เล่ม 1 ตอนที่ 28 กลับเมืองหลวง

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 28 กลับเมืองหลวง
เมื่อออกมาจากร้านต้าฟัง เฉียวเวยก็ไปส่งเขาที่รถม้า เห็นสือชีนั่งเหม่ออยู่บนหลังคารถอย่างเกียจคร้านและเบื่อหน่าย เฉียวเวยคิดอะไรขึ้นมาได้จึงไปซื้อถังหูลู่ฝั่งตรงข้ามมาหนึ่งไม้

สือชีถือถังหูลู่ไว้แล้วสูดน้ำลาย จากนั้นกัดดังกร้วมๆ

ท่ากินนั่นช่างเหมือนเพียงพอนหิมะน้อย

เฉียวเวยอดไม่ได้แย้มรอยยิ้ม มองส่งรถม้าจากไป จนกระทั่งรถม้าหายลับสุดถนน นางจึงเตรียมตัวเดินกลับ

เพิ่งจะหมุนตัวก็เห็นร่างสีดำอยู่ตรงหน้าจนตกใจสะดุ้งโหยง หลังจากเห็นหน้าตาของผู้ที่มาหาชัด นางจึงกำถุงเงินของตนอย่างไม่รู้ตัว

ทันใดนั้นใบหน้าดุร้ายของบุรุษผู้มีรอยแผลเป็นจากดาบก็เผยรอยยิ้มประจบ “แม่นาง ใต้เท้าท่าน…คลายโทสะแล้วหรือไม่”

มารดา ที่แท้ก็จะมาถามว่า ‘ใต้เท้า’ หายโมโหหรือยังนี่เอง คิดว่าเจ้านึกทบทวนแล้วรู้ว่าข้าหลอกเจ้าจึงจะมาแก้แค้นข้าเสียอีก

เฉียวเวยลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วเช็ดเหงื่อเย็นบนหน้าผากอย่างแนบเนียน นางกระแอมเบาๆ ครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “จะง่ายปานนั้นเสียที่ไหน เจ้าไม่เห็นหรือว่าเขาไม่แม้แต่จะทานอาหาร”

เจ้าหมอนี่จะต้องสะกดรอยนางมาตลอดทางเป็นแน่ ดังนั้นเส้นทางของตนกับบุรุษคนนั้นคงปิดบังสายตาของเขาไม่ได้

บุรุษหน้าแผลเป็นลูบคออย่างกลัดกลุ้ม “ถ้าเช่นนั้นจะทำเช่นไรดีเล่า เงินข้าก็ให้เจ้าหมดแล้ว ทำไมเจ้าไม่ทำให้ใต้เท้าหายโกรธเล่า เจ้าคืนเงินข้ามาเลย”

เฉียวเวยเบิกตาโต ลำบากแทบตายกว่าจะรีดไถมาได้สามสิบตำลึง จะคืนไปเช่นนี้ได้อย่างไร นางคงปวดใจตาย!

“ชิชะๆ!” เฉียวเวยหลบมือของเขาที่ยื่นมาคว้าถุงเงินของนาง แล้วมองเขาอย่างถือตัว “ไม่อยากให้ข้าขอความเมตตาแทนพวกเจ้าแล้วใช่หรือไม่ เชื่อหรือไม่ว่าหลังจากใต้เท้ากลับถึงเมืองหลวงแล้ว สิ่งแรกที่จะทำก็คือส่งคนมาสังหารพวกเจ้าระบายโทสะ”

บุรุษหน้าแผลเป็นกลัวจนหน้าซีด!

เฉียวเวยฉวยโอกาสตีเหล็กตอนร้อน “เมื่อครู่ใต้เท้าคิดจะให้สือชีสังหารพวกเจ้าเสีย แต่ข้า เกลี้ยกล่อมแล้วเกลี้ยกล่อมอีกกว่าจะปลอบใต้เท้าได้อย่างหวุดหวิดว่าใกล้จะวันตรุษแล้ว ไม่สมควรให้นองเลือด ทว่าหลังจากผ่านวันตรุษ หากใต้เท้าบังเอิญนึกขึ้นได้ว่าคนไม่รู้จักกลัวตายบางคนเคยเรียกตัวเองเป็นท่านปู่ของเขาต่อหน้าธารกำนัล เจ้าว่าเขาจะบันดาลโทสะ…”

คำพูดประโยคท้าย เฉียวเวยไม่ได้เอ่ยออกมา แต่เลิกคิ้วแล้วทำท่าเชือดคอ

บุรุษหน้าแผลเป็นกลัวจนเข่าอ่อนไปพิงกับกำแพง “ทำเช่นไรดีๆ ทำเช่นไรดี…”

เฉียวเวยแสยะยิ้ม แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “โบราณกล่าวไว้ดียิ่ง รับเงินผู้อื่นย่อมขจัดภัยแทนเขา เห็นแก่ที่พวกเจ้าสำนึกผิดจากใจจริง หลังวันตรุษข้าจะเข้าเมืองหลวงจัดการเรื่องนี้แทนพวกเจ้าก็แล้วกัน!”

บุรุษหน้าแผลเป็นกวาดตามองสำรวจนาง “เจ้า เจ้า เจ้า…เจ้าจัดการเรื่องนี้ได้จริงหรือ”

เฉียวเวยชี้ร้านต้าฟัง “ไม่เชื่อเจ้าก็ลองเข้าไปถามพวกเขาดูว่าอยู่ต่อหน้าใต้เท้า คำพูดของข้ามีน้ำหนักหรือไม่”

บุรุษหน้าแผลเป็นเข้าร้านไปถามจริงๆ

“เครื่องประดับล้วนเป็นแม่นางผู้นั้นเป็นคนเลือก”

“ราคาก็เป็นแม่นางผู้นั้นต่อ”

“เขายังซื้อปิ่นที่แม่นางชอบที่สุดไปด้วย”

“ความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคนหรือ แปดส่วนน่าจะเป็นเมียเก็บสักคนกระมัง…”

เมียเก็บ แม่สาวคนนั้นเป็นเมียเก็บที่ใต้เท้าเลี้ยงไว้ในชนบทหรือ!

หากเป็นเมียเก็บจริง จุดที่น่าสงสัยนานาประการของใต้เท้าย่อมมีเหตุผลทั้งหมด

หนึ่งปีที่ผ่านมาใต้เท้ามิได้หายตัวไปจริงๆ แต่ใช้ชีวิตสุขสันต์อยู่ด้วยกันกับหญิงชาวบ้านคนนี้น่ะสิ!

ได้ยินมาว่าแต่เดิมใต้เท้ามีคู่หมั้นอยู่ อีกฝ่ายคือคุณหนูสูงศักดิ์จากจวนเอินปั๋ว ใต้เท้าคงไม่อยากถูกจวนเอินปั๋วรู้เข้าจึงซ่อนร่องรอยของตนเอง

หากเป็นเช่นนี้ ใต้เท้าก็รักหญิงชาวบ้านคนนี้จริงน่ะสิ!

พวกเขาเพิ่งจะกินดีหมีหัวใจเสือ ล่วงเกินผู้มีอำนาจเข้าจริงๆ แล้ว! โชคดีที่ฮูหยินไม่คิดเล็กคิดน้อย

บุรุษหน้าแผลเป็นนึกหวาดหวั่นย้อนหลัง ทันใดนั้นก็ตบหน้าอกตัวองแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ฮูหยิน ก่อนหน้านี้ล่วงเกินไปมาก ข้าขอขมาต่อฮูหยิน! ข้ามีนามว่าเฉินต้าเตา! นับจากวันนี้เป็นต้นไป ข้าขอติดตามฮูหยิน! ในมือข้ามีลูกน้องสิบกว่าคน ทั้งหมดล้วนฟังคำสั่งฮูหยิน!”

เปลี่ยนท่าทีเร็วดุจพายุ เฉียวเวยมองเฉินต้าเตาประหนึ่งเห็นผี “ข้าไม่มีเงินเลี้ยงดูพวกเจ้าหรอก…”

เฉินต้าเตารีบตอบว่า “จะให้ฮูหยินเลี้ยงดูพวกเราได้เช่นไร สมควรเป็นพวกเรารับใช้ฮูหยินถึงจะถูก!”

อนาคตฮูหยินอัครมหาเสนาบดี ไม่ถูกต้องสิ ฮูหยินรอง นั่นมีหน้ามีตาใหญ่โตนัก! หากนางออกหน้าให้ จะต้องกล่อมใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีไม่ให้สังหารพวกเขาได้แน่นอน!

แน่นอนว่าเฉินต้าเตายังขบคิดเพิ่มขึ้นอีกชั้น โคลนตมเช่นพวกเขา ชั่วชีวิตไม่มีโอกาสได้แสดงฝีไม้ลายมือ หากเกาะเมียเก็บของใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีไว้ วันหน้าเมื่อกลับเข้าจวนอัครมหาเสนาบดีอาจได้เป็นผู้คุ้มกันจวน ถ้าเช่นนั้นย่อมเป็นเกียรติเป็นศักดิ์ศรีแก่วงศ์ตระกูล!

เฉียวเวยแววตาวูบไหว เจ้าหมอนี่เข้าใจอันใดผิดอยู่ใช่หรือไม่ ถึงขนาดเริ่มเรียกนางว่าฮูหยินแล้ว “เจ้าอย่าได้เข้าใจผิด ข้ากับใต้เท้าไม่ได้มีความสัมพันธ์เช่นนั้นอย่างที่เจ้าคิด”

“ข้าเข้าใจ ข้าเข้าใจ ข้าเข้าใจทั้งสิ้น!” เฉินต้าเตายิ้มร้าย แล้วใช้สายตามีลับลมคมในมองเฉียวเวย

เฉียวเวย “…”

อยากกระทืบเจ้าหมอนี่ให้ตายนักเชียว!

หลังจากนั้นเฉินต้าเตาก็เป็นฝ่ายพาพี่น้องทั้งหลายมาช่วยเฉียวเวยตามหาตะกร้าสองใบที่ทำหายก่อนหน้านี้ น่าเสียดายถูกผู้อื่นเก็บไปหมดแล้ว แม้แต่ตะกร้าก็ไม่เหลือทิ้งไว้ เฉินต้าเตาละอายใจอย่างยิ่ง

เฉียวเวยปลอบเขาราวกับเป็น ‘แม่พระ’ นางนำเงินสามสิบตำลึงที่ขูดรีดจากเขากับลูกน้องของเขาเดินอาดๆ ไปซื้อเนื้อ เพราะในมือมีเงินเหลือ จึงซื้อเพิ่มมากกว่าเดิมยี่สิบชั่ง ไข่เค็มที่แพงประหนึ่งทองคำก็ยังซื้อมาตั้งยี่สิบฟอง

เมื่อกลับมาถึงหมู่บ้านซีหนิวก็เป็นยามบ่ายแล้ว

นางแวะไปที่บ้านของป้าหลัวก่อน

ป้าหลัวช่วยนางหิ้วตะกร้าซ้ายตะกร้าขวาเข้าบ้าน “ทำอะไรกันนี่ สายป่านนี้ถึงเพิ่งกลับมา ค้าขายไม่ดีหรือ”

เฉียวเวยไม่กล้าเล่า ‘ประสบการณ์สุดพิลึก’ ของตนให้ป้าหลัวฟัง กลัวว่าป้าหลัวจะตกใจเสียเปล่า จึงเล่าให้ฟังแต่เรื่องที่ตนกับโรงน้ำชาหรงจี้ทำการค้าร่วมกัน “…คุยกับเถ้าแก่หรงตลอดทั้งเช้า ออกมาก็ใกล้เที่ยง แล้วยังไปซื้อข้าวของที่ตลาดนัดอีกจึงช้า”

ป้าหลัวไม่สงสัยนางสักนิด พยักหน้าแล้วเอ่ยอย่างเบิกบานใจ “เจ้านี่นะก็มีโชควาสนา ใช่แล้ว อันธพาลกลุ่มนั้นไม่ได้มาหาเรื่องเจ้าอีกใช่หรือไม่”

เฉียวเวยเอ่ยโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิด “ไม่เจ้าค่ะ ท่านนายอำเภอจับคนไปแล้ว ไม่มีผู้ใดกล้าสร้างปัญหาแล้ว”

ป้าหลัวจึงวางใจ “ถ้าเช่นนั้นก็ดี ถ้าเช่นนั้นก็ดี”

เฉียวเวยส่งตะกร้าผักทั้งสองใบให้ป้าหลัว แต่ละตะกร้าใส่เนื้อแดดเดียวไว้สิบชั่ง เนื้อแพะสิบชั่ง ไข่เค็มห้าฟอง “ตะกร้าหนึ่งของท่าน ตะกร้าหนึ่งให้พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้”

ป้าหลัวมองดูก็พบว่ามีแต่อาหารราคาแพงที่ซื้อหาไม่ได้ทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งไข่เค็ม ชีวิตนี้นางยังไม่เคยซื้อสักครั้ง “เจ้าเอาเงินมากมายปานนั้นมาจากที่ใด เงินที่ขายเสือก็ใช้หมดแล้วไม่ใช่หรือ”

ในยุคนี้ราคาของไม่ถูก ซื้อหาของมาเติมกำแพงสี่ด้านของบ้านให้เต็มก็ใช้เงินไปเจ็ดแปดส่วนแล้ว

ส่วนเงินสิบตำลึงที่ได้เป็นค่ารักษา เฉียวเวยเก็บเอาไว้ นั่นเป็นเงินฉุกเฉิน ไม่ถึงยามจำเป็นจะไม่แตะเด็ดขาด

เฉียวเวยเอ่ยว่า “ยังใช้ไม่หมดเจ้าค่ะ ยังเหลืออีกเล็กน้อย”

ป้าหลัวถามว่า “แล้วเจ้าก็เอาไปซื้อของจนหมดหรือ หลังจากนี้ตอนซื้อวัตถุดิบจะทำเช่นไรเล่า”

เฉียวเวยยิ้มละไม “ตอนนี้ข้าหาเงินได้มากกว่าแต่ก่อนแล้ว ท่านวางใจเถิด อีกอย่างหนึ่ง หากข้าสิ้นไร้ไม้ตอกจริง ไม่ใช่ว่ายังมีท่านหรือ ท่านก็ให้ข้าหยิบยืมสักหน่อย”

ป้าหลัวเข้าไปหยิบถุงเงินมาจริงๆ เฉียวเวยจึงหลุดหัวเราะ สองแม่ลูกพูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง เฉียวเวยก็ไปบ้านซิ่วไฉเฒ่าเพื่อรับเด็กๆ

จวนตระกูลจี

เรือนลั่วเหมยที่เงียบเหงามาหนึ่งปีในที่สุดก็คึกคัก ไม่ใช่เพราะเรื่องอื่นใด แต่เป็นเพราะคุณชายใหญ่ที่หายตัวไปหนึ่งปีของพวกเขา ในที่สุดก็กลับมาแล้ว