ตอนที่ 76-2 ประกาศรายชื่อบนป้ายทอง
การไปเมืองหลวงสองวันทำให้ธุรกิจล่าช้า เถ้าแก่หรงคงร้อนใจมากแล้ว วันรุ่งขึ้นเฉียวเวยจึงตื่นตั้งแต่ยังไม่ถึงยามสี่ นางทำขนมโก๋ซานเย่าไส้พุทราแดงหนึ่งร้อยชิ้นกับขนมเหอเถา

เสียงขนมทอดในกระทะน้ำมันเดือดนั้นชัดเจนเป็นพิเศษท่ามกลางภูเขายามเช้า หมู่สกุณาร่ำร้องเป็นสัญญาณเริ่มต้นของวันใหม่

ตอนนี้เฉียวเวยไม่ใช้ตะกร้าใส่ขนมแล้ว แต่ซื้อกล่องอาหารที่มีหลายชั้นมาหลายกล่อง ความวิเศษของกล่องอาหารเหล่านี้คือแต่ละชั้นมีตะขอ อยากได้กี่ชั้นก็ใส่ไปเท่านั้น ใส่ขนมไปชั้นละยี่สิบชิ้น ใช้กล่องใบใหญ่ห้าชั้นสองกล่องก็เพียงพอแล้ว

เมื่อทุกอย่างพรักพร้อม ท้องฟ้าก็เพิ่งเริ่มมีแสงรำไรเท่านั้น นางเข้ามาในห้องก็เห็นเด็กน่ารักสองคน แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าส่องกระทบใบหน้าของพวกเขาผ่านหน้าต่างกระดาษ บรรยากาศอันเงียบสงบและความรู้สึกสงบสุขทำให้หัวใจคนรู้สึกอบอุ่นอย่างไม่รู้ตัว

นางจูบหน้าผากลูกๆ ทั้งสองคน จากนั้นไปทำอาหารเช้าที่ห้องครัว

นางสังเกตว่าเด็กๆ ชอบอาหารที่มีน้ำแกงขลุกขลิก เช่นแป้งสับน้ำแกงเนื้อแกะ ซาลาเปาไส้น้ำแกง นางไม่ได้ซื้อผักเข้าบ้านมาสองวันแล้วและไม่มีเนื้อสดเลย มีแต่ไข่เยี่ยวม้ากับเนื้อรมควัน นางจึงหั่นขิง ผักใบเขียว แล้วตุ๋นโจ๊กเนื้อรมควันใส่ไข่เยี่ยวม้า แล้วทำขนมงาผสมยี่หร่าที่ทั้งบางทั้งกรอบเพิ่มอีกอย่าง ตอนเข้าห้องมาจิ่งอวิ๋นก็ตื่นแล้ว เขากำลังนั่งใส่กางเกงอยู่บนเตียง ก้นเล็กๆ โผล่ออกมา พอเห็นมารดาเดินเข้ามาก็ ‘ตกใจ’ รีบเข้าไปซ่อนอยู่ในผ้าห่ม

เฉียวเวยอดหัวเราะไม่ได้ เพิ่งอายุเท่าใดเองก็รู้จักอายแล้ว ตอนอาบน้ำนางก็เห็นหมดแล้วมิใช่หรือ

เฉียวเวยเดินไปดึงผ้าห่มออกแล้วสวมกางเกงให้ เขาหน้าแดงรีบวิ่งออกไปปัสสาวะอย่างขัดเขิน เฉียวเวยนึกในใจ มีความสุขจริงเชียว!

หลังทานอาหารเช้าเสร็จ เฉียวเวยก็ไปส่งเด็กสองคนที่บ้านของซิ่วไฉเฒ่า จากนั้นหยิบกล่องอาหารขึ้นรถม้าของตาเฒ่าซวนจื่อเดินทางเข้าเมือง

วันก่อนไปเมืองหลวง เฉียวเวยลาหยุด เมื่อรวมวันที่ยี่สิบหกกับยี่สิบเจ็ด ทั้งหมดก็เป็นเวลาสามวันเต็มที่นางไม่ได้มาส่งไข่เยี่ยวม้าที่หรงจี้ เถ้าแก่หรงกำลังจะหัวระเบิดแล้วจริงๆ เขาเดินไปเดินมาอยู่หน้าโต๊ะคิดเงิน เมื่อเห็นรถม้าของตาเฒ่าซวนจื่อก็ก้าวพรวดเข้าไปหาทันควัน!

“เสี่ยวเฉียว!”

เป็นเพราะพวกเขาสองคนคุ้นเคยกันดีแล้ว จึงเรียกกันอย่างสนิทสนมมากขึ้น

เฉียวเวยถูกตวาดเรียกเสียงดังลั่นก็ตกใจ จนเกือบทำกล่องอาหารหลุดมือ

เถ้าแก่หรงเปิดผ้าม่านออกมาอย่างรีบร้อน เมื่อเขาเห็นกล่องอาหารขนาดใหญ่สองกล่องที่นางถืออยู่ ดวงตาก็เป็นประกายด้วยความตื่นเต้น “ข้าถือเอง ข้าถือเอง ข้าถือเอง!”

เขาเอื้อมมือออกไปรับกล่องอาหารทั้งสองกล่อง

แต่กล่องอาหารนั่นหนักมากจนยกแทบไม่ไหว เพิ่งถือเดินไปได้ก้าวเดียว ใบหน้าของเขาก็กลายเป็นสีเลือดหมู

“ข้าถือเองดีกว่า” เฉียวเวยฉวยกล่องอาหารมาถือเองแล้วเดินเข้าไปในห้องโถงอย่างสบายๆ

เถ้าแก่หรง “…”

เฉียวเวยส่งขนมให้เสี่ยวลิ่ว เสี่ยวลิ่วนำไปใส่จานในครัว

เถ้าแก่หรงเดินตามเข้ามาแล้วเอ่ยอย่างไม่พอใจเล็กน้อย “ไข่ของข้าอยู่ที่ใด เจ้าไม่ส่งของมาหลายวันแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าลูกค้าเร่งจะเอาของ”

ไข่เยี่ยวม้าขายฟองละสองร้อยอีแปะยังอุตส่าห์ขายจนลูกค้าต้องมาเร่ง ต้องขอบอกว่าเถ้าแก่หรงช่างมีความสามารถจริงๆ

เฉียวเวยหัวเราะ “บังเอิญเช้านี้ข้าทำโจ๊กเนื้อรมควันกับไข่เยี่ยวม้า แล้วพบว่าไข่ยังหมักไม่ได้ที่ดี”

ความจริงก็คือโถที่หมักได้ที่นั่นมอบให้เฉินต้าเตาไปแล้วเมื่อวานนี้ ส่วนที่นำมาทำวันนี้คือไข่ที่ปกติจะเก็บไว้เองสองสามฟอง ไข่เยี่ยวม้าชุดหน้าจะหมักได้ที่ต้องรอประมาณวันที่หนึ่ง

เถ้าแก่หรงหน้ามุ่ย “เจ้าหัวเราะทีไรล้วนไม่ใช่เรื่องดี! เจ้าต้องหลอกข้าอีกแน่ๆ!”

เฉียวเวยหัวเราะออกมาดังๆ คราวนี้นางขำจริงๆ “ข้ารับปากท่านว่าก่อนวันที่สามจะขนมาให้ท่านสองร้อยฟอง!”

“ต้องอย่างนี้สิ!” ในที่สุดเถ้าแก่หรงก็ไม่ทำหน้าเศร้าอีกต่อไป เขาเชิญเฉียวเวยไปดื่มชาในห้องบัญชีของเขา “จริงสิ ลูกสองคนของเจ้าไปสอบเสินถงเป็นอย่างไรบ้าง”

“พวกเขาพยายามสอบอย่างเต็มที่แล้ว ส่วนคะแนนจะเป็นเช่นไร ค่อยรอฟังผลตอนต้นเดือน”

“ยังเด็กกันอยู่ ไม่ต้องรีบ” เถ้าแก่หรงปลอบใจ ในความเห็นของเขา ให้เด็กอายุห้าขวบไปสอบนั้นออกจะรีบไปหน่อย ลูกของเขาอายุเจ็ดแปดขวบแล้วยังไม่ยอมไปสำนักศึกษาเสียที เอาแต่เล่นไร้สาระอยู่หลังเรือน

เฉียวเวยยิ้ม

เถ้าแก่หรงเปิดลิ้นชัก หยิบกุญแจออกมาเปิดตู้ จากนั้นหยิบสมุดบัญชีกับกล่องลวดลายงดงามออกมา เขายื่นสมุดบัญชีให้เฉียวเวย “นี่สมุดบัญชีของเดือนนี้ เจ้าตรวจดูสิ”

เฉียวเวยพอจะรู้เรื่องบัญชีบ้าง พอรับมามองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นบัญชีลับ ไม่ใช่บัญชีเล่มปกติ (ของปลอม) ที่เอาไว้แสดงให้ทางการตรวจสอบ นางอ่านเพียงส่วนของตัวเองด้วยความซื่อสัตย์ “ขายได้ไม่เลวเลยนะ เถ้าแก่หรง”

เถ้าแก่หรงกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “แน่นอนสิ ไม่รู้เสียแล้วว่าผู้ใดเป็นคนขาย!” เขาเลื่อนกล่องลวดลายงดงามใบนั้นไปหน้าเฉียวเวย “นี่ ส่วนแบ่งของขนมสิบห้าตำลึง ส่วนแบ่งของไข่เยี่ยวม้าสิบเจ็ดตำลึงทอง ยี่สิบสองตำลึงเงิน ห้าร้อยอีแปะ”

เมื่อเห็นทองคำ เฉียวเวยก็ตาลุกวาว

พวกขนม เฉียวเวยได้เงินเจ็ดส่วนจากยอดขายทั้งหมด ส่วนไข่เยี่ยวม้า นางได้เงินเจ็ดส่วนจากยอดขายทั้งหมดหลังหักค่าของฟองละหนึ่งร้อยอีแปะออกแล้ว ไข่เยี่ยวม้าขายได้ฟองละสองร้อยอีแปะ แม้อาจกล่าวได้ว่ากำไรดีมาก แต่ไม่น่าจะทำเงินได้มากถึงสิบกว่าตำลึงทอง!

ทันใดนั้นเฉียวเวยก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ นางหันไปมองเขาอย่างสงสัย “ท่านคงไม่ได้…”

โกงเงินคุณหนูจวนเอินปั๋วมาจริงกระมัง

แถมโกงอย่างอำมหิตเช่นนี้ด้วย!

โกงทองของนางมาหมดเลย!

เถ้าแก่หรงจิบชาอย่างสบายใจ พูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ ว่า “เจ้าเดาไม่ผิด ข้าเชือดแกะอ้วนพีตัวนั้นของเจ้าเรียบร้อย! ข้าไม่ได้ว่าเจ้านะเสี่ยวเฉียว แต่เรื่องความสามารถในการหลอกเชือดเอาเงินผู้อื่น เจ้ายังต้องเรียนรู้จากเถ้าแก่หรงผู้นี้อีกมาก!”

“แน่นอน แน่นอน!”

มีคำกล่าวอยู่ว่าสามคนเดินผ่าน ย่อมมีครูข้าอยู่ในนั้น หากกล่าวถึงชั้นเชิงฝีมือในการหลอกต้มผู้อื่น นางสู้เถ้าแก่หรงมิได้จริงๆ หลังจากนี้ต้องถ่อมตัวขอคำชี้แนะแน่นอน!

หาเงินจนได้ทองยุคโบราณมาหนึ่งกล่องแล้วยังเป็นทองคำแท้ด้วย เฉียวเวยอารมณ์ดีอย่างสุดจะพรรณนา นางถือกล่องลวดลายงดงามใบนั้นเดินละเมอยิ้มมาขึ้นรถ ยิ้มจนพ่อเฒ่าซวนจื่อหวั่นใจ นึกกลัวเจ้าเด็กคนนี้พบเรื่องสะเทือนใจอันใดมาจนเสียสติหรือเปล่า

ทองคำหนึ่งตำลึงเท่ากับเงินสิบตำลึง เมื่อรวมกับเงินค่าสินค้าครั้งก่อน เดือนนี้นางก็หาเงินได้มากกว่าสองร้อยตำลึงแล้ว เป็นเดือนที่รายได้มากที่สุดตั้งแต่นางทะลุมิติมา! นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน ตอนแรกที่มาถึงแม้แต่ยาเกล็ดหิมะราคาหนึ่งร้อยอีแปะนางยังซื้อไม่ไหว แต่ตอนนี้จะให้นางเหมายาเกล็ดหิมะสักครึ่งร้านก็ยังได้!

เฉียวเวยให้ตาเฒ่าซวนจื่อขับรถม้าไปตลาด นางซื้อไข่เป็ดสองตะกร้าใหญ่ ไข่เป็ดขายฟองละสองอีแปะ ซื้อจำนวนมากจะได้ราคาส่งถูกขึ้นมาหน่อย เงินสี่ร้อยห้าสิบอีแปะซื้อไข่เป็ดได้สามร้อยฟอง

หลังจากนั้นนางจึงไปซื้อเนื้อแกะสด หมูสามชั้น น้ำมันงาสิบชั่ง แป้งสาลี แป้งข้าวโพด เส้นบะหมี่…แล้วยังซื้อแป้งชนิดต่างๆ อย่างละนิดอย่างละหน่อย รวมทั้งพุทราจีน มันเทศและส่วนผสมอื่นๆ สำหรับทำขนม

แค่เห็นเนื้อเหล่านั้น ตาเฒ่าซวนจื่อก็ตกใจแล้ว ไม่ต้องพูดถึงข้าวของห่อใหญ่ห่อเล็กที่กองอยู่เต็มรถม้า ดูเหมือนว่าเสี่ยวเฉียวจะได้กำไรจากการการค้าขายมากจริงๆ นางใช้ชีวิตอู้ฟู่กว่าหัวหน้าหมู่บ้านเสียอีก!

หลังจากกลับถึงบ้าน เฉียวเวยก็ขุดหลุมขนาดใหญ่ฝังทองคำไว้ในสวนหลังบ้านทันที ในเมืองไม่มีร้านแลกเงินที่น่าเชื่อถือ ไว้วันไหนไปเมืองหลวง นางค่อยเอาเงินไปฝาก

สิ้นเดือนป้าหลัวชวนชาวไร่นิสัยซื่อสัตย์สองคนจากหมู่บ้านอื่นมาช่วยเฉียวเวยปลูกข้าวฟ่าง หลัวหย่งจื้อ ชุ่ยอวิ๋นและครอบครัวของป้าจ้าวก็มาช่วยด้วย ตาเฒ่าซวนจื่อกับบิดามารดาของเอ้อร์โก่วจื่อก็มาร่วมวงเช่นกัน มากคนก็มากแรง แล้วแต่ละคนยังเป็นชาวนาชาวไร่มากฝีมือ การปลูกข้าวฟ่างบนที่ดินสิบหมู่จึงใช้เวลาทำงานเพียงวันเดียวก็เสร็จ

มื้อเย็นทุกคนจะไปทานข้าวที่บ้านสกุลหลัว วันนี้ทำงานหนักมาทั้งวัน สุราชั้นดี อาหารรสเลิศเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้ แม้จะต้องจ่ายค่าแรงบางส่วนให้ชาวไร่หมู่บ้านข้างๆ เพราะไม่ใช่คนกันเอง แต่เฉียวเวยก็คิดว่านี่คือสิ่งสมควร อย่าว่าแต่ชาวไร่สองคนนั้นเลย แม้แต่คนรู้จักอย่างป้าจ้าวและคนอื่นๆ นางก็จะไม่ปล่อยให้พวกเขาทำงานโดยไม่ได้รับผลตอบแทน

ป้าหลัวกลับไปทำอาหารก่อน คนที่เหลืออยู่เตรียมปลูกข้าวฟ่างแปลงสุดท้ายให้เสร็จก่อนพระอาทิตย์ตกดิน

ตอนนั้นเองภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้านก็รีบร้อนวิ่งเข้ามาโบกมือเรียก “โอ้ย เหตุใดพวกเจ้าถึงยังทำไร่กันอยู่เล่า หยุดปลูก หยุดปลูก! มีคนจากในเมืองมาแจ้งข่าวดี!”

แจ้งข่าวหรือ

อาจเป็นเรื่องการสอบเสินถงกระมัง

อันดับของผู้เข้าสอบจะประกาศต้นเดือนมิใช่หรือ วันนี้เพิ่งวันที่สามสิบเอ็ดเท่านั้น

เฉียวเวยปาดเหงื่อออกจากหน้าผากอย่างสับสน อีกด้านหนึ่งป้าจ้าวโยนจอบทิ้งแล้ววิ่งออกไปเป็นคนแรก!

ในหมู่บ้านไม่เคยมีเจ้าหน้าที่ทางการมาแจ้งข่าวดีมาก่อน เห็นบุรุษผู้นั้นขี่อาชาตัวสูงสง่า ทุกคนต่างก็มองเหมือนเห็นเทพเซียนอย่างไรอย่างนั้น พวกเขาแห่แหนกันมามุงดู ทว่าเจ้าหน้าที่กลับไม่โกรธ เขาทักทายทุกคนอย่างเป็นมิตร จากนั้นพลิกตัวลงจากหลังม้า

หัวหน้าหมู่บ้านเข้าไปจูงม้าให้เขาด้วยตัวเองแลวเชื้อเชิญเขาเข้าไปในบ้านของตน ถึงอย่างไรเขาก็เป็นหัวหน้าหมู่บ้าน การต้อนรับเจ้าหน้าที่เป็นความรับผิดชอบของเขา

ชาวบ้านต่างเบียดกันเข้าไปในบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน ห้องโถงจุคนไม่ไหวก็ไปยืนออในลานบ้าน แต่ลานบ้านก็ยังยืนไม่พอจนต้องไปเบียดกันอยู่หน้าประตูแทน สรุปก็คือคนยืนออกันแน่นจนน้ำแทบจะลอดผ่านไม่ได้

หัวหน้าหมู่บ้านกลัวเจ้าหน้าที่จะรำคาญจึงโบกมือไล่ “ไม่ต้องมุง ไม่ต้องมุง! ทุกคนกลับไปทำงาน!”

เจ้าหน้าที่จึงบอกอย่างมีมารยาท “ไม่เป็นไร”

หัวหน้าหมู่บ้านพยักหน้าหงึกหงัก เขายิ้มแล้วสั่งให้ภรรยาไปชงชา แต่ภรรยาวิ่งหายไปไหนแล้วมิทราบ เขาจึงรีบต้มน้ำชงชาด้วยตัวเอง “บ้านคนยากคนจนล้วนมีแต่ชาชั้นเลว ท่านโปรดอย่ารังเกียจ!”

เจ้าหน้าที่รับไว้ จะด้วยรังเกียจหรือไม่ก็สุดรู้ แต่เขามิได้ดื่มสักนิด เขากวาดตามองทุกคนแล้วถามขึ้นว่า “ผู้ใด…เป็นครอบครัวของเฉียวจิ่งอวิ๋น”

“ข้า ข้า ข้า ข้า” ป้าจ้าวฝ่าฟันอุปสรรคมามากมายเบียดเข้ามาจนเนื้อแทบหลุด ในที่สุดก็เบียดมาจนถึงด้านหน้าของเจ้าหน้าที่ “นายท่าน ลูกของข้าผ่านการทดสอบใช่หรือไม่เจ้าคะ”

“ลูกของเจ้าคือ…” เจ้าหน้าที่มองนาง

นางตอบอย่างตื่นเต้น “จ้าวเซิงเจ้าค่ะ!”

เจ้าหน้าที่เปิดดูรายชื่อแล้วยิ้มตอบ “นี่ของเฉียวจิ่งอวิ๋น”

“โอ้” ป้าจ้าวก้มหน้าด้วยความผิดหวัง นางเหลือบมองรายชื่อตั้งหนาบนโต๊ะ “คงไม่ได้มีชื่อคนเดียวกระมัง”

“ไม่ใช่หรอก ท่านป้า” เจ้าหน้าที่คนนั้นสุภาพและเป็นมิตรยิ่งนัก

ภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้านลากเฉียวเวยมาถึง แล้วก็เห็นว่าประตูถูกคนขวางจนเหมือนกำแพง นางจึงกระชากคนออกพลางตะโกนเสียงดัง “หลบไป หลบไป! เจ้าหน้าที่ต้องการพบแม่ของจิ่งอวิ๋น! ไม่ใช่พวกเจ้าเสียหน่อย!”

เมื่อทุกคนเห็นว่าผู้ที่มาคือเฉียวเวย พวกเขาก็หลีกทางให้ทันที

เฉียวเวยถูกลากมาจากแปลงนา นางสวมอาภรณ์ทำจากผ้าป่านเนื้อหยาบ ใบหน้าเต็มไปด้วยฝุ่นผง มือของนางก็เต็มไปด้วยคราบโคลน สภาพเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกเขินอายจริงๆ ทว่าดวงตาใสกระจ่างสุกสกาวคู่นั้นกลับเป็นประกายแวววาวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

เจ้าหน้าที่แน่ใจแทบจะในทันทีว่าคนที่เขากำลังตามหาคือนาง เจ้าหน้าที่ลุกขึ้นยืนแล้วโค้งคำนับนาง “เฉียวฮูหยิน”

เจ้าหน้าที่ผู้นี้แทบไม่มองหน้าหัวหน้าหมู่บ้านด้วยซ้ำ แต่เขาโค้งเอวอันสูงส่งของเขาต่อหน้าเฉียวเวย บรรยากาศรอบๆ เงียบงันทันใด

เฉียวเวยมองเขานิ่งๆ “ท่านมาแจ้งข่าวดีให้กับจิ่งอวิ๋นของข้าหรือ”

เจ้าหน้าที่กล่าวตอบด้วยความยินดี “คุณชายเฉียวได้อันดับสามในการสอบเสินถง เป็นทั่นฮวา[1]น้อยของการสอบเสินถงครั้งนี้!”

จอหงวนน้อย ปั๋งเหยี่ยนน้อย ทั่นฮวาน้อย

ทั่นฮวาน้อย!

ลูกชายของนางได้เป็นทั่นฮวาน้อยเชียวหรือ!

“จิ่งอวิ๋น เขา…”

เจ้าหน้าที่ทราบว่านางต้องการจะพูดอันใด “คุณชายเฉียวพลาดการสอบหนึ่งวิชา คะแนนรวมทั้งหมดไม่พอติดอันดับต้นๆ ก็จริง แต่เขาเป็นผู้เข้าสอบเพียงคนเดียวที่ผ่านประตูด่านที่หกของการสอบครั้งนี้ นับตั้งแต่มีการสอบเสินถงมา มีผู้ที่สอบได้เป็นอันดับต้นๆ มากมายนับไม่ถ้วน แต่ผู้ที่ผ่านประตูด่านที่หกสำเร็จมีเพียงสองคน คนหนึ่งคืออัครมหาเสนาบดีคนปัจจุบัน ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือคุณชายน้อยของบ้านท่าน ตอนอัครมหาเสนาบดีผ่านประตูด่านที่หกเขาอายุได้เจ็ดขวบ ส่วนคุณชายน้อยของท่านอายุเพียงห้าขวบเท่านั้น ช่างสมกับคำกล่าวที่ว่าคลื่นลูกใหม่ย่อมแซงคลื่นลูกเก่า เรื่องนี้แม้แต่ฮ่องเต้ก็ทรงทราบแล้ว ฮ่องเต้ปลาบปลื้มพระทัยยิ่งนักจึงมีพระราชโองการให้คุณชายน้อยเฉียวครองตำแหน่งทั่นฮวาน้อยของการสอบเสินถงครั้งนี้เป็นกรณีพิเศษ”

ที่แท้ด่านทดสอบหกประตูนั่นผ่านยากปานนั้นเชียวหรือ นางเห็นลูกชายตนผ่านมาได้อย่างสบายๆ นางยังนึกว่ามันง่ายเสียอีก!

“ทั่นฮวาน้อย…ได้เงินรางวัลเท่าใดหรือ ข้า…ข้าจำได้ว่าพวกท่านมีเงินรางวัลให้ด้วย” เฉียวเวยพูดงึมงำๆ

เป็นโรคคลั่งเงินจริงเสียด้วย ดูเหมือนว่าใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีจะพูดถูก เจ้าหน้าที่กลั้นยิ้มพลางตอบว่า “เงินรางวัลสำหรับทั่นฮวาน้อยคือห้าสิบตำลึง แต่ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีกล่าวว่าเขารอมายี่สิบปีกว่าจะได้พบผู้ที่ผ่านประตูด่านที่หกสำเร็จเหมือนกัน เขาชื่นชมความสามารถของคุณชายน้อยเฉียวมากจึงมอบรางวัลเป็นการส่วนตัวเพิ่มให้อีกห้าสิบตำลึง ฮูหยิน จำนวนนี้เท่ากับรางวัลของจอหงวนน้อยแล้ว”

ทันใดนั้นเฉียวเวยก็หุบยิ้ม “เดี๋ยวนะ ไม่ได้บอกกันว่ามีรางวัลหนึ่งพันตำลึงหรือ”

เจ้าหน้าที่กล่าวตอบ “รางวัลของการสอบมีทั้งหมดหนึ่งพันตำลึง แบ่งเป็นรางวัลของจอหงวนน้อยหนึ่งร้อยตำลึง ปั๋งเหยี่ยนน้อยแปดสิบตำลึง ทั่นฮวาน้อยห้าสิบตำลึง อันดับที่สี่ถึงสิบได้สามสิบตำลึง ส่วนที่เหลือแบ่งสันปันส่วนเป็นรางวัลให้แก่ผู้เข้าสอบที่เหลือผู้สอบติดร้อยอันดับแรก”

ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง ซิ่วไฉเฒ่าคนนี้นี่! ดันหาข้อมูลมาผิดๆ!

[1]ทั่นฮวา ผู้ที่ได้อันดับ 3 การสอบเคอจวี่