“แปะๆๆ …” ผู้ชายวัยกลางคนท่าทางสุขุมในชุดสูทเรียบหรูลุกขึ้นปรบมือสุดแรง ในเวลาเดียวกัน พลังกดดันวิญญาณก็ปะทุขึ้นมาอย่างรุนแรงทันที!
ประหนึ่งคลื่นสมุทร ประหนึ่งสายลมแห่งขุนเขา ทำเอาสายตาของทุกคน ณ ที่แห่งนี้แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ขั้นจู้จี!
เป็นขั้นจู้จีอีกแล้ว!
ดวงตาเยือกเย็นของฉู่เทียนอีหรี่ลง เขาเคยได้ยินมาว่ามีผู้ฝึกตนขั้นจู้จีนับหมื่น แต่เคยเจอตัวเป็นๆ ยังไม่ถึงครึ่ง นึกไม่ถึงเลยว่าจะมีผู้ฝึกตนขั้นจู้จีอยู่ใกล้ตัวเองขนาดนี้!
เขาละมือออกจากแหวนอย่างเงียบๆ ในตอนนี้ไม่ว่าจะพูดหรือทำอะไรก็สายไปแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็สู้ไม่ทำอะไรเลยแล้วถือว่ามาให้กำลังใจหลานชายตัวเองแล้วกัน
“เก่งกาจสมคำร่ำลือ… สมคำร่ำลือจริงๆ!” ผู้ชายวัยกลางคนคนนี้มีใบหน้าทรงเหลี่ยม ไร้ซึ่งขนคิ้ว หัวล้าน มีรอยแผลเป็นปรากฏเด่นชัดบนหน้าผาก ตอนนี้ ใบหน้าที่ดูเหี้ยมโหดกลับผุดรอยยิ้มอันอ่อนโยนอย่างพิศวงขึ้น “ฉันคือเลขานุการประจำตัวของฝู่หยุนเจินเหริน ในการนี้ขออนุญาตเป็นตัวแทนฝู่หยุนเจินเหรินกล่าวแสดงความยินดีต่อชัยชนะที่กล้าหาญของคุณสวี สามารถเรียกฉันได้ว่าจู๋เยว่”
“กึกๆ!” เมื่อเขาพูดจบ ติงเซียง ฝูหรง และทูจิ้วแทบจะกัดฟันอันมันวาวจนแตกละเอียด
และแล้วเรื่องที่พวกเขากังวลที่สุดก็เกิดขึ้นจนได้!
ใครกันที่สามารถมีศักดิ์ทัดเทียมกับสามองค์กรยักษ์ใหญ่ได้?
นอกจาาสำนักของจินตันเจินเหรินเองแล้วจะเป็นใครได้อีก!
ลองฟังดูเองแล้วกัน ประโยคที่ว่า “เป็นตัวแทนฝู่หยุนเจินเหรินกล่าวแสดงความยินดี” มันหมายความว่าอย่างไร?
แบบนี้มันเป็นการประกาศบอกอีกฝ่ายอย่างชัดเจนว่าข้าสนใจเจ้า จงรีบมาอยู่กับข้าเร็วๆ
ผู้ฝึกตนขั้นเลี่ยนชี่ที่เพิ่งออกจากเพิงซอมซ่อ เมื่อได้ยินคำว่าจินตัน มีหรือที่จะไม่ตะบึ่งเข้าหา?
“เป็นดั่งที่สหายพูด” อิ่งซามองไปยังด้านในกำแพงพลังปราณอย่างเรียบนิ่ง ก่อนคลี่ยิ้ม “ที่แท้สหายก็คือจู๋เยว่ หนึ่งในศิษย์เอกทั้งสิบของฝู่หยุนเจินเหรินนี่เอง ทุกคนต่างรู้ดีว่าฝู่หยุนเจินเหรินคัดเลือกลูกศิษย์เข้มงวดยิ่งนัก จึงเป็นเหตุให้ตั้งแต่ขั้นเลี่ยนชี่ไปจนถึงขั้นจู้จีต้องเลี้ยงดูแบบปล่อยปละละเลย และต้องดิ้นรนไปจนถึงขั้นจู้จีด้วยตัวเองกว่าจะได้เข้าสำนัก เฉกเช่นอย่างตัวสหายเอง ที่ดิ้นรนไต่เต้าจากผู้คนนับหมื่นแสนจนกว่าจะได้ขึ้นเป็นอันดับต้นๆ”
เมื่อคำพูดพวกนี้พูดออกไป คนที่อยู่บนที่นั่งทรงคุณวุฒิต่างพากันจ้องมองอิ่งซาที่สีหน้าท่าทางมั่นใจด้วยสายตาประหลาดใจ
จะว่าอย่างไรดี… คนๆ นี้ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นคนที่เคร่งขรึมพูดน้อย แต่เมื่อเขาพูดคำพูดพวกนี้ออกมา พวกเขาถึงได้รู้ความหมายที่แท้จริงของสำนวนที่ว่า หมาที่กัดคนมักไม่เห่า แต่เมื่อมันกัดก็กัดจนเลือดตกยางออก
เท่าที่ได้ยินมา… ก่อนอื่น ฝู่หยุนเจินเหรินก็มีศิษย์เอกสิบคนอยู่แล้ว แล้วจะจัดสรรทรัพยากรอย่างไรให้เสมอภาค? จริงอยู่ที่ราชวงศ์ฉินสักการะท่านฝู่หยุน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสักการะลูกศิษย์ของเขาด้วย ประการต่อมา ผู้ฝึกตนตั้งแต่ขั้นเลี่ยนชี่ถึงขั้นจู้จีล้วนถูกเลี้ยงดูอย่างปล่อยปละละเลย แล้วสวีหยางอี้ที่เพิ่งอยู่ในระดับต้นจะไปที่นั่นให้ได้อะไร? ประการที่สาม ผู้ฝึกตนขั้นเลี่ยนชี่ที่ต้องการเข้าสำนักของฝู่หยุนเจินเหรินก็มีเป็นแสนๆ คนอยู่แล้วไม่ใช่หรือ? ไม่สิ… นี่เป็นแค่ตัวเลขที่ประมาณมานานแล้ว…
คำพูดสวยหรู แต่ความเป็นจริงขัดแย้ง ต่อให้สวีหยางอี้ได้ยินคำพูดเชื้อเชิญพวกนี้จนใจร้อน แต่ถ้าได้ยินคำพูดอิ่งซาถึงขนาดนี้ ก็คงต้องรู้แจ้งได้สติขึ้นทันที โดยเฉพาะใจความที่ว่าต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก
คำพูดของอิ่งซา… ช่างเป็นการพูดเสียดสีได้อย่างเรียบนิ่งเสียจริง
ภายในกำลังพลังปราณ สวีหยางอี้กำลังนั่งขัดสมาธิฟื้นฟูพลังปราณอยู่ การต่อสู้เมื่อครู่ มีแค่ตัวเขาเองเท่านั้นที่รู้ว่าบาดแผลตัวเองสาหัสเพียงใด ตอนนี้ราวกับกระดูกทุกท่อนแตกหัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกลิ่นหนังไหม้ตามผิวหนัง ตัวเขาในตอนนี้แทบอยากจะกระชากฉู่เจาหนานขึ้นมาชกสั่งสอนสักตั้ง แต่เห็นสภาพอีกฝ่ายหมดสติ เขาก็ได้แต่เก็บไว้ในใจ
เขาไม่รู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นข้างนอกแม้แต่น้อย ตอนนี้สัมผัสรับรู้ต่างๆ กำลังเลือนหายไปเรื่อยๆ มีเพียงอณูปราณในอากาศเท่านั้นที่เป็นสารบำรุงที่เขาต้องการที่สุด
เขาไม่ได้ตั้งใจฟังอะไรทั้งนั้น… ตัวเองยังไม่ออกไป กำแพงพลังปราณยังไม่เปิดออก ด้านนอกที่ดูเหมือนสงบสันติ แต่ในความเป็นจริงกลับเริ่มแกร่งแย่งกันอย่างเงียบๆ แล้ว
ตอนนี้ พวกติงเซียงทั้งสามคนไม่มีบทพูดแล้ว ภายในใจเกิดร้อนรนดั่งไฟสุม หากสวีหยางอี้อ่อนแอกว่านี้สักหน่อยก็คงจะดี แต่การต่อสู้นี้กลับทำให้เหลือศิลาหินของเมี่ยรื่ออยู่แท่นเดียว ซ้ำยังเกิดรอยแตกร้าวขึ้นอีก คงไม่มีเวลามาใจเย็นรักษาภาพลักษณ์แล้ว!
รุ่นพี่ขั้นจู้จีคนแล้วคนเล่าต่างงัดทุกอย่างที่มีออกมาต่อรองอย่างจริงจัง คำพูดแต่ละประโยคฟังดูนิ่งเฉยแต่กลับแฝงด้วยวาจาหลักแหลม หากไม่ลงมือต่อรอง แล้วจะมีอะไรตกถึงท้องพวกเขา?
“รุ่นพี่ครับ” ทูจิ้วใจแข็งใจประสานมือเอ่ยขึ้นทันที “ตอนนี้ผู้ชนะทั้งสองต่างบาดเจ็บกันไม่น้อย ไม่สู้นำพวกเขาออกมาก่อนหรือ? ทางตู้มหาสมบัติได้เตรียมยาเหลวล้ำค่าไว้เพื่อการณ์นี้โดยเฉพาะ ไม่งั้น…”
“มีเหตุผล” ไม่มีแววตาข่มเหงอย่างที่เขาคิดไว้ และเขาก็ยิ่งคิดไม่ถึงว่าหั่วหยุนก็ปรบมือเรียกสติขึ้นเป็นคนแรก “แต่ว่า… ทำอะไรไม่ได้”
“กำแพงพลังปราณ ใช่ว่าสั่งให้หายแล้วมันจะหายไป คนที่ร่ายพลังนี้อย่างฝู่หยุนเจินเหรินไม่ได้อยู่ที่นี่ พลังนี้เป็นพลังป้องกันที่ถูกตั้งเวลาเอาไว้ และฉันก็ตั้งเวลาไว้หนึ่งชั่วโมง…” เขาถอนหายใจอย่างเสียดาย ดูเหมือนจะพูดบางอย่างขึ้น แต่ก็ได้แต่ส่ายหัว
ติงเซียงตกตะลึง
ทูจิ้วอึ้งงัน
ริมฝีปากฝูหรงสั่นระริก
บัดซบ!
ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่ได้พูดประโยคดังกล่าวออกไป ทุกคนต่างใช้สายตาที่สื่อเป็นนัยว่า “แถหน้าด้านๆ” มองไปยังหั่วหยุนที่เอามือไพล่หลังมองอยู่กำแพงพลังปราณอย่างสบายอารมณ์
นี่เป็นการบ่งบอกอย่างชัดเจนแล้วว่า หั่วหยุนไม่ยอมปล่อยให้สวีหยางอี้ออกมา!
“แน่นอน ฉันได้คาดการณ์กรณีนักเรียนได้รับบาดเจ็บสาหัสไว้แล้ว ตอนที่ฉันออกท่องโลกเรียนรู้ ฉันเคยเรียนวิชาเวทย์ฟื้นฟู ชื่อวิชาเรียกได้ง่ายดายยิ่งนัก ก็แค่เวทย์สรรค์สร้าง พอลองหาข้อมูลดูหลังจากนั้น…” หั่วหยุนส่งเสียงตัวเองผ่านกระแสพลังปราณที่วนเวียนอยู่ทั่วทั้งสังเวียน เขายิ้มกริ่มพลางกวาดมองทุกคน “ก็พบว่าเป็นวิชาเวทย์ระดับ A ที่อยู่ในหอพระคัมภีร์ของเทียนเต้า อีกทั้งยังเป็นวิชาเวทย์เสริมพลัง ดังนั้นฉันจะทำการรักษาสองคนนี้ ด้วย ตัว เอง”
น้ำใจเช่นนี้
ช่างดูเสแสร้งหน้าไม่อาย
นี่เป็นการแสดงออกถึงเจตนาที่เด่นชัด
บรรดาผู้ฝึกตนด้านล่างและผู้ชมที่นั่งอยู่ที่นั่งทรงคุณวุฒิต่างพากันละเหี่ยใจ เพราะเป็นไปอย่างที่พวกเขาคิด ผู้ฝึกตนที่มีชีวิตมายาวนานเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้ว่าเวลาไหนควรหน้าด้านและสลัดข้อจำกัดทุกอย่างทิ้ง
“เหอะๆ …” อิ่งซาหัวเราะแห้งๆ ออกมา ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ แต่เหมือนหั่วหยุนจะได้ยินอีกฝ่ายกัดฟันกรอด “ไม่ได้เจอสหายหั่วหยุนมานาน ไม่นึกว่าจะเรียนแก่นความรู้ของคุณหลี่เป่าเจียได้แตกฉานขนาดนี้”
หลี่เป่าเจีย ผู้ประพันธ์นวนิยายการเปิดเผยของวงทางการ[1] หนังสือที่เป็นที่มาของคำว่าน่ารังเกียจ
“พูดได้ดี” หั่วหยุนไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย ตอนนี้ยังต้องรักษาภาพลักษณ์อยู่อีกเหรอ? ไม่เห็นแววตาอยากได้อันมันวาวของคนทั้งสนามหรือไง? แต่นี่ไม่ใช่โลกในนิยายที่ผู้ใดหมัดใหญ่แล้วจะได้เป็นราชา นี่มันยุคสมัยใหม่แห่งการฝึกตนอันซิวิไลซ์ เป็นยุคสมัยที่ผลประโยชน์ ทรัพยากรและช่องทางต่างๆ ล้วนสามารถส่งผลต่อภาพรวมได้ทั้งหมด ดังนั้น แม้ผู้ฝึกตนขั้นจู้จีจะสามารถวางท่ากดดันผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ในสนามได้ แต่พวกเขาก็ไม่อาจมองข้ามความเห็นของผู้ฝึกตนขั้นเลี่ยนชี่เป็นหมื่นๆ คนได้ มิเช่นนั้น อัยการหลี่แห่งศาลผู้ฝึกตนที่วันๆ จ้องเล่นผู้ฝึกตนอันธพาลขั้นจู้จีคงสั่งปรับพวกกันจ้าละหวั่นเป็นแน่!
ทว่าในเวลาแบบนี้ ต้องมารักษาภาพลักษณ์หรือไว้หน้ากันด้วยเหรอ?
มือของเขาโบกขึ้นเบาๆ ทันใดนั้น ตัวหนังสือหนึ่งในใต้หล้าก็ส่องแสงสว่างจ้าขึ้นกลางอากาศ จากนั้น ประกายแสงอณูปราณก็โปรยปรายลงมาบนร่างกายของพวกเขาทั้งสองอย่างอ่อนโยน
“สหายสวี สหายฉู่ดีขึ้นไหม?” คนอื่นๆ ยังไม่ทันตอบสนอง เขาก็ถือโอกาสยิ้มแย้มเอ่ยถามทันที
ไม่มีเสียงตอบกลับ แต่ผู้ฝึกตนขั้นจู้จีอย่างหั่วหยุนกลับไม่โมโหแม้แต่น้อย ตอนนี้อาจะพูดได้ว่า ความหงุดหงิดโมโหไม่มีอยู่ในพจนานุกรมของเขาแม้แต่น้อย เขาเดินยิ้มพร้อมก้าวเข้าไปหนึ่งก้าว เอามือไพล่หลังพลางพูดขึ้นเสียงสดใส “สลายสวี นี่เป็นวิชาเวทสรรค์สร้างลับของฉัน ดูเผินๆ เหมือนง่าย แต่เป็นองค์ความรู้ลี้ลับ และฉันก็ได้เสริมประสิทธิภาพเข้าไปอีกระดับเพื่อสหายตัวน้อยทั้งสอง ยังมีตรงไหนที่รู้สึกไม่สบายอยู่อีกไหม?”
อืม… ก็จริงอยู่ที่ในยุคสมัยศรีวิไล ต้องปฏิบัติต่อผู้คนอย่างสุภาพ เพราะนี่เป็นพัฒนาการของระบบสังคม
แต่ทำไม… การกระทำของหั่วหยุนมันช่างดูหมั่นไส้น่าเตะแบบนี้?
ทำเอาบรรดาผู้ฝึกตนขั้นจู้จีรอบๆ รู้สึกคลื่นไส้เหมือนกินซากแมลงวันก็ไม่ปาน พร้อมใช้สายตาที่ไม่ค่อยเป็นมิตรมองไปยังหั่วหยุน
ผ่านไปอยู่หลายวินาทีถึงได้ยินเสียงของสวีหยางอี้เปล่งขึ้น “ขอบคุณครับรุ่นพี่ บาดแผลฟื้นฟูพอประมาณแล้ว แต่ในร่างกายยังไม่มีพลังปราณ”
“ไม่เป็นไร เมื่อครู่พวกนายสองคนใช้พลังปราณไปจนหมด มันไม่ใช่เรื่องที่จะฟื้นฟูได้ภายในเวลานิดหน่อย ฉันรู้จักปรมาจารย์ด้านคาถาค่ายกล ฉันเคยเชิญเขามาร่ายค่ายกลหลอมปราณระดับสูง หากสหาย…”
“อะแฮ่ม…” ในที่สุด จู๋เยว่ก็ทนไม่ได้ ไม่ต้องมีมารยาทมันแล้ว! เขาออกแรงไอกระแอมขัดจังหวะเชื้อเชิญของหั่วหยุน ก่อนถลึงตาใส่เขาพลางเปล่งเสียงพูด “สหายตัวน้อย นายรู้หรือไม่ว่ารางวัลครั้งนี้คืออะไร?”
ไม่รอให้สวีหยางอี้เอ่ยตอบ เขาก็เผยรอยยิ้มขึ้นทันที “มันคือ ‘คัมภีร์ลับพรหมเทวสูตร’ ที่ท่านฝู่หยุนใช้ฝึกตน!”
“ซูด…” เมื่อประโยคนี้พูดออกมา ผู้ฝึกตนทั่วทั้งสนามต่างพากันเสียววาบขึ้นมาทันที แม้กระทั่งหั่วหยุน อิ่งซา และผู้ฝึกตนที่มีชื่อเสียงก็ต่างหันไปมองเขาอย่างไม่อยากเชื่อ
ยุทธเวทคือพื้นฐานของผู้ฝึกตน สิ่งที่มีสอนในเทียนเต้ามีแต่วรยุทธ์ร้อยกระบวนท่าเท่านั้น ซึ่งเราก็สามารถเห็นความสำคัญของยุทธเวทได้จากการต่อสู้ของสวีหยางอี้กับฉู่เจาหนาน
วิชายุทธเวทที่สมบูรณ์ควรมีด้วยกันห้าทักษะหลักๆ ได้แก่ทักษะฝึกบำเพ็ญ ทักษะโจมตี ทักษะป้องกัน วิชาหลบหนี และวิชาอาคม ห้าทักษะรวมกันถึงจะเรียกว่ายุทธเวทที่แท้จริง!
วิชายุทธเวทที่สมบูรณ์ว่าหายากแล้ว วิชายุทธเวทระดับสูงที่สมบูรณ์ยิ่งหายากกว่า! และคัมภีร์ลับพรหมเทวสูตรก็เป็นหนึ่งในห้าสิบมหาวิชายุทธเวทที่โด่งดังไปทั่วหวาซย่า!
มีเพียงวิชายุทธเวทที่ผู้ฝึกตนขั้นจู้จีระดับสมบูรณ์และจินตันเจินเหรินใช้ฝึกเท่านั้นที่จะถูกระบุอยู่ในห้าสิบมหาวิชายุทธเวท เพราะว่าวิชายุทธเวทพวกนี้ อย่างน้อยก็พิสูจน์ได้ว่าสามารถนำไปสู่การบรรลุจุดสูงสุดของขั้นจู้จีได้!
แต่ว่า… คัมภีร์ลับพรหมเทวสูตรไม่เหมือนกัน เนื่องจากผู้ที่ใช้มันเป็นฝู่หยุนเจินเหริน และยังเป็นถึงผู้ฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ขั้นจินตันระดับปลาย!
หรือพูดได้ว่า…
นี่เป็นวิชายุทธเวทฉบับสมบูรณ์ไร้ที่ติที่นำไปสู่ขั้นจินตันระดับปลายได้อย่างไร้อุปสรรค!
ขณะที่กำลังบ่มเพาะพลังปราณอยู่ สวีหยางอี้ถึงกับเบิกตาโพลง ต่อให้เป็นเขาเองก็ยังอดตกตะลึงกับยอดฝีมืออย่างฝู่หยุนเจินเหรินไม่ได้
ก่อนหน้านี้เขาคิดว่ารางวัลน่าจะเป็นยาเหลวบำรุงวิญญาณ หรือไม่ก็วัตถเวทมนตร์ที่ทรงพลังสักชิ้น แม้ว่าจนถึงตอนนี้เขาจะยังไม่เคยเห็นหน้าตาของวัตถุเวทมนตร์ก็ตาม บางทีอาจจะเป็นเหมือนของในมือฉู่เจาหนานก็เป็นได้ แต่ตอนนี้ฉู่เจาหนานคงให้คำตอบเขาไม่ได้
“ในบรรดารายชื่อคัมภีร์ลับ… คัมภีร์ลับพรหมเทวสูตรเป็นคัมภีร์รายชื่อที่ยี่สิบเจ็ด…” ตอนนี้ บรรยากาศบริเวณอัฒจันทร์หมื่นที่นั่งเงียบกริบ ผู้เฒ่าที่เป็นผู้นำตระกูลคนหนึ่งขยับคางที่ไว้เคราสีขาวพูดขึ้นเสียงกระเส่า “ไม่นึกเลยว่ารางวัลครั้งนี้จะเป็นสิ่งของล้ำค่าขนาดนี้… คัมภีร์ลับเล่มนี้ อีกทั้งเป็นของคนผู้นี้อีก…”
ดวงตาเขาแดงเรื่อขึ้นมาทันที ความหมายเป็นที่รู้กัน! แบบนี้เท่ากับว่า หากสวีหยางอี้ไม่ฝึกตนจนตัวตายไปกลางคันเสียก่อน ขั้นจินตันก็มีหวัง!
จากผู้ฝึกตนเป็นล้านคน มีขั้นจินตันเพียงสิบคน! สมยานามนี้เป็นความหวังที่พวกเขาพร้อมจะเสียสละทั้งหมดมาเดิมพัน!
ไม่ว่าตระกูลไหน หากมีผู้ฝึกตนขั้นจินตันเพียงคนเดียว ต่อให้รากเหง้าของตระกูลจะมาจากโคลนตม วินาทีต่อมาก็สามารถมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาได้! ตัวสวีหยางอี้คิดไม่ถึงเลยว่านี่จะเป็นคุณสมบัติแห่งการฝึกตนที่โลกผู้ฝึกตนแกร่งแย่งกัน… นั่นก็คือ พลังยุทธเวท!
——————————————————————————–
[1] นวนิยายการเปิดเผยของวงทางการ (ฉบับแปลภาษาอังกฤษ Officialdom Unmasked) ประพันธ์โดย Li Bao Jia ในสมัยราชวงศ์ชิงตอนปลาย เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับความทุจริตและการสลายตัวของระบบราชการในสมัยราชวงศ์ตอนปลายที่กำลังเสื่อมลง เป็นนวนิยายที่ต้องการดึงดูดให้ผู้คนต่อต้านระบบราชการที่ทุจริต