บทที่ 155 ฉลาดหลักแหลม
มู่เทียนซิงมองหลิงเล่ ในใจนั้นอดไม่ได้
หันกลับไปกุมมือใหญ่เอาไว้แน่น เธอเชยตาขึ้นมองโล่เจปู้ สายตาคาดหวัง “ฝ่าบาท”
โล่เจปู้สูดหายใจเข้าลึก คล้ายกับกำลังคลายความหดหู่ที่อยู่ในใจ
ยิ้มเบาๆ เป็นรอยยิ้มที่จริงใจ ทว่าออกจะแข็งไปหน่อย บ่งบอกได้ว่าในใจเขานั้นไม่ได้มีความสุขเลยสักนิด
“คุณหนูมู่เป็นคนกันเอง อยู่เถอะ”
“ค่ะ ขอบพระทัยฝ่าบาท”
มู่เทียนซิงพึ่งจะกล่าวขอบคุณจบ ทว่ากลับได้ยินประโยคดังขึ้นจากหลิงเล่ “ใครเป็นครอบครัวเดียวกับคุณ ผมเป็นสิ่งไร้ค่าที่คนเขาเย้ยหยันทั่วทั้งโลก ไม่กล้าบังอาจหรอก คุณผู้สูงส่งขนาดนี้ คุณมาผิดที่แล้วหรือเปล่า ผิดคนแล้วหรือเปล่า”
คำพูดของหลิงเล่ เยือกเย็นเป็นที่สุด
ยิ่งเขาพูดอย่างเฉียบขาด มือก็ยิ่งบีบมือเล็กแน่นขึ้น
หลายครั้งที่เจ็บจนอยากจะร้องออกมา แต่ก็อดทนเอาไว้
ถ้าแบบนี้สามารถระบายความเจ็บปวดของคุณลุงได้ แม้สองมือนี้ของเธอต้องใช้การไม่ได้ แล้วจะยังไง
กระบอกตาของโล่เจปู้แดงขึ้น แต่จะร้องไห้ไม่ได้
เพราะความทรมานทั้งหมดที่เขาได้รับ กับความทุกข์ที่เด็กตรงหน้าได้รับ มันคงยังไม่เพียงพอ
ลูกพูดถูก เขาไม่สามารถดูแลปกป้องผู้หญิงและลูกของตัวเองได้ เขามันโง่และไร้ความสามารถ เอาเหตุผลต่างๆมาเป็นข้ออ้าง ไร้ประโยชน์สิ้นดี
ร่างกายสั่นระริก อยากจะยื่นมือออกไป ทว่าต้องค้างไว้กลางอากาศ
เสียงของโล่เจปู้ แหบพร่าและสั่นเทา เอ่ยออกมาเป็นคำๆ “ฉัน เข็นเธอไหม”
“อย่าแตะต้องผม” แม้เพียงหางตาหลิงเล่ก็ไม่ให้เขา
เขาดึงร่างของมู่เทียนซิงเข้ามาใกล้ กอดเธอเอาไว้ คล้ายเด็กน้อยที่ไขว่คว้าหาความอบอุ่น เกาะเกี่ยวในอ้อมแขนแม่แน่น
มู่เทียนซิงกระอักกระอ่วนใจ แต่ก็ทำใจผลักเขาออกไม่ได้
บรรยากาศตึงเครียด
ราวกับอากาศในห้องโถงถูกดูดออกไปจนหมด และพวกเขาทุกคน ไม่ว่าใครก็ต้องหายใจ ต่างก็อกสั่นขวัญหาย
“ฝ่าบาท ขออภัยที่ฉันต้องพูด วันนี้ที่คุณมาจริงๆมันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย” มู่เทียนซิงกอดศีรษะหลิงเล่เอาไว้ ลูบแผ่นหลังปลอบโยนเขาเบาๆ
อีกทั้งเอ่ยกับโล่เจปู้ “เขาไม่สามารถยอมรับคุณในตอนนี้ ถ้าคุณต้องการให้เขายอมรับ ควรจะให้สถานะที่ชัดเจนกับคุณหญิงเยว่หยาก่อน คุณหญิงเยว่หยาในตอนนี้ ชาตินี้ทั้งชาติคงไม่ได้เห็นคุณลุงสักนิด เพราะแบบนี้ คุณก็รู้ แก้ไขแล้วหรือยัง”
โล่เจปู้คล้ายกับโดนฟ้าผ่า
เขาบอกกับหนีซีโย่วหลายครั้ง ไม่อนุญาตให้พบกับเด็กคนนี้
ตอนนี้คิดดูแล้ว เป็นความผิดของเขาทั้งหมด
แต่ว่า ถ้าเป็นเพราะเหตุนี้ ทำไมเธอไม่อธิบายกับเขาให้ชัดเจนตั้งแต่แรก
ในขณะที่โล่เจปู้กำลังคิดทบทวน หลิงเล่ได้เอ่ยอย่างเยือกเย็น “เธอโดนคนข่มขู่ และยังถูกข่มขู่มานานนับปี คุณไปทำอะไรอยู่ล่ะ”
โล่เจปู้ “…….”
ที่แท้สายตาของเด็กคนนี้ สามารถมองทะลุความคิดของเขาได้หรอกหรอ
หลิงเล่ราวกับไม่อยากคุยกับเขาอีกต่อไป ไม่มองเขา เพียงเอ่ย “ไปเถอะ ผมไม่อยากเจอคุณจริงๆ”
โล่เจปู้ไม่ยอม “ลูก……..”
“คุณไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรกับผม และไม่ต้องมาต่อสู้กับอะไรที่นี่ คุณเคยคิดบ้างหรือเปล่า คุณแอบมาเจอผมลับหลังเธอแบบนี้ คิดหักหลังเธอหรือเปล่า ถ้าเธออยากให้คุณรู้ถึงการมีอยู่ของผม คงบอกไปตั้งนานแล้ว จนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่เคยคิดจะอธิบายเรื่องนี้เลย คุณคิดแค่ว่า พาผมกลับไป แต่งงานกับเธอ แค่นี้ก็จบแล้วหรอ แต่ผมจะบอกให้คุณเข้าใจว่า นี่ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ ไม่ว่าจะพาผมไป หรือแต่งงานกับเธอ มันไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา คุณคิดว่ามันจะชดเชยให้เราได้หรอ”
หลิงเล่จ้องไปยังโล่เจปู้ เอ่ยอย่างชัดเจน
โล่เจปู่เองไม่เคยคิด ว่าเด็กคนนี้จะฉลาดขนาดนี้
“เธอรู้ได้ยังไงว่าคืนนี้ฉันจะมา” เขามองไปที่หลิงเล่ สายตาคาดหวัง
หลิงเล่หลับตาลง “ตั้งแต่ท่าทางตื่นเต้นของจั๋วซีตอนแนะนำน้องสาวอย่างโม่หลินให้ผมกับเทียนซิงรู้จักก็รู้แล้ว คุณนั่วยีไม่มีคนดูแล ลูกชายทั้งสองไม่ได้อยู่ด้วย ลูกสาวนั้นเป็นเหมือนทุกอย่าง ลูกสาวเต็มใจที่จะอยู่ คงรู้ฐานะของผมแล้วเป็นแน่”
มู่เทียนซิงได้ยินก็ตกใจ ไม่รู้ว่าในใจของหลิงเล่คาดการณ์ได้ถึงขนาดนี้
“รวมทั้งตลอดมื้อเย็น สายตาที่สองพี่น้องตระกูลจั๋วมองผมกล้าๆกลัว พวกเขาอยู่ข้างกายผมมายี่สิบปี ผมคุ้นเคยรู้จักพวกเขาที่สุดแล้ว”
หลิงเล่ค่อยๆเอ่ยจนจบ เปิดตาขึ้น จ้องมองเขา “ยังอยากรู้ว่าทำไมผมถึงบอกว่าคุณมาหาผมลับหลังคุณหญิงเยว่หยาหรอ”
โล่เจปู้ได้แต่จ้องมองลูกชายตัวเองนิ่ง
ยิ่งมองยิ่งชอบ
ฟังเขาวิเคราะห์ออกมา ฉลาดรอบคอบ ยิ่งรู้สึกชอบมากขึ้น
ถ้าพาเขากลับไปแบบนี้ กลับไปอยู่ที่วัง คงจะดีไม่น้อย
“อืม เธอรู้ได้ยังไง” โล่เจปู้ถามต่อ
เขาอยากอยู่ต่ออีกสักนิด ได้พูดคุยกับลูกเยอะขึ้นหน่อย
อีกทั้งยิ่งคุย เกิดความรู้สึก ทั้งสองก็ไม่ต้องมีระยะห่างแบบนี้แล้ว
แม้หลิงเล่จะมองเขาอย่างไร้ความรู้สึก หันกลับมา ท่าทางราวกับเด็ก “ผมไม่บอกคุณหรอก”
มู่เทียนซิง “……..”
โล่เจปู้ “……..”
ในบรรยากาศแบบนี้ กลับมีเสียงดังขึ้นมา
จ๊อก จ๊อก~
เสียงท้องใครร้อง
จ๊อก จ๊อก~
ดังขึ้นมาอีกแล้ว
ครั้งนี้มู่เทียนซิงรู้แล้ว เป็นเสียงท้องของโล่เจปู้กำลังร้องอยู่
หลิงเล่มองเขาอย่างประหลาดใจ แปลกใจที่ตนเองสบตากับเขา จึงหมุนหน้ากลับไป กอดมู่เทียนซิงเอาไว้อีกรอบ
โล่เจปู้กระอักกระอ่วน ไม่รู้ว่าต้องทำอะไรอยู่ชั่วขณะ
ตั้งแต่เด็กจนโต เขาฉลาดหลักแหลมมาตลอด แต่ทำไม่เมื่อมาเจอลูกชายคนนี้ของเขาแล้ว สมองเขาถึงได้เปลี่ยนเป็นโง่ไปแล้วหรือ
และตอนนี้ มู่เทียนซิงกลับไม่อยากจะเชื่อ “ฝ่าบาท คุณอย่างไม่ได้ทานอาหารเย็นหรอคะ”
โล่เจปู้มองหลิงเล่เล็กน้อย จากนั้นหันไปพยักหน้าตอบมู่เทียนซิง
ท่าทางแบบนั้น น่าสงสารมาก
ตอนนี้ มู่เทียนซิงรู้แล้ว ท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูของหลิงเล่ แถมท่าทางแกล้งอ่อนแอ ด้านมืดพวกนี้ตกทอดมาจากฝ่าบาทชัดๆเลย
ยักไหล่เล็กน้อย มู่เทียนซิงจึงดึงศีรษะหลิงเล่ออกห่าง บอกยิ้มๆ “ฉันไม่ได้เก่งอะไร แต่เมื่อก่อนวันเกิดของแม่ ฉันเคยฝึกทำบะหมี่อยู่บ้าง หากคุณไม่รังเกียจ นั่งรอก่อนนะคะ ฉันจะทำให้คุณสักถ้วย”
“ไม่รังเกียจ ไม่รังเกียจ” โล่เจปู่ส่ายหน้าติดกัน “ฉันชอบทานบะหมี่ที่สุด รสไหนก็ได้”
มู่เทียนซิงหัวเราะ “ งั้นรอสักครู่นะคะ”
โล่เจปู้ยังเอ่ยชมต่อ “ได้ คุณหนูมู่ช่างคล่องแคล่วและชาญฉลาด จิตใจดีงามจริงๆ”
เขาค้นพบแล้วว่า เวลาที่เขาชื่นชมมู่เทียนซิง เก๊กที่อยู่บนวีลแชร์นั้น มักแสดงออกถึงความภาคภูมิใจ แม้หลิงเล่จะแอบซ่อนเอาไว้ก็เถอะ ทว่าหนีไม่พ้นสายตาราชาอย่างเขาหรอก
“ผมก็จะทานด้วย” หลิงเล่มองประท้วงเธอ “คุณไม่เคยบอก ว่าคุณทำบะหมี่เป็น ผมไม่เคยได้ลองชิมเลย”