ตอนที่ 27 ของขวัญ
พวกอันธพาลล้มลุกคลุกคลานวิ่งหนีไป เฉียวเวยถือเงินหนักอึ้งเดินไปที่รถม้า

สือชียืนอยู่หน้ารถม้า เมื่อเห็นเฉียวเวยเข้ามา ลูกตาก็กลอกวนทั่วร่างนางอย่างรวดเร็ว วนครบรอบหนึ่งก็ชะเง้อมองซ้ายมองขวาด้านหลังนางอีก คล้ายกับว่ากำลังมองหาอะไรบางอย่าง

“อะไรหรือสือชี” เฉียวเวยถามอย่างสงสัย

สือชีขมวดคิ้วน้อย มองหาข้างกายนางไม่หยุด

เฉียวเวยครุ่นคิด แล้วลองถามหยั่งเชิง “เจ้ากำลังมองหาวั่งซูบุตรสาวข้า เด็กที่เจ้าช่วยไว้วันนั้นใช่หรือไม่”

สือชีพยักหน้า

เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ “เจ้ายังจำนางได้อีก วันนี้นางไปเรียนหนังสือ ไม่ได้ตามข้ามาด้วย”

สือชีขมวดคิ้วอย่างผิดหวัง ผ่านไปครู่หนึ่งก็หยิบของเล็กจ้อยสีเขียวชิ้นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อแล้วส่งให้เฉียวเวย

เฉียวเวยรับมาดู เห็นว่าเป็นตั๊กแตนสานจากใบไผ่ตัวหนึ่งที่สานได้ประณีตอย่างยิ่งก็เอ่ยว่า “จะให้วั่งซูหรือ”

สือชีพยักหน้าอีกครั้ง ดวงตาเป็นประกายเล็กน้อย

มองไม่ออกเลย สือชียามลงมือวิวาทโหดเหี้ยมเช่นนั้น แต่เมื่ออ่อนโยนความคิดกลับละเอียดดุจฝุ่นธุลี ทุกคนที่ดีกับลูกของนาง นางล้วนชมชอบทั้งสิ้น เฉียวเวยตบไหล่สือชีอย่างมีความสุข “ข้าขอบคุณเจ้าแทนวั่งซู”

เอ๋ มีกล้ามด้วย

เฉียวเวยลองบีบ แล้วก็บีบ แล้วก็บีบอีกครั้ง

คนขับรถม้าด้านข้างมองจนตาค้างไปแล้ว ในใจคิดว่า แม่นาง เจ้ารู้หรือไม่ว่าสือชีตัดมือคนมาเท่าไรแล้ว แม้แต่องค์หญิงก็ไม่กล้ากินเต้าหู้สือชีเช่นนี้ เจ้ากินพอแล้วหรือยัง!

สัมผัสที่มือช่างรู้สึกดีเหลือเกิน หน้าตาก็น่ารักปานนี้ อยากขโมยกลับไปเป็นน้องเล็กจริงๆ

แต่ผู้อื่นช่วยตนไว้มากมายปานนั้น ตนเองมีความคิดเช่นนี้ออกจะใจแคบอยู่บ้าง เฉียวเวยรั้งมือกลับมาอย่างอาลัยอาวรณ์ นางมองสือชีแล้วมองบุรุษในรถม้า “คุณชาย ใกล้เที่ยงแล้ว หากไม่รังเกียจ ข้าขอเลี้ยงอาหารทั้งสองท่านที่เหลาสุราได้หรือไม่!”

บุรุษผู้นั้นเอ่ยตอบสบายๆ “พวกข้ารีบกลับเมืองหลวง แม่นางมิต้องสิ้นเปลือง”

เฉียวเวยครุ่นคิดแล้วตัดสินใจยื่นถุงเงินผ่านหน้าต่างรถเข้าไป “ถ้าเช่นนั้นท่านรับสิ่งนี้ไว้เถิด เงินพวกนี้ข้าขู่กรรโชกมาจากตัวพวกเขา ท่านเอาไปซื้อสุราดื่มสักหน่อย”

พูดให้ถึงที่สุดแล้วการที่ขู่กรรโชกเอาเงินมาได้เท่านี้ล้วนเป็นเพราะสือชีสุดเท่ห์แสดงอำนาจซ้อมพวกเขาจนยับ มิฉะนั้นอาศัยแค่นางอ้าปากคุยโวส่งเดช ต่อให้โม้จนน้ำลายท่วมฟ้าก็คงไม่มีคนเชื่อ

เดิมคิดจะเลี้ยงอีกฝ่ายส่วนหนึ่ง ตนเองเก็บเอาไว้ส่วนหนึ่ง ทว่าในเมื่ออีกฝ่ายรีบเดินทาง ถ้าเช่นนั้นให้อีกฝ่ายทั้งหมดก็แล้วกัน แบบนี้แลดูค่อนข้างจริงใจอยู่บ้าง

เขาปรายตามองถุงเงินใบนั้นแต่ไม่รับ เฉียวเวยยกค้างไว้เช่นนั้นจนปวดแขน

สายตาของบุรุษผู้นั้นเคลื่อนมาหยุดอยู่ที่ปิ่นหินหยกบนเรือนผมดำสนิทของนาง “เจ้าเลือกเครื่องประดับเป็นหรือไม่”

หนึ่งเค่อหลังจากนั้น เฉียวเวยก็เดินเข้าไปในร้านเครื่องประดับร้านเดียวบนถนนต้าซิง นั่นก็คือร้านต้าฟัง

เถ้าแก่นั่งดีดลูกคิดอยู่หลังโต๊ะอย่างเบื่อหน่าย เมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นหญิงชาวบ้านหน้าตาสะสวยที่เพิ่งมาซื้อปิ่นหยกปลอมราคาห้าสิบอีแปะเล่มหนึ่งไปเมื่อครู่ก็หมดความสนใจในทันใด

“คุณชาย เชิญ” หลังจากเฉียวเวยข้ามธรณีประตูก็เชิญบุรุษผู้นั้นเข้ามา

เถ้าแก่อ่านคนมานับไม่ถ้วน มองเสื้อผ้าของบุรุษผู้นั้นเพียงปราดเดียวก็ทราบว่าเป็นลูกค้าคนสำคัญ บนร่างเขามีกลิ่นอายของความสง่างามและความสูงศักดิ์ แต่น่าเสียดายที่สวมหมวกปีกกว้างติดผ้าโปร่งอยู่จึงมองเห็นหน้าตาไม่ชัด

เถ้าแก่รีบวางลูกคิดลงแล้วยิ้มตาหยีเดินเข้ามาต้อนรับ “ขอเรียนถามทั้งสองท่านต้องการซื้อหาเครื่องประดับเช่นไร”

เฉียวเวยเหล่มองเขาอย่างดูแคลน หากมิเห็นแก่เสมียนน้อยคนนั้น นางก็คร้านจะแนะนำลูกค้าให้เถ้าแก่เลือกปฏิบัติผู้นี้ “เสมียนที่ขายปิ่นให้ข้าเมื่อครู่เล่า เรียกเขามา ท่านชราแล้ว ควรทำสิ่งใดก็ไปทำสิ่งนั้นเถิด”

เถ้าแก่มุมปากกระตุกแล้วเรียกเสมียนออกมาทั้งที่ปากยิ้มแต่ตาไม่ยิ้ม

เสมียนเห็นลูกค้ากลับมาก็ดีใจยิ่งนัก โชคดีที่ตนไม่ตาสุนัขช่างดูถูกคนเหมือนเถ้าแก่ ครานี้แม้แม่นางไม่ได้ซื้อเครื่องประดับล้ำค่าอันใดด้วยตนเอง แต่ก็แนะนำลูกค้าผู้มั่งคั่งให้คนหนึ่ง!

เสมียนหยิบปิ่นดอกเหมยหยกน้ำผึ้งที่เฉียวเวยต้องตาตั้งแต่ครั้งแรกออกมา “แม่นางมาซื้อสิ่งนี้กระมัง ข้าทราบว่าแม่นางชื่นชอบจึงตั้งใจเก็บไว้ให้แม่นาง”

บุรุษผู้นั้นมองมาทางเฉียวเวย เฉียวเวยรีบโบกมือพลางขยับยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ได้ซื้อให้ข้า ให้ท่านย่าของคุณชาย ปิ่นเล่มนี้สีสันจืดเกินไป ท่านแม่เฒ่าประดับแล้วจะดูไม่สูงศักดิ์พอ”

“แม่นางพูดถูกต้องแล้ว” เสมียนวางปิ่นดอกเหมยกลับไปอย่างว่องไว “ถ้าเช่นนั้นเชิญคุณชายกับแม่นางตามข้าขึ้นไปบนชั้นสองเถิด”

มีชั้นสองด้วย!

ชั้นสองไม่กว้างเหมือนชั้นหนึ่ง ทว่าเครื่องประดับแต่ละชุดเป็นสินค้าชั้นดีดูหรูหรากว่าชั้นที่หนึ่ง แน่นอนว่าราคาก็มากกว่าชั้นที่หนึ่งหลายเท่า ไม่แปลกที่ไม่มีผู้ใดพานางขึ้นมาชั้นที่สอง ของที่นี่ต่อให้นางไม่กินไม่ดื่มก็ซื้อไม่ไหว

อาศัยบารมีของคุณชาย นางจึงได้เปิดหูเปิดตาสักครั้ง

“คุณชาย เหล่าฮูหยินชอบทองคำหรือว่าชอบหยกเจ้าคะ”

“ได้ทั้งสิ้น”

“ถ้าเช่นนั้นเหล่าฮูหยินชอบอวดมากกว่าหน่อยหรือชอบเก็บเงียบมากกว่าหน่อยเจ้าคะ”

“ได้ทั้งนั้น”

บอกมีค่าเท่ากับไม่บอก

เฉียวเวยจึงทำได้เพียงอาศัยมุมมองทางด้านความงามของตนเอง นางเลือกปิ่นทองประดับหยกชุดหนึ่ง ทั้งหมดมีห้าเล่ม ล้วนใช้หยกสีเขียวนวลเป็นพื้น ตัวปิ่นรีดทองเป็นเส้นแล้วพันขดขึ้นเป็นรูปบุปผากับผีเสื้อ บุปผาแต่ละดอกละเอียดลออจนเห็นลายบนกลีบ ผีเสื้อก็ดูราวกับมีชีวิต ตัวปิ่นเรียวยาวก็ทำจากทองคำด้วย จะว่าบังเอิญก็บังเอิญ แต่ทองคำชนิดนี้เป็นชนิดที่ไม่วาวแสง เมื่อประดับแล้วดูสุขุมลุ่มลึก เรียบง่าย สง่างาม ไม่ทำให้รู้สึกเหมือนเศรษฐีใหม่ทำนองนั้นสักนิด

บุรุษผู้นั้นให้เสมียนห่อปิ่นให้

เฉียวเวยจึงเอ่ยว่า “เดี๋ยวก่อน สิ่งนี้ราคาเท่าไร”

เสมียนยิ้มแย้มเอ่ยว่า “แปดร้อยตำลึงขอรับ”

เฉียวเวยตาโตอ้าปากค้าง “อะ อะไรนะ แปดร้อยตำลึง เจ้าไม่ปล้นกันเลยเล่า”

เสมียนเอ่ยอย่างมีมารยาท “แม่นาง ท่านอาจไม่ทราบ ปิ่นชุดนี้น่ะเป็นของโบราณจากรัชสมัยก่อน ทั้งชุดมีอยู่สิบสองเล่ม แต่ร้านของพวกเราตามหามาได้เพียงห้าเล่มจึงขายราคาถูก หากเป็นทั้งชุดอาจขายได้ถึงห้าพันเชียวขอรับ”

เฉียวเวยมองเขาอย่างคลางแคลง แม้ข้าจะประทับใจเจ้าอยู่มาก แต่ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะมาฟันราคาข้าได้ “พวกเจ้าขายของโบราณหรือ หลอกผู้ใดกัน”

เสมียนแย้มรอยยิ้ม “แม่นาง ไม่ได้หลอกท่านจริงๆ ของชิ้นนี้เป็นปิ่นโบราณของแท้ หกท่านไม่เชื่อลองนำไปตรวจสอบที่ร้านของโบราณได้ หากเป็นของปลอม ทางเราจะชดใช้เงินคืนให้ท่านสิบเท่า”

เฉียวเวยแค่นเสียงดังเหอะ “ถึงกระนั้นแปดร้อยตำลึงก็แพงเกินไป ห้าร้อย!”

เสมียนยิ้มอย่างจนปัญญา “แม่นาง ราคานี้ ค่าของยังไม่พอเลยขอรับ”

เฉียวเวยเลิกคิ้ว “ข้าก็เป็นคนทำการค้าเช่นกัน ข้ารู้หนทางคดเคี้ยวในวงการดี พวกเจ้าขายสี่ร้อยตำลึงก็ไม่ขาดทุนแล้ว ข้าเห็นแก่พวกเจ้าเป็นร้านใหญ่โตเช่นนี้ ต้องจ่ายค่าเช่า ต้องจ้างคนงาน ถึงให้พวกเจ้าได้กำไรเพิ่มอีกหนึ่งร้อยตำลึง”

เสมียนหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “แม่นาง ห้าร้อยตำลึงไม่ได้จริงๆ หากท่านต้องการจริงๆ เจ็ดร้อยห้าสิบตำลึงก็แล้วกัน”

“ห้าร้อยห้าสิบ”

“ท่านเป็นลูกค้าเก่า เอาเช่นนี้ เจ็ดร้อย ราคาจริงใจแล้วขอรับ”

สีหน้าของเฉียวเวยไม่เปลี่ยนสักนิด “ห้าร้อยห้าสิบ มากขึ้นอีกสักอีแปะข้าก็ไม่ซื้อ! เดิมทีก็ไม่จำเป็นจะต้องมาซื้อที่ร้านของพวกเจ้า ประเดี๋ยวก็กลับเมืองหลวงแล้ว ในเมืองหลวงมีร้านดีๆ ถมไป ยังจะกลัวเลือกเครื่องประดับที่เหมาะสมไม่ได้สักหลายชิ้นหรือ”

เสมียนจนปัญญาจึงต้องลงไปขอคำชี้แนะจากเถ้าแก่ แล้วกลับมาแจ้งเฉียวเวยว่า “แม่นาง เถ้าแก่ของพวกข้าบอกว่าหกร้อยตำลึงเป็นราคาถูกที่สุดแล้ว ถือเสียว่ามอบให้ท่านผู้เป็นสหายคนนี้ หากไม่ได้ เขาเองก็จนหนทาง”

เฉียวเวยเดินไปข้างตัวบุรุษผู้นั้นแล้วกระซิบถามเสียงเบา “คุณชาย ท่านมองออกหรือไม่ว่ามันเป็นของโบราณจริงหรือของโบราณเก๊”

เขาก้มหน้ามองแขนของทั้งสองคนที่แนบชิดกันอย่างไม่ได้ตั้งใจ แววตาชะงักไปวูบหนึ่ง “อืม ของจริง”

ของแท้หรือ ถ้าเช่นนั้นราคานี้ก็คุ้มแล้ว

เฉียวเวยทำท่าเหมือนขาดทุนใหญ่โต “ก็ได้ๆ ราคานี้ก็แล้วกัน”

เสมียนนำทั้งสองคนลงไปคิดเงิน ระหว่างที่เดินผ่านโต๊ะ บุรุษผู้นั้นก็ชี้ปิ่นดอกเหมยหยกน้ำผึ้งเล่มนั้น “ห่อเล่มนี้ด้วย”