“เจ้าพูดบ้าอะไร? ” ติงหลันย่างสามขุมเข้าหา นิ้วมือขาวระหงทั้งห้าขยับเล็กน้อย ใบหูของฉินจิ่วเกอก็ถูกบิดจนเปลี่ยนรูป
ฉุกคิดขึ้นมาได้ ตอนนี้ตัวเองปลอมเป็นซ่งเล่อประตูหายนะอยู่ ฉินจิ่วเกอที่ตระหนักแจ้งจึงรีบปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ “ช้าก่อน ขอเวลาข้าสวมถุงเท้ารองเท้าสักสองนาที แล้วข้าจะออกไปเดินเล่นเป็นเพื่อนเจ้า”
ฉินจิ่วเกอมือหนึ่งลูบหู อีกมือยันตัวออกจากเตียงด้วยสีหน้าขื่นขม
หากเปลี่ยนเป็นหลงเฟิง ฉินจิ่วเกอย่อมเตะมันลงหลุมถ่ายไปแล้ว
แต่นางคือติงหลัน แม้สตรีนางนี้จะอารมณ์ฉุนเฉียวสติปัญญาขาดแคลนบุคลิกบกพร่อง
แต่สตรีนางนี้กลับเป็นที่รักที่ชอบของผู้คน บุปผาเห็นบุปผาบาน เป็นความงามที่เทพเซียนเห็นแล้วยังต้องอึดอัดไม่สบายใจ
หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นที่คิดติดสอยห้อยตามนางย่อมต้องไม่มีโอกาส ฉินจิ่วเกอปลอบใจตัวเองเช่นนี้ พลางจัดการตัวเองเตรียมรับศึกให้ดี
เมืองอวี่เกอที่สร้างเสร็จแล้วเริ่มส่อแววเจริญมั่งคั่ง
บนถนนมีทั้งรถลากคนสัญจรเทียวไปเทียวมาไม่ขาดสาย การซื้อขายในตลาดต่างก็ใช้ศิลาวิญญาณหรือโอสถสมุนไพรเป็นการแลกเปลี่ยนซื้อขาย สินค้าท้องถิ่นแต่ละพื้นที่มีให้เลือกสรรมากมายไม่ซ้ำแบบ
ตอนที่ติงหลันยังพำนักอยู่ในหุบเขาเพลิงราชัน นอกจากการฝึกวิชา น้อยนักที่จะได้เห็นบรรยากาศครึกครื้นของย่านการค้าเช่นนี้ จึงรู้สึกสงสัยใคร่รู้ไม่น้อย
ภายในเมือง ไม่มีใครกล้าแหกกฎ
ประมุขหยางเข้ารายงานต่อฉินจิ่วเกอว่าสามกองกำลังเดินทางมาถึงในเมืองภายใต้การนำของหัวหน้ากองกำลังตั้งแต่เมื่อวานแล้ว
พวกมันเปรียบเหมือนอสรพิษที่ลอบแว้งกัดอยู่ในเงามืด เตรียมพร้อมที่จะจู่โจมบรรพตสละฟ้าได้ตลอดเวลา
สงครามมิอาจหลีกเลี่ยง ฉินจิ่วเกอเดินไปพลางขบคิดถึงอนาคตของบรรพตสละฟ้าไปพลาง หากจะพัฒนาให้เติบโต แค่รั้งอยู่ในขอบเขตชายแดนร่วมหมื่นลี้นี้เห็นทีจะเล็กแคบเกินไป เมืองเทียนเอินที่กินอาณาเขตร่วมล้านลี้ต่างหากจึงจะนับว่าคู่ควร
“นี่ แซ่ซ่ง” ติงหลันกวักมือเรียกฉินจิ่วเกอให้มาหา ไม่วายยังถลึงตาใส่มันอีกหลายครา
ฉินจิ่วเกอยกมือนวดหน้า รู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง เอ่ย “ติงหลัน ไม่สู้เจ้าเรียกข้าว่าฉินปาเตายังจะดีกว่า นามซ่งเล่อนี้ ไม่สอดคล้องกับบุคลิกภาพอันเฉิดฉายของข้าพเจ้าเลยแม้แต่น้อย”
“ข้าว่าเจ้านี่ช่างเหนื่อยหน่ายกับชีวิตเหลือเกิน คนอะไรมีตั้งสามชื่อ ไหนๆ ยามอยู่ที่นี่เจ้าก็มีหน้ามีตาน่าดู ไม่ให้ข้าเรียกเจ้าฉินจิ่วเกอยังประเสริฐกว่า? ”
“อย่า อย่า! ” ฉินจิ่วเกอร้อนรนจนเผลอยกมือปิดริมฝีปากจิ้มลิ้มของติงหลันเข้าโดยไม่ตั้งใจ ผลก็คือโดนเหยียบเท้าเข้าอย่างจัง
ฉินจิ่วเกอกุมเท้ากระโดดเหยงๆ อยู่กับที่ สูดปากอย่างเจ็บปวด “ท่านน้าผู้สูงส่ง อย่าได้เรียกหานามฉินจิ่วเกอเป็นอันขาด ระวังจะถูกฟ้าลงทัณฑ์ไม่รู้ตัว ยามเราออกไป เรียกข้าฉินปาเตา ไม่สิ เรียกซ่งเล่อตามเดิมนั่นแหละดีแล้ว แซ่ฉินตอนนี้อัปมงคลยิ่ง”
ภายในเมือง สี่ประมุขขุนเขาเริ่มต้นโครงการสารพัดสารพัน ทั้งหมดล้วนเป็นไปในนามประมุขน้อยฉินจิ่วเกอ 一ชั่วระยะเวลาหนึ่ง คนในเมืองต่างนึกว่าฉินจิ่วเกอเป็นเทวดาไปแล้ว และก็เพราะการผูกขาดการค้าห้าธัญญะคืนธรรมชาติของบรรพตสละฟ้าด้วย
กล่าวได้ว่า นามฉินจิ่วเกอได้ปล่อยกลิ่นเหม็นโฉ่ไปทั่วทั้งเมืองอวี่เกอแล้ว คนที่ชมชอบมันต่อให้พลิกแผ่นดินหาก็ยังไม่เจอ ส่วนคนที่อยากจับเจ้าเด็กอำมหิตผู้นี้มาถลกหนังทั้งเป็นกลับมีมากมายเกลื่อนล้น เรียกได้ว่าน่าตื่นตะลึงโดยแท้
ติงหลันไม่เข้าใจ นี่มันก็แค่ชื่อ บุตรีใหญ่หุบเขาเพลิงราชันแสนเกรียงไกร มีหรือจะเคยกลัวเรื่องทำนองนี้ “ถ้าข้ายืนกรานจะเรียกฉินจิ่วเกอซะอย่าง แล้วเจ้าจะทำอย่างไรข้าได้”
ในใจฉินจิ่วเกอภาวนาสวดมนต์ให้อีกฝ่ายหลายบทตอน จากนั้นเบิกตากว้างอย่างไร้เดียงสา “ข้าเป็นแค่ศิษย์ฝ่ายในประตูหายนะเล็กๆ คนหนึ่ง ไหนเลยจะกล้าคิดร้ายต่อท่านเทพผู้สูงส่งเช่นท่าน เพียงแต่ถ้าเป็นผู้อื่น ข้าไม่รับประกัน สรุปคือตอนอยู่ในเมืองอวี่เกอท่านจะต้องเลี่ยงคำแซ่ฉินนี้เข้าไว้”
“ทำไม? ” อีกฝ่ายไปข่มขืนสุนัขบ้านไหนเข้า หรือไม่ก็ไปล่อลวงภรรยาบ้านใดเข้าหรือไงถึงได้ห้ามพูดห้ามเอ่ยแบบนี้
ฉินจิ่วเกอทอดถอนใจ เอ่ยเสียงละห้อย “โลกเย็นชา คนแล้งน้ำใจ คนที่พรสวรรค์เป็นเลิศรูปโฉมไม่เป็นรองใครเช่นข้ากลับเป็นศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมฟ้ากับบุรุษทุกคนในเมือง อิสตรีพวกนั้นทั้งรักทั้งหลงข้าจนต้องฉุดแย่งกันอยู่บ่อยครั้ง พลอยทำให้ผู้ไม่เกี่ยวข้องต้องโดนลูกหลงไปด้วย ข้าเลยสาบานว่าจะไม่มีวันเปิดเผยนามเดิมอีกแล้ว”
“เพ้อเจ้อ”
ติงหลันมือเท้าสะเอว ดวงตากลมโตถลึงจ้อง คิ้วงามเลิกสูง นางยังคงไม่ยอมเชื่อว่านามเพียงนามเดี๋ยวจะสามารถก่อกวนคลื่นลมภายในเมืองที่มีประชากรนับแสนขึ้นมาได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจ้าของนามทั้งวรยุทธ์ต้อยต่ำสติปัญญาต่ำเตี้ย หากเปลี่ยนเป็นสัตว์ประหลาดเฒ่ากฎสรรพสิ่งยังพอทำเนา แต่มันก็แค่พิสุทธิ์ไพศาลที่หากนำไปไว้ในพรรคนาง ยังทำได้แค่กวัดแกว่งที่โกยผงไปมาเทือกนั้น
ติงหลันสองมือป้องปาก สูดลมหายใจเข้าลึก ตระเตรียมตะโกนให้โลกรู้
ฉินจิ่วเกอตาค้างกับภาพหนองโพที่พองตัวขึ้น คาดว่าแม่คงให้มาดี แล้วจู่ๆ ตรงจมูกก็รู้สึกถึงของเหลวอุ่นวาบ จึงรีบสูดลมหายใจกลับเข้าไป
ฉินจิ่วเกอที่ยืนอยู่หลังติงหลันรีบหมุนตัวกลับแล้ววิ่งเข้าไปหลบอยู่ในตรอก ดูเหมือนว่าจุดบกพร่องสามประการที่มันมอบให้นางยังขาดไปอีกหนึ่งประการ นั่นคือชอบแกว่งเท้าหาเสี้ยน
กล้าเรียกขานชื่อจริงของมัน เมืองอวี่เกออันกว้างใหญ่แห่งนี้ ย่อมมีที่ให้นางได้วิ่งจนขาลากแน่
“ฉินจิ่วเกออ! ” โฉมงามมุมถนนพลันแหกปากเรียกขานนามใส่ฝูงชนที่คราคร่ำเต็มท้องถนน
อากาศอบอุ่น บรรยากาศน่าประทับใจมิรู้ลืม สายลมทิวทัศน์งาม คนหรือก็ยิ่งงาม ยิ่งเติมแต่งทัศนียภาพให้น่ามองขึ้นอีกหลายส่วน
ติดก็แค่นามที่ถูกเปล่งออกมาจนเส้นเสียงแทบขาดนี้ดูคล้ายเป็นสิ่งอัปมงคลเหลือรับ เสมือนเอาก้อนหินมาทุ่มใส่บานกระจกหยกจนแตกกระจาย
เสียงยังไม่ทานจางหาย ติงหลันก็ลดมือลงอย่างเก้อเขินอยู่บ้าง คลื่นมวลชนที่ขยับเข้าออกย่านการค้ามาตลอดอยู่ๆ ก็กลายเป็นชะงักค้าง ภาพที่คนหลายร้อยหยุดการกระทำทุกอย่างแล้วใช้นัยน์ตานับไม่ถ้วนจ้องมองมาที่ท่านนั้นจะน่าขนลุกสักเพียงไหน
เสียงลมหายใจห้วนสั้นดังกระหึ่มไปทั่วท้องถนน ตลอดทั้งเมืองอวี่เกอพลันจับตัวแข็งค้างเพราะคำสามคำนี้
ติงหลันรู้สึกอึดอัดไม่สบายใจอยู่บ้าง มองไปข้างหลัง ไม่รู้ว่าเจ้าหมอนั่นหายหัวไปตั้งแต่ตอนไหน ตระหนักว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี ติงหลันใช้มือดึงแก้มอย่างแข็งทื่อ “คือจะบอกว่ามันทำแหวนมิติหล่น”
“อา! ” คนหลายร้อยส่งเสียงเซ็งแซ่ ผิวน้ำนิ่งสงบเริ่มเปลี่ยนเป็นเดือดพล่าน ฟองอากาศเดือดปุดๆ จนลวกผิว
“เป็นนามที่คุ้นหูอะไรอย่างนี้ ในใจอยู่ๆ ก็รู้สึกเคียดแค้นขึ้นมา”
“ข้าเองก็ด้วย เหมือนว่าเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน คลับคล้ายคลับคลาว่าเทียบกับผู้ฝึกวิชาปีศาจแล้วยังสารเลวยิ่งกว่า”
“อ๊า ข้านึกออกแล้ว เป็นมันนั่นเอง! ”
คนทั้งหมดจับกลุ่มกระซิบกระซาบกันอยู่สักพัก แล้วจู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกัน หันมาถลึงตาใส่ดรุณีน้อยที่เป็นตัวต้นเสียงเป็นตาเดียว
“ข้าเรียกหาฉินจิ่วเกอ ไม่ได้เรียกหาพวกเจ้าซะหน่อย หรือพวกเจ้าเองก็แซ่ฉินกับเขาด้วย? ” ติงหลันรู้สึกเก้กังจนไม่รู้จะวางไม้วางมือไว้ตรงไหนแล้ว ดูเหมือนว่าตนจะเจอตอเข้าให้แล้ว อย่าบอกนะว่าที่นี่เขาไม่ให้เอ่ยถึงนามแซ่ฉินนั่นจริงๆ ?
“ฉินจิ่วเกอ ฉินจิ่วเกอ! ” พายุแห่งโทสะเริ่มตั้งเค้าบนศีรษะของทุกคน จากนั้นคลื่นมนุษย์ก็เคลื่อนตัวเข้าหาติงหลันอย่างน่าขนลุก สีหน้าของพวกมันแต่ละคนเต็มไปด้วยความดาลเดือด
“บัดซบ ไอ้คนแซ่ฉินนั่นไปมุดหัวอยู่ที่ไหน? ” มีคนตะคอกมา แกว่งหมัดแกว่งเท้า หน้าแดงก่ำจากอารมณ์ที่เดือดปะทุ
เกิดเสียงแตกหักคราหนึ่ง ที่แท้มีคนพังประตูที่ปลดปล่อยห้าธัญญะคืนสังสารออกมา
มือยังกุมเข็มขัดกางเกงเอาไว้ คล้ายเพิ่งกลับมาจากสนามรบทั้งๆ ที่ยังไม่เสร็จธุระดี
พบเห็นคนผู้นั้นมือหนึ่งกุมกางเกง ปากส่งเสียงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ปลายจมูกพ่นออกมาเป็นมังกรอสนีพิโรธสองสาย “ไอ้คนแซ่ฉินนั่นอยู่ไหน บิดาจะเจี๋ยนมันทั้งเป็นเลยคอยดู! ”
แล้วก็มีคนแกว่งหมัดสบถสาบานออกมาว่า “ควานหาตัวมันให้เจอ แล้วเอาเลือดหัวมันออกมาชำระแค้น! ”
“ใช่ ชำระแค้น! ”
คนหลายร้อยเฮโลตามกันมา เริ่มตามหาตัวการต้นเรื่อง
ฉินจิ่วเกอทำหน้ามึนปะปนไปกับฝูงชน แต่ลดศีรษะลงต่ำ ปกปิดใบหน้า ปากก็ร้องปาวๆ ไปกับเขา ท่าทางกระเหี้ยนกระหือรือยิ่งกว่าผู้เสียหาย
ยิ่งหาตัวคนไม่เจอ ในใจก็ยิ่งทวีความคั่งแค้นดาลเดือด ก่อนพากันมาห้อมล้อมติงหลันไว้ “นางรู้จักฉินจิ่วเกอ จัดการ! ”
ซ่า แผละ ทั้งใบไม้ทั้งไข่เน่าต่างเทตัวกันลงมาดั่งห่าฝน บดบังฟ้าดินสุริยัน มุ่งหน้าไปในทางเดียว
แม้จะมีกฎว่าห้ามทะเลาะต่อยตีกันในเมืองอวี่เกอ แต่การปาไข่เน่าพืชผักสวนครัวถือว่าเป็นการขัดแย้งในแบบพลเรือน และดูคล้ายจะไม่นับเป็นอาวุธ ทุกคนล้วนเข้าใจตรงกันดี ราคาพืชผักกับข้าวทะยานแตะเพดาน ทางหนึ่งดื่มน้ำเดือด ทางหนึ่งถ่มถุยน้ำลาย เป็นพฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าไม่ขออยู่ร่วมฟ้ากับขุมอำนาจมืดเด็ดขาด
“ช่วยหนูด้วย! ” นางมารน้อยหุบเขาเพลิงราชันที่ไม่เคยต้องกริ่งเกรงต่อสิ่งใด ไหนเลยจะเคยเห็นรูปขบวนมืดฟ้ามัวดินเยี่ยงนี้มาก่อน
ฝูงชนนับร้อยหรือกระทั่งนับพันคน ต่างชี้นิ้วครหา โทสะท่วมท้นล้นฟ้า กับข้าวผักปลา มีตั้งแต่ไข่เน่าลามไปจนถึงขยะทุกประเภทกองระเกะระกะอยู่เต็มพื้นถนน บ้างกองสุมสูงทะลุกำแพงขึ้นไปก็มี เป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจถึงเพียงไหน
“ฉินจิ่วเกออยู่ตรงนั้น! ” ฉินจิ่วเกอบีบจมูกอำพรางเสียง เสาะหาตัวตายตัวแทนออกมามั่วๆ ได้คนหนึ่ง จากนั้นฉวยโอกาสที่ฝูงชนกำลังแตกฮือ รีบคว้าตัวติงหลันฝ่าวงล้อมหลบหนีออกมา
“มารดามัน จัดการ! !” ทุกคนต่างกรูกันเข้าหาแพะอับโชคตัวนั้น ไม่นานเสียงกรีดร้องโหยหวนก็ค่อยๆ จางหายไป
ฉุดดึงติงหลันวิ่งหลบหนีเป็นหมาตกน้ำ เสื้อผ้าหลุดลุ่ยแทบไม่มีชิ้นดี บนหัวยังมีเศษไม้ใบหญ้าเสียบติดอยู่ ในที่สุดก็วิ่งมาถึงที่ปลอดคน ฉินจิ่วเกอหยุดพักหายใจหอบฮั่ก เอนตัวไปด้านข้างหมายจะพักหายใจ
“แม่ร่วง! ” ฉินจิ่วเกอสะดุ้งมือยกชี้ฟ้ายืนเป็นท่ากระต่ายขาเดียว ขาซ้ายอยู่บนพื้น ขาขวายกขึ้นสูง ร่างเอนเอียงไปข้างหนึ่ง
ภายใต้แสงหรุบหรู่ที่ไม่ค่อยมี ยามหันหน้าไปทางติงหลัน กลับพบว่าสารรูปของนางยามนี้แทบจะไม่ต่างไปจากตอนที่มันพบเห็นนางครั้งแรกนั้นเลย
บนหน้ามีแต่เปลือกไข่ติดกรัง บนกระหม่อมมีผักเน่าวางแหมะอยู่ ส่งกลิ่นฉุนจมูกเหมือนถุงเท้าที่ดองไว้นานปี นอกจากนี้ยังมีแมลงวันหัวเขียวบินวนอย่างเริงร่า ก่อนจะถูกแม่สาวไทแรนโนซอรัสหัวรุนแรงผ่าแยกร่างออกเป็นส่วนๆ อย่างไม่ปรานี
ฉินจิ่วเกอยังรักษาท่าไก่ชน เท้าหนึ่งยืนค้ำพื้น โยกย้ายจุดศูนย์ถ่วงไปข้างหลัง “เห็นหรือยัง ไม่ฟังคำข้า ภัยเลยมาถึงตัว ข้าพูดจนปากเปียกปากแฉะว่าอย่าเอ่ยนามของข้าออกไปเด็ดขาด นามนี้ของข้ากระฉ่อนเลื่องลือเกินไป ง่ายต่อการเกิดเรื่อง”
ติงหลันหน้าดำเป็นเถ้าถ่าน ผ่านมาแค่สองวัน นางก็ต้องรับความอัปยศเสียโฉมติดๆ กันถึงสองครั้งครา ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่บุตรีใหญ่หุบเขาเพลิงราชันต้องทานรับความคับแค้นอัดอกถึงขนาดนี้ และที่สำคัญที่สุด ต้นเหตุที่ทำให้ตัวนางต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ก็คือเจ้าคนตรงหน้านี้เอง
ตูม!
พสุธาเขย่าสั่น ติงหลันเค้นพลังสุดเฮือกแล้วยันฝ่าเท้าลงไปที่เท้าซ้ายของฉินจิ่วเกอสุดแรง
“อ๊าาก! ” ถูกลอบทำร้ายกะทันหัน ยอดฝีมือกระเรียนทองของเราพลันกลับกลายเป็นนกขาขาด ร่างร่วงลงกับพื้นอย่างสิ้นท่า กลิ้งซ้ายกลิ้งขวาไม่ได้หยุด
“ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้าคนเดียว! ”
“บ๊ะ อย่าคิดว่าเพราะเจ้าเป็นอิสตรี เลยจะทำตัวไร้เหตุผลอย่างไรก็ได้ ข้าเองก็เป็นเหยื่อเหมือนกันตกลงไหม? แถมข้าก็พูดไม่รู้กี่รอบแล้วว่าชื่อเสียงข้าในเมืองอวี่เกอโด่งดังเกินไป แต่เจ้าก็ไม่ฟังเอง มีปัญญาเจ้าก็ไปทวงบัญชีกับพวกนั้นเองก็แล้วกัน”
“ยังจะไม่ใช่เพราะเจ้าทำเรื่องวุ่นวายอีกหรือ บอกมา! เหตุใดแซ่เจ้าถึงกลายเป็นฉินไปได้” ติงหลันโถมตัวเข้าใส่ฉินจิ่วเกอ สองมือกางแยก จากนั้นคว้าหมับลงที่หูซ้ายและหูขวาแล้วออกแรงดึงพร้อมๆ กัน
“โอ๊ยๆ นางตัวดี ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!”
“รนหาที่ตาย”
“เพ้ย ปู่น้อยเจ้ามีอาวุธด้ามทองอยู่เล่มหนึ่ง ขืนเจ้ายังไม่ยอมปล่อย ระวังจะถูกอาวุธด้ามทองเล่มนั้นทิ่มจนหน้าคะมำ”
สองมือปิดใบหู ศีรษะหมุนคว้าง ฉินจิ่วเกอพยายามสงบจิตใจ ไม่ให้ควักอาวุธประหารเล่มนั้นออกมาจัดการขั้นเด็ดขาด
“อ้อ อาวุธสีทองว่างั้น งั้นก็เอาออกมาให้ข้าดูเลยสิ” ติงหลันยังคงดึงหูฉินจิ่วเกอไม่ปล่อย สีหน้าของฉินจิ่วเกอยามนี้ไม่ต่างจากงิ้วเปลี่ยนหน้าในพิพิธภัณฑ์แม้แต่น้อย
ฉินจิ่วเกอเชิดมุมปาก จากนั้นตะคอกขู่ขวัญ “แม่ตัวดี รอให้ข้าเอาอาวุธด้ามทองเล่มนั้นออกมาก่อนเถอะ แล้วเจ้าจะได้เลือดตกยางออกแน่”
“งั้นข้าจะใช้กระบี่ทองคำเล่มนี้ตัดอาวุธสีทองของเจ้าให้ขาดไปเลย แน่จริงก็เอาออกมา! ”
ฉินจิ่วเกอพลันสำลักน้ำลายตัวเอง ต้องหายใจหายคออยู่ครึ่งค่อนวัน จึงค่อยเลื่อนมือลงไปป้องปิดอยู่ด้านล่าง แต่ทันทีที่เลื่อนมือ หูก็แทบขาด จึงได้แต่ยกมือขึ้นป้องปากอย่างไม่มีทางเลือก “รีบมาเร็ว! ผู้แซ่ฉินอยู่ตรงนี้ ฉินจิ่วเกออยู่ตรงนี้! ”
“เผ่นล่ะ! ” นางตัวดีหลบหนีไปไกลลิบ ไม่สนสหายร่วมศึกที่กำลังนอนเจ็บจนต้องหลั่งน้ำตาอยู่บนพื้น วิ่งหลบหนีเอาตัวรอดไปเพียงลำพัง
ฉินจิ่วเกอหัวเราะเสียงเย็น มุมปากกระตุกเชิด ตนได้สมญาคุณชายเจ้าสำราญหน้าหยก มีหรือจะจัดการเจ้าไม่ได้
“คนแซ่ฉินอยู่ไหน? ” มีคนวิ่งตามกลิ่นเหม็นโฉ่มา จากนั้นข่าวก็แพร่สะพัดลามทุ่ง เพียงพริบตาตรอกเล็กๆ แห่งนี้ก็แออัดไปด้วยกลุ่มคนอาวุธครบมือนับร้อย
มีทั้งฆ้อนหัวหนาม ตะขอคมปลาบ คทาแปดคม พลั่วจันทร์เสี้ยว และนานาสารพัดอย่าง ด้วยศาสตราวุธระดับพระกาฬนี้ เทียบกับผักปลาเน่าๆ ย่อมมีพลังทำลายล้างยิ่งกว่า
“หลบหนีไม่ทัน ฉินจิ่วเกอหน้ากระตุกยับย่น แต่ก็ทำได้แค่นอนแบบเป็นปลาตายอยู่กับพื้น ชักกระตุกอยู่เป็นพักๆ