บทที่ 153 ต้องเจอ
ก่อนหน้านี้มู่เทียนซิงยิ้มสวยดั่งดอกไม้ วินาทีต่อมาใบหน้าพลันซีดขาว
โล่เจปู้มึนงง เขาเป็นกษัตริย์ดังต้นไม้หยกลู่ลม ทำไมถึงได้ทำให้หญิงสาวตกใจราวกับเห็นผีแบบนี้ได้
เขาต้องการพบลูกชายด้วยความเต็มใจนะ
สายตาของโล่เจปู้กวาดสำรวจมู่เทียนซิง สุดท้ายจ้องไปยังท้องของเธอ
เธอร่วมห้องกับลูกชายเขาแล้ว ไม่รู้ว่าที่นี่จะมีหลานน้อยแล้วหรือยัง
“คุณหนูมู่”
นั่วยีเอ่ยปากก่อน “ข้างนอกลมแรง ช่วงนี้ฝ่าบาทร่างกายไม่แข็งแรง ไม่เหมาะที่จะยืนอยู่หน้าประตู เรายืนอยู่ตรงนี้มาพักหนึ่งแล้วนะครับ ขอให้พวกเราได้เข้าไปดื่มชาร้อนสักถ้วยได้ไหมครับ”
“ชา ร้อน หรอ”
มู่เทียนซิงแทบจะระเบิด หันกลับไปมองยังโซฟาอย่างลังเล แต่เห็นว่าหลิงเล่ไม่ได้หันมามองทางนี้เลยสักนิด เธอไม่รู้จะทำยังไงอยู่ชั่วขณะ
“คุณลุงคะ”
เธอตะโกนออกไป
หลิงเล่ไม่สนใจ
“คุณลุง พวกเขาอยากดื่มชาร้อน”
หลิงเล่ยังคงไม่สน
“คุณลุง”
มู่เทียนซิงอยากมุดดินหนี
ข้างหน้ามีฝ่าบาท ข้างหลังมีฮานจื่อ และยังมีหลิงเล่ที่ท่าทางจะโกรธด้วย “คุณลุงขา”
เธอไม่กลัวอะไร กลัวแต่ว่าคุณลุงจะโกรธตัวเองเท่านั้น
ในอากาศ คล้ายกลับมาเสียงถอนหายใจออกมา ผ่อนคลาย
หลิงเล่โบกมือให้จั๋วซี จั๋วซีรีบไปพยุงเขาจากโซฟามายังวีลแชร์
เมื่อเขานั่งดีแล้ว เขียนตัวอักษรตัวหนึ่ง ส่งให้จั๋วซี
จั๋วซีเข้ามาบอกกับมู่เทียนซิง “คุณหนูมู่ครับ ซือซ่าวเรียกให้คุณขึ้นไปพักผ่อนครับ”
หัวใจของมู่เทียนซิงมีความกล้าขึ้นมา มองแววตาของหลิงเล่ที่ส่งผ่านการขอโทษออกมา
เธอหันมาพูดกับคนที่อยู่ด้านนอกประตู “พวกคุณกลับไปเถอะค่ะ คุณลุงจะนอนแล้ว พวกคุณเข้ามาก็…..เอ่อ ในบ้านมีสุนัข ตัวใหญ่มาก พวกคุณดูแลตัวเองเถอะนะคะ”
เอ่ยจบ เธอหมุนตัวกลับ แต่ก็ไม่ได้ปิดประตู รีบวิ่งไปยังที่ที่หลิงเล่อยู่
เมื่อมาหยุดตรงหน้าเขา เธอจึงยิ้ม ปลอบเขา “ขอโทษนะคะ ฉันนึกว่ามีแค่คุณลุงนั่วยีมาคนเดียว คิดว่าคงไม่ให้คุณนั่วยีเข้ามาเพราะคุณไม่ชอบคนแปลกหน้า ฉันคิดว่า ในเมื่อคุณไม่ได้พยักหน้า อีกทั้งพวกเขารีบ ฉันเป็นนายหญิงของบ้าน ดังนั้น ฉันเลยไปเปิดประตู ขอโทษนะคะ….”
เดิมริมฝีปากของหลิงเล่นั้นเม้มแน่น
แต่ “นายหญิง” คำนี้ลอยออกมา มุมปากของเขาพลันยกขึ้นอย่างสวยงาม
ห้องทั้งห้อง บรรยากาศอึดอัดก็กลับผ่อนคลายลงไปพร้อมกับเขา
ดวงตากลมโตของมู่เทียนซิง ส่องแววเจ้าเล่ห์ เห็นว่าหลิงเล่อารมณ์ดีแล้ว จึงรีบหันไป ผลักเขาไปเล็กน้อย
เธอตั้งใจให้เขาหลบมุมไปจากตำแหน่งที่ของโล่เจปู้ มองกลับไป เขาและนั่วยีพอดีกับที่เห็นหลิงเล่นั่งลงบนวีลแชร์ ด้านข้างที่งดงามนั้น
หัวใจของโล่เจปู้พลันกระตุก
ขาทั้งสองข้างสวมบล็อกตะกั่ว ไม่สามารถก้าวขาได้แม้แต่น้อย
นั่นคือลูกชายของเขา
เพราะไม่มีเขาคอยคุ้มครอง จึงกลายมาเป็นแบบนี้
ดวงตานองไปด้วยน้ำตาอุ่น โล่เจปู้อดกลั้นเอาไว้ กำหมัดแน่น มองคนที่อยู่ตรงหน้า
หากเพียงแต่พ่อมาดูสักหน่อย ดูว่าเด็กคนนี้หน้าตาเหมือนเขาขนาดนี้ คิดว่าพ่อคงต้องร้องไห้แน่
หลิงหวิน
ผมโล่เจปู้ขอสาบานแกไม่ได้ตายดีแน่
ในห้อง หญิงสาวยิ้มร่าหลอกล่อให้คนบนวีลแชร์พูด เขาไม่พูดอะไรออกมาเลย เธอกลับยิ้มหวานเพื่อทำให้เข้าใจดีขึ้น
เมื่อเขายิ้ม คล้ายกับดอกท้อทั้งมวลได้บานสะพรั่ง บรรยากาศฤดูใบไม้ผลิ
น้ำตาของนั่วยีกลั้นไว้ไม่อยู่ไหลลงมาแล้ว จั๋วซียืนอยู่ตรงหน้าประตู ทำใจไม่ได้ที่จะบังสายตาพวกเขา และทำใจไม่ได้ที่จะปิดประตู หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมายื่นให้พ่อ บอกเสียงเบา “อย่าร้องเลย”
นั่วยีเสียใจ
หลายปีแล้ว เขามีโอกาสมากมายที่จะได้ดูแลซือซ่าว แต่ก็พลาดโอกาสเหล่านั้น
ดวงตาของโล่เจปู้ มองร่างที่อยู่บนวีลแชร์ สุดท้ายก็ควบคุมไม่ได้ “เสี่ยวเล่”
เขาตะโกนออกไป
โลกทั้งใบเงียบสงบลง
หลิงเล่ที่กำลังยกยิ้มมุมปาก เม้มลงอีกครั้ง หันกลับมา หรี่ตาลง สายตาแหลมคมกวาดมองไปทางประตู
เพียงเท่านั้น นั่วยีพลันก้าวถอยหลังด้วยความตกใจ
ซือซ่าวคล้ายจักรพรรดิเทียนหลิงในการสั่งการสังหารในตอนนั้นมาก
และเพียงเท่านั้น โล่เจปู้ได้เห็นใบหน้าตรงของเด็กคนนี้ ในใจยิ่งชื่นชอบ ทั้งชอบทั้งละอาย หลากหลายความรู้สึกผสมปนเป มันทำให้หัวใจของเขาเจ็บปวด
“เสี่ยวเล่ พ่ออยากเข้าไป เข้าไปดูลูก”
น้ำเสียงของโล่เจปู้สั่นเล็กน้อย ยื่นอยู่ท่ามกลางสายลม ท่าทางจ้องมองอยู่แบบนั้น ทำให้คนรู้สึกสงสาร
มู่เทียนซิงแสบจมูกขึ้น อดไม่ได้ที่จะเอ่ย “คุณลุง ล้วนบอกว่าคนไม่รู้ย่อมไม่ผิด ฝ่าบาทไม่รู้…..”
“ไม่รู้เพราะโง่ไร้ความสามารถ”
ฉับพลัน หลิงเล่จ้องเขม็งไปยังโล่เจปู้ เอ่ยอย่างเยือกเย็น เอ่ยขัดคำพูดของมู่เทียนซิง
หัวใจของโล่เจปู้หนักอึ้ง
เจ็บ
มู่เทียนซิงยกมือขึ้นปิดปาก เวลานี้หลิงเล่แสดงออกเย็นชา เพียงพอให้รู้ว่าความจริงเขารักพ่อมากแค่ไหน จิตใจข้างในยิ่งเจ็บปวดมากเท่านั้น
หลิงเล่จ้องโล่เจปู้อยู่แบบนั้น มองตาเขาที่โทษตัวเองและเจ็บปวด จึงเอ่ยเสริมอีกประโยค “ให้ผู้หญิงและลูกของตัวเองต้องรับทุกอย่าง ตัวเองกลับได้รับความรักและเคารพจากคนทั่วฟ้า แบบนี้ไม่เรียกว่าโง่จะให้เรียกว่าอะไร”
สำหรับโล่เจปู้ เสียงที่น่าฟังที่สุดในโลก ตอนนี้กำลังพูดคำพูดที่แทงจิตใจที่สุด
เขาเองรู้ดีว่าการมาที่นี่นั้นเหมือนหาเรื่องให้ตัวเอง แต่ก็ยังมา
เพียงเพราะเขาไม่สนแล้ว หัวใจของเขาดวงนี้ จะเจ็บปวดยังไงก็ได้ จะแตกสลายยังไงก็เชิญ เพียงให้เขาได้เห็นลูกชายก็พอแล้ว
หลิงเล่หันกลับมา ผิวปากเบาๆ
ฮานจื่อในมือของจั๋วหรันพลันคลั่งขึ้นมา ดิ้นสุดชีวิตเพื่อให้หลุดจากมือจั๋วหรัน วิ่งผ่านทุกคนมุ่งไปยังตรงหน้าประตู
จั๋วซีเห็นดังนั้น มีสติเตรียมปิดประตูลง
ในตอนที่ฮานจื่อพุ่งเข้ามา ยังดีที่ตรงจังหวะประตูปิดสนิท
มันค่อยๆก้มหัวลง ร้องขู่ บ่งบอกว่าไม่พอใจ
มู่เทียนซิงยกมือขึ้นลูบหัวใจ เธอตกใจ สุนัขตัวนี้กล้าหาญไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
โม่หลินเองก็ไม่เคยเห็นความดุร้ายของฮานจื่อ ตกใจจนใบหน้าซีดเซียวพุ่งเข้าไปหลบในอ้อมแขนของฉวีซือ
หลิงเล่จ้องมองประตูบานนั้นด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก จ้องนิ่งอยู่แบบนั้น
มู่เทียนซิงเห็นแล้ว ขนตาที่สวยงามของเขา คล้ายกลับเคลือบไปด้วยหยาดน้ำ มือเรียวยาว จับยึดวีลแชร์เอาไว้แน่น
ท่าทางแบบนี้ของเขา ไม่ใช่ต้องการไล่ นี่กำลังรอคอยด้วยความวิตกกังวล
คนที่ไม่เคยรู้จักพ่อแม่เป็นใคร เมื่อพ่อตามมาหา จะไม่รู้สึกอะไรเลยได้ยังไง
มู่เทียนซิงสัมผัสได้ถึงจิตใจที่ว้าวุ่นของหลิงเล่ รับรู้ถึงพ่อที่ตากลมและเป็นอาหารให้ยุงอยู่ด้านนอก พลันรู้สึกว่า ความจริงเธอควรทำอะไรเพื่อพวกเขาบ้าง
ไม่รู้ความกล้ามาจากไหน มู่เทียนซิงมองฮานจื่อที่นอนอยู่หน้าประตู สูดหายใจเข้าลึก พุ่งออกไปแบบนั้น