บทที่ 154 อย่าไป
“คุณหนูมู่ เจ้าสุนัขตัวนั้นดุเกินไป”
โม่หลินตกใจจนร้องเสียงดังขึ้นมา
พลันนึกได้ลุกขึ้นยืน เธออยากเข้าไปห้าม แต่ระยะห่างของตนเองนั้นห่างจากมู่เทียนซิงไปมากทีเดียว
จั๋วซีเองก็ตกใจรุดหน้าเข้าไป จะจับฮานจื่อไว้ให้แน่น
แต่ว่าสุนัขแบบมาสทิฟฟ์นี้ ไม่เหมือนกับสุนัขทั่วไป สุนัขตัวอื่น มันเล่นได้กับทั้งครอบครัว แต่กับมาสทิฟฟ์มันยอมรับเจ้านายเพียงคนเดียวเท่านั้น
ถึงแม้เมื่อก่อนจั๋วซีจะเล่นกับฮานจื่อทุกวัน แต่ตั้งแต่ที่หลิงเล่ออกคำสั่ง หน้าที่ของมันคือเฝ้าหน้าประตูใหญ่ ใครเข้าไปมันจะกระโจนใส่คนนั้น รวมทั้งจั๋วซีด้วย
จั๋วหรันกับฉวีซือรู้ถึงความดุร้ายของฮานจื่อดี รีบร้องเตือน “คุณหนูมู่ อันตรายเกินไป”
หลายคนร้องออกมาด้วยความตกใจ ยิ่งทำให้ฮานจื่อระแวดระวังมากขึ้น
มันพลันลุกขึ้นมาจากพื้น ดวงตาดุร้ายจ้องมองไปยังมู่เทียนซิงที่กำลังพุ่งเข้ามา ขาหน้าค่อยๆย่อต่ำ ขาหลังเตรียมพร้อมลุย เพียงมองก็ดูเหมือนพร้อมที่จะกระโจนเข้าไปฉีกใครสักคนเป็นชิ้นๆ
ในระหว่างที่มู่เทียนซิงกัดฟันพุ่งเข้าไป สีหน้าของหลิงเล่ตึงขึ้น
เห็นท่าทางฮานจื่อเตรียมพร้อมจะกระโดด เขาจึงรีบตะโกนออกมา “หมอบลง”
ทันใดนั้นฮานจื่อก็ราวกับสุนัขนอนตายหมอบแน่นิ่งอยู่บนพื้น
รอจนมู่เทียนซิงวิ่งออกประตูไปแล้ว มันได้แต่นอนร้องหงิงๆไม่พอใจอยู่หน้าประตู
ทุกคนถอนหายใจโล่งอก
มู่เทียนซิงเองก็กำลังพนัน พนันว่าหลิงเล่จะยอมให้สุนัขทำร้ายเธอ
วินาทีต่อมา สิ่งที่ทำให้คนอื่นๆอดที่จะหัวเราะไม่ได้ก็ได้เกิดขึ้น………
มู่เทียนซิงไปเปิดประตู แต่ฮานจื่อยังนอนหมอบอยู่ตรงนั้น เธอจ้องฮานจื่อเขม็งด้วยความโกรธ ย่นจมูกเล็ก ถกแขนเสื้อเล็กขึ้นข่มขู่ เดิมทีเธอสวมชุดเดรสแขนสั้นอยู่แล้ว
มือเล็กนุ่มนิ่ม คว้าขาข้างหนึ่งของฮานจื่อ ผลักเข้าไปด้านข้าง แล้วคว้าอีกข้าง ผลักเข้าไปด้านข้างอีก
ทำอยู่แบบนั้นไม่หยุด เธอยังร้องถาม “คุณพ่อของลุง คุณยังอยู่ข้างนอกไหมคะ”
น้ำเสียงใสตะโกนขึ้น สำหรับโล่เจปู้ที่ได้ยิน ราวกับเสียงนางฟ้าสุดสวยกำลังร้องเพลง
“อยู่ ยังอยู่ ฉันยังอยู่”
โล่เจปู้รีบเอ่ยตอบรับ น้ำเสียงเผยให้เห็นถึงความตื่นเต้น
น้ำเสียงหวานราวกับนางฟ้าของมู่เทียนซิงดังขึ้นอีกครั้ง “คุณอย่าพึ่งรีบนะคะ เจ้าสุนัขตัวนี้หนักเกินไป ฉันกำลังย้ายมัน สักครู่นะคะ ฉันกล้าสู้กับคุณลุงแล้ว อยากเจอเขา คุณช่วยรอหน่อยนะคะ”
“ได้ ได้ ผมไม่รีบ คุณหนูมู่ คุณช่างเป็นคนดีมีน้ำใจจริงๆ ทั้งสวยทั้งฉลาด เป็นเด็กดีน่ารัก”
โล่เจปู้ไม่เคยเอ่ยชมผู้หญิงแบบนี้มาก่อน รวมทั้งหนีซีโย่วด้วย
“แหะ แหะ” มู่เทียนซิงหัวเราะ “ใช่ไหมคะ ฉันก็รู้สึกว่าฉันจิตใจดีเป็นที่สุดเลยค่ะ”
เธอเอ่ยพูด พร้อมทั้งใช้แรงเคลื่อนย้ายเจ้าสุนัขตัวใหญ่ มีบางครั้งที่แรงไม่ถึง น้ำเสียงของเธอก็แสดงออกมาอย่างชัดเจน น่ารักมาก
เดิมควรเป็นบรรยากาศกดดัน พลันเปลี่ยนเป็นสดใสขึ้นมา
โม่หลินก้มหน้า อดไม่ได้หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ
ฉวีซือเองก็เอียงศีรษะและคล้องแขนของจั๋วหรัน
ทุกคนมองมู่เทียนซิงที่กำลังพยายาม ล้วนรู้สึกอบอุ่นอยู่ในใจ
สิ่งที่เธอพูดไม่ผิดเลย ตอนนี้นอกจากเธอ นอกจากเธอแล้วมีใครกล้าต่อสู้กับคุณลุงนั่นอีก ไม่มีหรอก
เมื่อฮานจื่อถูกเธอย้ายออกไปด้านข้างได้สำเร็จ ประตูสามารถเปิดออกไปแล้ว แผ่นหลังของเธอเปียกชื้นอย่างเห็นได้ชัด หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อ
หลิงเล่ยังคงนั่งอยู่บนวีลแชร์ นั่งมองเธอที่พยายามเพื่อเขาตาปริบๆ
ในโลกใบนี้ ต้องมีใครสั่งคน เห็นได้ชัดว่ามันเป็นเรื่องที่ขัดความต้องการของคุณ ทว่ากลับเป็นเรื่องที่ทำให้คุณรู้สึกอบอุ่นอยู่ในใจ
ในตอนที่เธอเปิดประตูออก ยืนอยู่ตรงหน้าประตู แสดงท่าทางนอบน้อมต่อโล่เจปู้ “ยินดีต้อนรับมาที่บ้านของฉันค่ะ”
เพียงประโยคเดียวก็ทำให้คนที่นั่งอยู่บนวีลแชร์มีใบหน้าอ่อนโยนขึ้นมาบ้าง
โล่เจปู้หายใจเข้าลึกครั้งหนึ่ง ในขณะเดียวกันก็ขอบคุณมู่เทียนซิง พลันไม่รู้ว่าควรก้าวเท้าไหนก่อน
เขายืนอยู่ตรงนั้น รู้ว่านั่วยีรับรู้ถึงปัญหา จึงเอ่ย “ฝ่าบาท เข้าไปก่อนเถิด”
โล่เจปู้จัดการการหายใจอยู่สักพัก พยายามทำให้มั่นคง ตอนที่ก้าวเข้าประตูนั้น ก็ขอบคุณมู่เทียนซิงไม่หยุด “ขอบคุณนะ คุณหนูมู่”
รอจนโล่เจปู้และนั่วยีต่างก็เข้าประตูมาแล้ว พวกเขามองฮานจื่อด้วยความหวาดหวั่น กลืนน้ำลายอึกใหญ่
เจ้าสุนัขตัวนี้ตัวใหญ่จริงๆ
เมื่อสักครู่ที่พุ่งเข้ามานั้น ดุร้ายจริงๆ
ทั้งสองเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว มองเห็นหลิงเล่นั่งอยู่บนวีลแชร์ และไม่มองพวกเขา
ทันใดนั้น บรรยากาศเริ่มกดดัน บีบให้โล่เจปู้ไม่กล้าแม้แต่จะก้าวเดินไปข้างหน้า กลัวว่าจะทำให้ลูกชายตัวเองโกรธ เขาหยุดเท้าก้าวเดินแล้วหันไปมองมู่เทียนซิง อยากให้นางฟ้าตัวน้อยนี้ส่งพวกเขาไปอยู่ข้างๆหลิงเล่
แต่ว่า มู่เทียนซิงไม่มีเวลาสนใจพวกเขา
เธอสูดดมข้อมือของตนเอง ดึงแขนเสื้อขึ้นมาดม เตะฮานจื่อไปเบาๆครั้งหนึ่งอย่างยากที่จะรับได้ “จริงๆเลย แกไม่ได้อาบน้ำมานานแค่ไหนแล้วเนี่ย ฉันกอดแกจนกลิ่นแกติดไปหมดทั้งตัวแล้วเนี่ย”
โล่เจปู้มองเธอนิ่งๆอยู่แบบนั้น ยิ่งเข้าใจขึ้นเรื่อยๆแล้วว่าทำไมนิสัยของลูกชายตัวเองถึงได้แปลกประหลาด และยังมีใจให้เด็กคนนี้อีก
เป็นผู้หญิงที่น่ารักจริงๆ
แน่นอนว่าต่างจากโย่วหยาของเขาเล็กน้อย
“จั๋วซี”
นั่วยีเรียกออกมา จั๋วซีรีบเข้ามาหา เอ่ย “อ้อ ถวายพระพรฝ่าบาท”
จั๋วหรัน โม่หลิน ฉวีซือ หันไปทำความเคารพโล่เจปู้อย่างพร้อมเพรียง “ถวายพระพรฝ่าบาท”
โล่เจป้ะสะบัดมือ สายตามองไปยังลูกชายที่อยู่ไกลออกไปสองสามเมตร มองเงอะงะ อยากกอดเขามากจริงๆ
สูดหายใจเข้าลึก ถอนหายใจออกมา เขารวบรวมความกล้าก้าวไปข้างหน้า ทว่าก็ยังกล้าเพียงยืนเฉียงอยู่ตรงหน้าหลิงเล่ “เสี่ยวเล่ ฉันอยากคุยเป็นการส่วนตัวกับเธอหน่อย”
เพียงแค่หลิงเล่ยอมให้อภัยเขา ให้เขามาคุกเข่าให้ลูกชายก็ยังได้
ยังไงเขาก็เป็นกษัตริย์ จะให้คนอื่นและผู้ใต้บัญชาได้เห็นฉากที่ไร้สภาพของตัวเองไม่ได้
หลิงเล่ไม่ได้มองเขา และไม่เอ่ยอะไร
ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่
มู่เทียนซิงรีบเดินเข้าไป เข็นวีลแชร์ของหลิงเล่ จนทำให้หลิงเล่หันมาเผชิญหน้ากับโล่เจปู้
ตอนนั้นเอง ดวงตาของหลิงเล่พลันเงยขึ้น มองทะลุไปยังโล่เจปู้
โล่เจปู้หายใจเข้าลึก พยายามรับมัน ชะงักนิ่งไปได้หลบ ประสานสายตากับเขา
นั่วยีรับรู้ถึงความเจ็บปวดในใจฝ่าบาท แต่ไม่รู้ว่าหลิงเล่รู้สึกยังไง ไม่กล้าเอ่ยปาก จึงได้เอ่ย “เราลงไปกันเถอะ ให้ฝ่าบาทกับ….กับซือซ่าวได้คุยกันหน่อย”
สวรรค์รู้ นั่วยีเรียกเขา “ฝ่าบาท”
พวกจั๋วหรันพากันมุ่งหน้าไปห้องของตัวเอง นั่วยีเองก็จะออกไป
มู่เทียนซิงค่อยๆปล่อยวีลแชร์ เตรียมหมุนตัวออกไป ข้อมือพลันถูกหลิงเล่ยึดเอาไว้
เธอรู้สึกถึงมือที่สั่นเทาของเขาได้ชัดเจน
หัวใจของมู่เทียนซิง พลันอ่อนยวบ “คุณลุง….”
หลิงเล่มองไปยังเธอ เนิ่นนาน ทว่ามีเพียงประโยคที่เอ่ยออกมาเบาๆ “อย่าทิ้งฉัน”
ประโยคนี้ แทงลึกลงไปในใจของมู่เทียนซิง
ประโยคนี้ แทงสึกลงไปในใจโล่เจปู้จนเจ็บปวด
ในส่วนลึกจิตใจของหลิงเล่ เขากลัวการถูกทอดทิ้งขนาดนี้หรือเปล่า