขึ้นไม่ได้!
ถึงแม้พรสวรรค์ไม่อาจตัดสินความสำเร็จในอนาคต แต่สามารถชี้นำจุดเริ่มต้นได้!
ครั้นกวาดสายตามองทั่วทั้งสนาม มีเพียงความเงียบสงัดพิกล ผู้คนจากองค์กรยักษ์ใหญ่และตระกูลผู้ฝึกตนที่กำลังจ้องมองศิลาหินอย่างอึ้งงัน ไม่มีใครอ้าปากคุยกันแม้แต่คนเดียว มีเพียงประกายไฟอันเร้าร้อนภายในดวงตาพวกเขาที่สะท้อนความในใจพวกเขาออกมา
รอต่อไปไม่ได้!
หากรอต่อไป… ทุกคน ณ ที่แห่งนี้จะต้องกระวนกระวายใจเป็นแน่!
แววตาของหั่วหยุนสั่นไหว จากนั้นก็มองไปบนสังเวียนของร้อนรน เขาขมุบขมิบปากสองสามครั้ง จนในที่สุดก็กัดฟันโบกมือขึ้นเบาๆ ป้ายเครื่องรางหนึ่งแผ่นพลันปรากฏขึ้น จากนั้น ลำแสงสีเขียวก็ยิงเข้าไปที่กำแพงพลังปราณ เมื่อช่องขนาดหนึ่งคนลอดผ่านค่อยๆ ปรากฏขึ้น เขาก็ฟันฝ่ามือกลางอากาศ แรงลมที่ถูกฟันออกมาพัดฝุ่นควันปลิวกระเจิงจนสลายหายไป
เมื่อฝุ่นควันสงบลง เงาร่างทั้งสองก็ปรากฏขึ้นกลางสังเวียน
ทั้งสองคนนั่งอยู่บนพื้นอย่างหมดสภาพ ดูไม่ออกเลยว่าใครแพ้ใครชนะ ตั้งแต่หัวไหล่ด้านขวาลามไปจนถึงท้องน้อยของฉู่เจาหนาน คือบาดแผลฉกรรจ์ที่เผยให้เห็นเครื่องในอย่างน่าสยดสยอง ส่วนสวีหยางอี้ หน้าอกด้านขวาของเขาถูกทะลวงจนกล้ามเนื้อหายแหว่ง เขานั่งอยู่ด้านหน้าอีกฝ่ายอย่างอดอาลัยตายอยาก
“ทำไมนายถึงแข็งแกร่งขนาดนี้?” ผ่านไปพักใหญ่ ฉู่เจาหนานจึงเอ่ยถามเสียงแผ่ว
“ก็ไม่มีอะไร” สวีหยางอี้ระบายยิ้ม “เพราะศัตรูของพวกนายถูกหาเจอแล้ว มีเพียงฉันเท่านั้นที่จนถึงตอนนี้ ก็ยังแบกรับบางสิ่งที่พวกนายปล่อยวางละทิ้งไปแล้ว”
นิ่งเงียบอยู่อีกพักใหญ่ ฉู่เจาหนานจึงพูดขึ้นเสียงขรึม “เพราะว่าไม่มีเป้าหมายที่แน่ชัดงั้นเหรอ…”
“ก็อาจจะ” สวีหยางอี้หัวเราะพลางกุมอก “นายรู้อะไรไหม ทุกครั้งที่ฉันอยากทำตัวขี้เกียจ ฉันมักรู้สึกว่าพ่อแม่ฉันกำลังมองดูอยู่บนสวรรค์… ฉันจึงไม่กล้าทำตัวขี้เกียจ ฉันจำได้ว่าในวัยเด็กตอนฉันเริ่มขึ้นเรียน พวกเขาพาฉันไปร้านเครื่องเขียนที่เมืองเล็กๆ แล้วเลือกกระเป๋าให้ฉัน…”
ไม่มีใครแอบฟังสิ่งที่พวกเขาคุยกัน เพราะนี่เป็นมารยาทพื้นฐาน
ฉู่เจาหนานไม่ได้โต้ตอบ ได้แต่ฟังอยู่เงียบๆ
“จากนั้น… ก็นำไม้บรรทัดใส่ไว้ในกล่องดินสอของฉัน พร้อมกับเหลาดินสอให้ฉันเป็นอย่างดี…”
“ฉันไม่ชอบกินผัก พวกเขาก็มักบังคับให้ฉันกิน… ดังนั้น ฉันจึงพยามยามกว่าคนอื่นร้อยเท่าพันเท่า ฉันรับประกันเลยว่าฉันพยายามหนักยิ่งกว่าความพยายามสูงสุดเท่าที่นายจะจินตนาการได้”
“สิบกว่าปีมานี้ ฉันแทบไม่มีเวลาท่องโลกอินเตอร์เน็ต มีเพื่อนฝูงไม่มาก และยิ่งไม่มีเวลาพักผ่อน…”
สวีหยางอี้กำหมัดขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “หากฉันไม่แข็งแกร่ง แล้วใครจะแข็งแกร่ง?”
ทุกคนต่างอยู่ในสภาพเงียบสงบ ตอนนี้ พื้นสังเวียนปกคลุมไปด้วยรอยแตกระแหง ภายใต้เพดานที่สลักตัวหนังสือหนึ่งในใต้หล้าขนาดใหญ่ พวกเขาทั้งสองดูเหมือนเย่กูเฉิง[1]กับซีเหมินชุยเสวี่ย[2]ที่นั่งพูดคุยตากลมหนาวยามค่ำคืน หลังดวลเพลงดาบบนยอดเขาต้องห้ามเสร็จ
“เป็นแบบนี้นี่เอง…” ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด ตอนนี้ ใบหน้าของฉู่เจาหนานผุดรอยยิ้มอันขมขื่นขึ้นมา “ฉันแพ้แล้ว แพ้ทั้งกายและใจ”
สิ้นสุดเสียง แผ่นหลังของฉู่เจาหนานก็ล้มตึงลงบนพื้น บาดแผลอันน่าสยดสยองที่ไขว้กันเป็นกากบาทลามไปถึงแผ่นหลังของเขา
เลือดสดพุ่งออกมาเป็นน้ำพุ!
สีหน้าของเขาซีดเผือด หลังจากวิงเวียนหัวหมุนอยู่พักพักก็หมดสติทิ้งตัวล้มลงบนสังเวียนดัง “ตุบ”
วินาทถัดมา ทั่วทั้งร่างกายของสวีหยางอี้ที่เต็มไปด้วยรูพรุนคล้ายตะแกรง ก็มีเลือดไหลทะลักออกจากบาดแผลอย่างบ้าคลั่ง
ไม่ถึงห้าวินาที พวกเขาทั้งสองก็กลายเป็นร่างมนุษย์อาบเลือดไปแล้ว
เพียงแต่ สวีหยางอี้ยืนขึ้น ฉู่เจาหนานนอนแผ่
ผลลัพธ์ที่ไร้เสียง แต่อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้อย่างหนักแน่น
ภายในรัศมีหนึ่งร้อยเมตรบนแท่นสังเวียน ไม่มีพื้นหินก้อนไหนอยู่ในสภาพสมบูรณ์เลย ทั้งสังเวียนมีแต่รอยแตกระแหงเป็นใยแมงมุม อีกทั้งยังมีหลุมลึกดำทะมึนหลายเมตรหลายหลุมด้วยกัน
ตามร่างกายของทั้งสองคนด้านบนไม่มีส่วนไหนสภาพดีเลย ทั่วร่างกายอาบชุ่มไปด้วยเลือด แต่กลับปราศจากสีหน้าเป็นกังวล
เดิมที มีศิลาหินหนึ่งร้อยยี่สิบกว่าแท่นรายล้อมอยู่ทั่วทุกทิศ บัดนี้เหลือเพียงศิลาหินไร้นามเพียงแท่นเดียว อีกทั้งศิลาหินไร้นามแท่นนี้ยังปรากฏรอยแตกร้าวอันเด่นชัดสะดุดขึ้นอีกด้วย
“ฉู่เจาหนานแพ้แล้ว…” กล้ามเนื้อบนใบหน้าอิ่งซาเกร็งกระตุกเล็กน้อย “ได้เกรด A สี่ตัว ชำชองวิชาเวทปืน… ไม่นึกเลยว่าจะแพ้ให้กับนักเรียนที่ใช้แต่วรยุทธ์ร้อยกระบวนท่า…”
สีหน้าของเทียนอีขาวซีดเป็นกระดาษ นิ้วมือยังคงแตะอยู่บนแหวน เขาหลับตาลงอย่างขมขื่น ตัวสั่นเทา
ในที่สุด เขาก็เข้าใจแล้ว… แม้แต่ตัวเขาเอง ก็มีช่วงเวลาที่ไร้พิษสงอยู่เช่นกัน
ใช่ว่าเขาเพิ่งเคยเห็นการต่อสู้ของผู้ฝึกตนเป็นครั้งแรก เพียงแต่ก่อนหน้านี้ เขาเคยดูแต่ในวีดิโอ จึงไม่อาจสัมผัสถึงพลังอันท่วมท้นนี้ได้
เดิมทีเขาคิดว่าจะได้ใช้เหล้าแห่งเซียนที่เขาเอามา แต่ในความเป็นจริง มันกลับพาเขามาเปิดหูเปิดตามากกว่า
สรุปคือไม่ได้ใช้…
หรืออาจพูดได้ว่าเขามือไม่ถึง
แต่ว่าของพรรค์นี้ เขาไม่มีทางปล่อยให้ไปอยู่ในมือคนอื่นแน่!
เขาแตะไปที่แหวน เอามือปล่อยออกจากแหวนครั้งแล้วครั้งเล่า จนโอกาสเพียงเสี้ยววินาทีหลุดลอย สุดท้ายก็ไม่มีโอกาสใช้มัน
หั่วหยุนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และกำลังจะเอ่ยปากพูดแต่กลับมีน้ำเสียงอันร้อนรนใจดังขึ้นจากที่นั่งคนดู
“รุ่นพี่หั่วหยุน ในเมื่อรู้ผลแพ้ชนะแล้ว … ก็รีบๆ ปลดกำแพงพลังปราณลง ให้สหายทั้งสองออกมาได้แล้ว”
หั่วหยุนพยายามกลั้นคำพูดไว้ในลำคอ ก่อนกวาดมองหาต้นเสียงด้วยสายตาเฉียบคม
ใคร?
เป็นใครกัน?
ตัวเองยังไม่ทันได้ประกาศ ใครกันช่างใจร้อนเช่นนี้! มองไม่เห็นพวกเขากำลังบาดเจ็บอยู่หรือไง! ไม่เห็นความยุ่งเหยิงที่เกิดขึ้นเหรอ! ยังมีกะจิตกะใจมาคิดเรื่องโน้มน้าวคนอีก ใครกันที่ช่างร้อนเป็นลิงเช่นนี้? หากทำเขาตกใจขึ้นมาจะทำไง?
เขาปราดตามองไปพบว่าเป็นผู้เฒ่าขั้นเลี่ยนชี่ระดับสมบูรณ์ที่จวนจะเลื่อนสู่ขั้นจู้จีอยู่เต็มทน
ขั้นเลี่ยนชี่กับขั้นจู้จี ระดับต่างกันเหมือนฟ้ากับดิน ตบะแค่นี้เขาไม่ชายตามองหรอก แต่ว่าตราประจำตระกูลรูปเปลวเพลิงที่ปักคำว่าหลี่บนหน้าอกของอีกฝ่ายทำเอาเขาถึงกับหนังตากระตุก
ในบรรดาผู้ฝึกตนสามล้านคน มีขั้นจู้จีอยู่สามหมื่นคนที่กระจายตัวอยู่ตามมณฑลอื่นๆ แต่ก็ไม่ใช่แค่องค์กรใหญ่ๆ เท่านั้นที่มีผู้ฝึกตนขั้นจู้จีประจำการอยู่
หากเขาจำไม่ผิด… แม้ตัวเขาจะอยากจำผิดก็ตาม นี่คือตระกูลหลี่แห่งนครเฟิงอี้ ตระกูลผู้ฝึกตนที่ใหญ่ที่สุดในมณฑลทงหนาน และมีขั้นจู้จีอยู่ในตระกูลถึงสามคน เขาไม่อยากมีปัญหากับอีกฝ่ายแน่นอน
เมื่อเขากวาดตามองรอบๆ ก็ต้องพบกับสายตามันวาวคล้ายหมาป่านับพันๆ คู่
ใช่แล้ว… เมื่อการแข่งขันชิงอันดับสิ้นสุดลง ช่วงเวลาต่อไป… เกรงว่าจะเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายกว่าการแข่งขันชิงอันดับเสียอีก
มือที่ไพล่อยู่ข้างหลังกำหมัด ในมือมีแคปซูลเม็ดเล็กๆ นี่เป็นยาวิญญาณทองคำที่เตรียมไว้ให้พวกเขาทั้งสองคน แต่ตอนนี้…
“ผู้ชนะ สวีหยางอี้จากนครอวี๋หยาง”
ความไม่เต็มใจสะกดอยู่ภายในใจ สายตาเขากวาดมองไปที่ที่นั่งทรงคุณวุฒิ พบว่ามีเงาร่างมากมายลุกขึ้นพรวดพราดอย่างไม่ลังเลแล้ว!
——————————————————————————–
[1] เย่กูเฉิง คือตัวละครตัวหนึ่งในนวนิยายกำลังภายในเรื่อง หงส์ผงาดฟ้า ที่แต่งโดยโกวเล้
[2] ซีเหมินชุยเสวี่ย คือตัวละครตัวหนึ่งในนวนิยายกำลังภายในเรื่อง หงส์ผงาดฟ้า ที่แต่งโดยโกวเล้