“สหายท่านนี้ เจ้าเป็นอะไรหรือไม่? ” มีคนเข้ามาช่วยพยุงเหยื่อที่นอนบาดเจ็บอยู่บนพื้นพลางถามไถ่

ฉินจิ่วเกอริมฝีปากสั่นเครือ “มันหนีไปทางนั้น! ไม่นึกว่าฝีมือจะร้ายกาจขนาดนี้ ทั้งที่ข้าพร่ำฝึกแขนกิเลนคู่มานานร่วมยี่สิบปี แต่พอถึงเวลาสำคัญกลับไม่อาจรั้งมันไว้ได้”

“น้องชาย อาการบาดเจ็บของเจ้าร้ายแรงไม่เบาเลยนะเนี่ย” ผู้ฝึกยุทธ์ผู้มีจิตใจเมตตาเอ่ยเตือน “ดูหูเจ้าสิ แดงเถือกขนาดนี้ หรือว่าจะถูกพิษร้ายเข้าให้? ”

ฉินจิ่วเกอร่างกระตุกเฮือกอยู่หลายที หางตาแทบฉีกขาด สองขาสะท้านปัดป่าย แล้วกล่าวเหมือนใกล้จะสิ้นใจเต็มทน “เจ้าฉินจิ่วเกอนั่น หน้าตาของมันหล่อเหลาเกินมนุษย์มนา มีดวงหน้าเยาว์วัยทรงคุณธรรมและสติปัญญา ไหนจะคิ้วที่พาดเฉียงดั่งกระบี่และนัยน์ตาคู่งามดั่งดารานั้นอีก”

“จากนั้นเล่า? ”

“มันหล่อเหลือเกิน! หล่ออภิมหาหล่อเหลาเทียมฟ้า! ”

มีคนเร่งมาอย่างร้อนใจ “ข้ากำลังถามเจ้าว่ามันใช้อะไรเป็นอาวุธ และระดับฝึกปรืออยู่ที่ขั้นใด”

“อาวุธหรือ ขอข้าคิดก่อน” ฉินจิ่วเกอหวนนึกถึงทักษะเฉพาะของแม่ตัวดีอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกกล่าวต่อคนทั้งหมดอย่างขลาดกลัวอยู่บ้าง “มันมีอยู่สองกระบวนท่า ท่าแรกคชสารกระทืบตีน ท่าที่สองหงส์สยายปีกฉีกใบหู”

“เป็นกระบวนท่าที่สารเลวอะไรเช่นนี้! ” ทุกคนส่งเสียงฮือฮาขึ้นมาทันที มิน่าเล่าเจ้าหนุ่มตรงหน้าถึงได้มีสารรูปน่าสังเวชขนาดนี้

ฉินจิ่วเกอเหมือนได้พบสหายผู้รู้ใจ หลั่งน้ำตาอาบแก้ม “ใช่แล้ว สารเลวที่สุด! ”

“เจ้าเดียรัจฉานนี้ น่ากลัวว่าพวกเราเพียงหยิบมือจะไม่อาจรับมือกับมันไหว” มีคนยกมือเตือนสติ ถึงอย่างไรคนแซ่ฉินผู้นี้ก็เป็นขุมอำนาจมืดที่ทรงพลังน่าดู

“ข้าเห็นด้วย ถึงกับกระทืบตีนฉีกใบหูผู้คน ไม่มีความเป็นชายชาติบุรุษเลยสักนิด เหมือนพวกลักเพศมากกว่า” มีคนแอบด่าอย่างลับๆ สองมือปิดใบหูอย่างหวาดเสียว ชัดเจนว่าเข้าใจหัวอกเจ้าคนที่นอนเจ็บอยู่บนพื้นขนาดไหน

“ไม่เลยๆ มันไม่ใช่แค่พวกลักเพศธรรมดาๆ เท่านั้น” ฉินจิ่วเกอวิญญาณกลับเข้าร่าง สองตาคุคั่งด้วยเพลิงแค้น “มันเป็นปีศาจต่างหาก! หากมิใช่สัตว์ประหลาดเฒ่ากฎสรรพสิ่ง อย่าได้ไปตอแยมันเด็ดขาด หาไม่แล้วพวกเจ้าย่อมกลายเป็นปุ๋ยไปในทันที”

“มีเหตุผล ว่าแต่มันเป็นปีศาจประเภทใดกันนะ? ” มีคนถามอย่างสงสัย

“จะอะไรก็ช่าง ที่รู้ๆ คือมันร้ายกาจเกินไป แม้แต่ยอดฝีมือพิสุทธิ์ไพศาลยังหมดสารรูปขนาดนี้ อย่าเพิ่งไปตอแยมันเลยจะดีกว่า” มีคนเสนอมา

“มีเหตุผล พวกเราถอยก่อน”

ฝูงชนแยกย้ายไปพร้อมกับเสียงความวุ่นวาย ด้วยกลัวว่าจะถูกปีศาจร้ายทรงพลังผู้นั้นลอบจับตามองอย่างลับๆ ฉินจิ่วเกอเป็นสัญลักษณ์แห่งความชั่วร้าย อำนาจขู่ขวัญของมันในเมืองอวี่เกอยังเทียบเท่ายอดฝีมือกลั่นดวงธาตุได้เลยทีเดียว

หลังฝูงชนแยกย้ายกันไป ฉินจิ่วเกอก็ชันตัวลุกขึ้นจากพื้นอย่างสุขุม ปัดฝุ่นที่เลอะติดตามตัวออก หากไม่ใช่ว่าตนเองปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้ทันท่วงที น่ากลัวว่าคงได้จบชีวิตลงภายใต้คลื่นมนุษย์ลูกยักษ์ไปนานแล้ว ภูติผีปีศาจตนไหนก็ไม่อาจพลิกสถานการณ์ได้

ไร้คุณธรรมสิ้นดี ทั้งที่ตนเพิ่งเสี่ยงชีวิตช่วยนางไว้ ใครจะไปคิดมรสุมเพิ่งก่อตัวไม่ทันไร นางก็เผ่นแน่บเอาตัวรอดไปคนเดียวเป็นที่เรียบร้อย

ฉินจิ่วเกอพกความแค้นกลับคืนสวนหย่อม ต้มน้ำร้อนนอนทอดกายเอกเขนกอยู่ในอ่าง บนหัววางผ้าชื้นหมาดอุ่นร้อนเอาไว้ แล้วเริ่มปิดตาทำสมาธิ

เห็นทีคงต้องรีบพานางกลับคืนสู่เผ่ามนุษย์ สูญหายมาได้สองวัน น่ากลัวว่าประมุขหุบเขาเพลิงราชันกำลังร้อนรนจนก้นไม่ติดพื้นแล้ว

สี่ประมุขของสี่พรรคใหญ่ แม้จะเป็นเพียงชนชั้นกลั่นดวงธาตุขั้นเก้า แต่ก็เป็นตัวตนที่เข้าใกล้ขอบเขตกฎสรรพสิ่งมากที่สุด

ขอเพียงทะลวงด่านได้สำเร็จ ก็จะได้เลื่อนขั้นเป็นอาวุโสสูงสุดประจำพรรค เป็นบุคคลสำคัญที่นามกรสั่นสะท้านไปทั่วทิศทาง เป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าน่าพรั่นพรึงที่มีอายุขัยยาวนานถึงหมื่นปี

ด้วยมรดกปูมหลังของบรรพตสละฟ้า ตอนนี้พวกมันไม่อาจล่วงเกินสี่พรรคใหญ่ได้เลย

หากมีคนพบเห็นติงหลันเข้าในเมืองอวี่เกอ ยากที่จะรับรองได้ว่าจะไม่เกิดเรื่องขึ้น

อีกอย่าง ยังมีสามกองกำลังพวกนั้นที่พากันยกโขยงออกจากรัง ตอนนี้ในเมืองจึงมีอสนีอึมครึมกำลังก่อตัวแปลบปลาบรอเพียงเวลาที่จะฟาดผ่าใส่มันให้เลือดแตกกระจาย

ก่อนจะผละมือมาจัดการกับสามกองกำลังพวกนั้น ฉินจิ่วเกอวางแผนว่าจะส่งตัวติงหลันกลับไปก่อน เลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาใหญ่ภายหลัง

รอจนสถานการณ์ในเมืองอวี่เกอสงบเรียบร้อยดีเสียก่อน จากนั้นก็จะได้เริ่มแผนเคลื่อนพลสู่เมืองเทียนเอินซะที

มายืนอยู่หน้าท่านย่าตัวน้อย ฉินจิ่วเกอไล่เสียงสูง วางท่าเหมือนอย่างพ่อตาเอ็ดลูกสะใภ้ อัญเชิญแม่ตัวดีกลับคืนสู่ภูมิลำเนา

“จะให้ข้ากลับ?” ติงหลันนั่งอยู่หน้าโต๊ะประทินโฉม คราบกุลสตรีผู้ดีกลับเข้าร่าง “ข้าไม่ได้บอกว่าจะกลับไปเสียหน่อย”

“เจ้าเองก็เห็นแล้ว” ฉินจิ่วเกอหน้าขื่นขม ย่าน้อยผู้นี้ไม่อาจปล่อยให้นางรั้งอยู่ในเมืองอวี่เกออีกต่อไป มิฉะนั้นย่อมต้องเกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นแล้ว “นอกจากในเมืองจะไม่มีเรื่องบันเทิงใจใดๆ คนที่นั่นยังมีรสนิยมหยาบโลนเหลือร้าย จึงไม่ปลอดภัยต่อตัวเจ้า”

“เป็นไปไม่ได้” แม่ตัวดีทำท่าคะนองศึก ใคร่ครวญอยู่ครู่ก็เอ่ยอย่างสนอกสนใจว่า “ข้ารู้สึกว่าคนที่นี่จริงใจเปิดเผยดี ไม่เลวเลย”

“แค่กๆ” ในเมื่อไม้อ่อนไม่ได้ผล ฉินจิ่วเกอจึงต้องใช้ไม้แข็ง “เจ้าไม่มีสิทธิ์ออกปากออกเสียง ข้าจะสั่งให้คนมามัดตัวเจ้ากลับไป”

“เจ้ากล้า?” อำนาจแห่งผู้สูงศักดิ์พลันแผ่กำจาย ติงหลันผู้ชิงชังเมืองอวี่เกอจนถึงแก่น สวมบทยอดฝีมือผู้ผ่านศึกมาอย่างโชกโชนจนมีฝีปากเป็นอาวุธ “เจ้ากล้ามัดข้า พอข้ากลับไปข้าจะป่าวประกาศเรื่องของเจ้าให้หมดเลย”

“แม่นางท่านนี้ ถึงรออยู่ที่นี่ไปท่านก็มีแต่จะเบื่อเปล่าๆ ไม่สู้กลับไปยังดีกว่า ที่นี่สภาพแวดล้อมย่ำแย่ทรัพยากรขาดแคลน แม้แต่ไอวิญญาณฟ้าดินยังเทียบกับหุบเขาเพลิงราชันสักครึ่งหนึ่งไม่ได้เลย”

“ไม่สน ข้าชอบของข้าซะอย่าง” ติงหลันสวมบทอันธพาลน้อยเสียแล้ว นางนั่งแกว่งขาขาวหยกไปมา ” ยังไงที่นี่ก็น่าสนใจกว่าหุบเขาเพลิงราชันเยอะ แถมข้ายังมีลางสังหรณ์ว่าในอีกไม่กี่วันจะเกิดเรื่องสนุกๆ ให้ข้าได้ดู”

ลางสังหรณ์ของอิสตรีจะน่ากลัวเกินไปหน่อยแล้ว ฉินจิ่วเกออดตัวสั่นเยือกมิได้ ยิ่งไม่อาจวางใจให้ติงหลันรั้งอยู่ที่นี่มากขึ้นไปอีก หากนางเป็นอะไรไปแม้แต่เพียงรอยขีดข่วน ตนคงไม่แคล้วกลายเป็นหมอกโลหิตกลุ่มหนึ่งไป

ความชั่วในตัวเริ่มหมุนวน ฉินจิ่วเกอหัวเราะอย่างชั่วช้าสามที ไม่ว่ายังไง มันก็ได้ฉายาผู้ปราดเปรื่องที่เคยหักเหลี่ยมเฒ่าเรืองปัญญามาแล้ว

ใช้ลูกไม้สกปรกบีบคั้นให้นางไปจากที่นี่ก็ยังได้

“ก็ได้ ข้ากลัวเจ้า อยากอยู่ก็อยู่ไปเลย” ฉินจิ่วเกอแสร้งทำเป็นจำยอม ก่อนเดินออกมาตามหาตัวหลงเฟิง

หลงเฟิงพอเห็นฉินจิ่วเกอเป็นต้องหรี่ตา เพราะไม่อยากจะมองอีกฝ่ายตรงๆ หากไม่ใช่เพราะเขาแหลมบนหัวมันละก็ ฉินจิ่วเกอย่อมพุ่งเข้าไปจับหน้าเหม็นๆ นั่นมาจ่อประชิดหน้า แล้วแข่งจ้องตากันไปข้าง ดูซิว่ามันจะอาเจียนเอาของเก่าออกมาหรือไม่

มองดูสีหน้าเหมือนคนท้องผูกมาสิบวันของหลงเฟิง ฉินจิ่วเกอผู้มีจิตใจโอบอ้อมอารีจึงทำเป็นมองไม่เห็น “เสี่ยวหลงเอ๋ย ที่ผ่านมาข้าปฏิบัติต่อเจ้าด้วยดีจริงหรือไม่”

“เหอะเหอะ” หลงเฟิงตอนนี้แม้แต่จะให้หรี่ตามองก็ยังไม่อยากแล้ว มันหมุนตัวกลับ ให้แผ่นหลังทำหน้าที่พูดคุยกับสุภาพบุรุษแซ่ฉินแทน

“ทำท่าเช่นนี้แปลว่าอะไร อย่าบอกนะว่าลืมแล้ว สิบล้าน” ฉินจิ่วเกอถึงกับต้องเค้นวาจาลอดไรฟันเลยทีเดียว สีหน้าท่าทางของเจ้าหมอนี่ช่างวอนเท้าเสียเหลือเกิน กลั่นดวงธาตุผู้ประเสริฐ!

แล้วจู่ๆ สีหน้าของหลงเฟิงก็เหมือนน้ำแข็งที่หลอมละลายลงอีกครั้ง กลับกลายเป็นตะวันยามคิมหันต์กลางเดือนสาม ลมโชยลมพัดมาไหวๆ อ่อนโยนดั่งน้ำพุวสันต์ไหลระริน ดับกระหายให้ความกระชุ่มกระชวยแก่ผู้คน

ฉินจิ่วเกอยกมือเท้าสะเอวเลียนอย่างติงหลัน คิ้วเลิกสูงตาทอดต่ำ เย่อหยิ่งเหมือนสตรีหน้าเลือดที่มาเก็บค่าที่

สุดคูล นี่มันสุดคูลเกินไปแล้ว ไม่นึกว่ายามกำหางผู้อื่นไว้ในอุ้งมือ จะให้ความรู้สึกเหนือกว่าได้อย่างแช่มชื่นขนาดนี้

มิน่าติงหลันถึงสามารถแผ่กลิ่นอายผู้ถือไพ่เหนือกว่าออกมาได้ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น ที่แท้มันอยู่ที่ความมั่นหน้านี่เอง

“แค่กๆ ” หลังกระแอมไอขับเสมหะในลำคอ ฉินจิ่วเกอก็กล่าวว่า “ไปหาด้ายคละสีมาให้ข้าหน่อย แล้วก็ไม้ไผ่กับผ้าไหมขาวด้วย”

“จะเอาไปแขวนคอ? ” ในตาหลงเฟิงเกิดประกายลิงโลดขึ้นมา นี่เป็นเรื่องที่น่าเฉลิมฉลองถึงเพียงไหน

ฉินจิ่วเกอหน้าผากมีรอยดำชัดเจน เอ่ยเสียงขุ่นมัว “จะเอามาถักผ้า รีบไปเตรียมมาให้ข้าได้แล้ว”

“ถักผ้า?” คิดไม่ตกว่าประมุขน้อยตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ แต่หนี้สินสิบล้านศิลาวิญญาณก้อนนั้นหนักหนาจนเกินไป หลงเฟิงรีบจัดแจงจัดหาสิ่งของตามฉินจิ่วเกอบัญชา

ฉินจิ่วเกอมือถือด้ายและเข็มให้ยุ่งไปหมด จากนั้นตะแคงซ้ายพลิกขวาท่าทางประหลาดพิกลยิ่ง หวนนึกถึงงานอดิเรกของน้องหญิงตงฟาง การถักลายตกแต่งนี้สมควรถักจากด้านในก่อน หรือจากด้านนอกก่อนดี?

สองวันต่อมา อากาศแจ่มใส สี่ประมุขขุนเขายังคงปิดด่านฝึกฝีมือ

หลายวันมานี้หอกลืนตะวัน ตำหนักผนึกน้ำแข็ง และวังสุนัขป่าสามกองกำลังได้มาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ คาดว่าอีกไม่นานคงห้ามใจไม่ไหวและเปิดฉากลงมือในที่สุด

ประมุขทั้งสี่ต่างก็กำลังคร่ำเคร่งฝึกวิชาเพื่อวันข้างหน้าของบรรพตสละฟ้าเป็นการใหญ่ แล้วจู่ๆ ไอเย็นขุมหนึ่งหรือจะกล่าวให้เจาะจงก็คือไอหยินชั่วร้ายขุมหนึ่งก็ได้แผ่ขยายปกคลุมเมืองอวี่เกอไปถึงครึ่ง

สี่ประมุขที่กำลังเก็บตัวฝึกวิชาอย่างถลำลึกอยู่ๆ ก็ขนลุกเกรียวไปทั้งร่าง เนื้อตัวสั่นเทาไม่ยอมหยุด รู้สึกแค่ว่าด้านหน้าคล้ายมีไอพลังชั่วร้ายแปลกประหลาดบางอย่าง ด้านหลังเหมือนมีโพรงน้ำแข็งเย็นเฉียบ ขังพวกมันไว้ตรงกึ่งกลาง สร้างความอึดอัดไม่สบายใจอย่างยิ่งยวด

ติงหลันที่กลับจากการไปจับจ่ายใช้สอยเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน โดยเฉพาะในสวนหย่อมไอพลังหยินนี้เข้มข้นหนาหนักเป็นพิเศษ

ลมหยินพัดวูบวาบ แม้แต่ต้นไม้ใบหญ้ายังชื่นฉ่ำจนมีหยดน้ำเกาะพรมอยู่เต็ม

ทุกคนออกตามหาต้นตออย่างใคร่รู้ ที่แท้เกิดอะไรขึ้นกันแน่หนอ ถึงได้มีไอพลังหยินรั่วไหลออกมาในปริมาณมหาศาลเยี่ยงนี้ ต่อให้เป็นผู้ฝึกวิชาปีศาจฝึกปรือเคล็ดวิชาออกมา ก็ควรที่จะเป็นไอพลังชั่วร้ายเท่านั้น จะเป็นไอหยินอย่างที่เห็นอยู่นี้ได้อย่างไร?

พอทุกคนหาต้นตอจนเจอก็ต้องตาโต เพราะสิ่งที่เห็นคือภาพของฉินจิ่วเกอที่กำลังนั่งฉีกยิ้มอยู่ในห้อง มือหนึ่งคีบเข็มเย็บผ้า อีกมือจับผ้าไหมสีขาวพร้อมถักทอลวดลายด้วยท่วงท่าชั่วร้ายน่าสะอิดสะเอียน

ทุกคนล้วนตะลึงลาน พากันสับสนมึนงงไม่รู้จะไปทางไหน

มิน่าช่วงนี้เมืองอวี่เกอถึงได้ไก่เตลิดสุนัขเผ่นหนี ฮวงจุ้ยอัปมงคลมรณะ ที่แท้ต้นเหตุก็อยู่นี่เอง

นี่คือภาพของฉินจิ่วเกอที่กำลังเชิดปากแย้มยิ้ม นิ้วมือเคลื่อนผ่านลักยิ้มบนแก้ม บางครั้งก็จีบนิ้ว บางครั้งก็ปิดปากแล้วหัวร่อออกมา

ฝ่ามือหนีบจับเครื่องเย็บปักอันประณีต ใช้เข็มแหลมแคบเรียวยาวสำหรับปักดอกไม้ทัดข้างใบหู ดึงเส้นด้ายเจ็ดสีเพริศพรายออกมาเส้นหนึ่ง

นั่งเป็นคุณหนูจากตระกูลผู้สูงส่ง ฉินจิ่วเกอชม้ายชายตามองทุกคนอย่างเหนียมอาย บางทีก็หัวเราะต่อกระซิก บางทีก็สลัดคราบแล้วระเบิดหัวเราะออกมาอย่างสาแก่ใจ

แล้วนิ้วที่จรดอยู่กับเข็มก็ถูกยกขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับคิ้วที่เลิกขึ้นตามไปด้วย และแล้วบนเนื้อผ้าก็มีลวดลายแต่งเติมขึ้นมาอีกรอยหนึ่ง

“ปะ… ประมุขน้อย? ” ประมุขหยางอึ้งกิมกี่ ดูจากรูปการณ์ มันเรียกฉินจิ่วเกอเป็นนายหญิงน้อยน่าจะเหมาะกว่า เดี๋ยวก่อน มันเป็นอะไรไปแล้ว?

ประมุขหลิวยิ่งอยู่ไม่สุข ประตูสวนหย่อมก็ออกจะกว้าง สมควรไม่มีเรื่องทำนองถูกประตูหนีบสมองเกิดขึ้นแน่นอน

ย้ายมาดูอีกสองประมุขที่เหลือ พบว่าพวกมันต่างก็สับสนจนไปไม่ถูกเหมือนกันหมด

ติงหลันรู้สึกหนาวเยือกขึ้นมาทันควัน ชายฉกรรจ์คนหนึ่งถึงกับมานั่งเย็บปักถักร้อยอย่างจริตจะก้าน ซ้ำร้ายยังยักคิ้วหลิ่วตาเป็นอิสตรี

“ไอหยา มากันหมดเลยหรือนี่” ฉินจิ่วเกอรู้สึกถูกอกถูกใจจนตัดใจวางผ้าในมือไม่ลง “ดูผ้าคาดเอวที่ข้าปักนี่สิ ใช้ได้หรือไม่? ”

“ประมุขน้อย ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหม อยากให้ข้าไปตามตัวนักปรุงยามาให้ท่านสักคนหน่อยหรือไม่? ” ประมุขจูถามด้วยความประหม่ากังวล คงไม่ใช่ว่าระหว่างฝึกวิชาปีศาจเกิดความผิดพลาดจนธาตุไฟแตกหรอกกระมัง?

กวาดตามองทั่วทวีปฉงหลิง ผู้ที่ธาตุไฟแตกมีอยู่มาก แต่ผู้ที่ธาตุแตกจนสติสตางค์ไม่หลงเหลือนั้นไม่มีอยู่เลยจริงๆ

สีหน้าของฉินจิ่วเกอปกติดีทุกประการ ผิวพรรณแดงปลั่งอย่างคนมีสุขภาพดี นัยน์ตาสุกใสเป็นประกาย เพียงแต่นิ้วมือของมันยังคงคีบผ้าผืนนั้นไว้ในระดับเดียวกับคาง ตาจ้องมองอย่างลุ่มหลงเมามาย “ข้าไม่เป็นอะไร”

“งั้นท่านกำลังทำอะไรอยู่กันแน่! ” สี่ประมุขร้องออกมาพร้อมกัน วิงวอนฉินจิ่วเกอรวบรวมสติสมาธิ พวกตนอายุมากแล้ว เกรงว่าหัวใจจะรับไม่ไหวก่อน

กุลสตรีฉินจิ่วเกอเหยียดยกนิ้วก้อยไล้ผ่านหน้าผากสะคราญ “สุภาษิตว่าไว้ อาภรณ์ภาพประดับกระโปรง เกิดเป็นคนต้องรู้จักศิลปะเย็บปักถักร้อยไว้ การเย็บปักมีส่วนช่วยในการฝึกฝนทักษะอันล้ำเลิศ เพิ่มพูนพลังฝีมือ ผู้ฝึกตนจำต้องหัดให้เป็นเอาไว้บ้าง”

สี่ประมุขวุ่นอยู่กับการย่อยข้อมูลทฤษฎีของฉินจิ่วเกอ ไม่กล้าส่งเสียง เพียงรู้สึกว่าฟ้าดินช่างห่างไกล โลกหล้าช่างเหน็บหนาว

ติงหลันก้าวย่างเข้ามาดุจดอกบัว มือขาวหยกหยิกใบหูฉินจิ่วเกอ “ซ่งเล่อ เจ้าป่วยหรือไง? ”

“ยุ่งน่า” ฉินจิ่วเกอเบี่ยงตัวหนี ยกมือกรีดกรายปัดป้องที่ใบหู

“ฉินจิ่วเกอ? ฉินปาเตา? ” ติงหลันลองเรียกออกมาหลายๆ ชื่อ หวังว่าจะเรียกธาตุแท้ของเจ้าหมอนี่กลับคืนมาได้

ฉินจิ่วเกอยังคงวุ่นวายอยู่กับการเย็บปักต่อไป ทั้งยังขยิบตา ท่วงท่าเปรียบกับนางมารกระดูกขาวยังน่าขนลุกยิ่งกว่า “หากไม่มีเรื่องอะไรแล้วก็อย่ามารบกวนข้า ไม่เห็นหรือว่าข้ากำลังยุ่งอยู่กับการเย็บปัก”

“รบกวนบ้าอะไร เลิกเสแสร้งได้แล้ว” ติงหลันรู้สึกขนลุก ต้องลูบแขนไล่ความหนาวพลางเอ่ยออกมาเสียงห้วน