ตอนที่ 77-1 ซื้อที่ดินสร้างบ้าน
หนึ่งพันตำลึงกลับกลายเป็นหนึ่งร้อยตำลึงแทน ช่างเจ็บปวดรวดร้าวเหลือเกิน!

ความโศกเศร้าในหัวใจของเฉียวเวยไหลบ่าท่วมท้นจนกลายเป็นแม่น้ำในชั่วพริบตา…

เจ้าหน้าที่ขำแทบตายยามเห็นท่าทางเหมือนจะร้องไห้ของนาง นางรู้หรือไม่ว่ามีคนเข้าร่วมการสอบเสินถงกี่คน แค่สำนักศึกษาหนานซานเพียงแห่งเดียวก็มีนักเรียนถึงหกร้อยคน นี่ยังไม่ใช่สำนักศึกษาที่มีคนมากที่สุด ในเมืองหลวงมีสำนักศึกษาที่เข้าร่วมการสอบทั้งหมดสิบหกแห่ง ลูกชายของนางโดดเด่นท่ามกลางผู้สมัครนับหมื่นคนก็นับเป็นเรื่องยากแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าผู้สมัครคนอื่นล้วนแต่มีฐานะดีกว่าและได้รับการศึกษามาดีกว่า

จากสิ่งที่เขาเพิ่งทราบมา เฉียวจิ่งอวิ๋นเพิ่งเริ่มเรียนเมื่อปีที่แล้ว ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งปีเขากลับมีความสามารถมากมายราวกับปาฏิหาริย์ เห็นได้ชัดว่าเด็กคนนี้มีพรสวรรค์อันน่าทึ่ง ไม่ด้อยไปกว่าอัครมหาเสนาบดีคนปัจจุบัน

ถ้าเขาไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง เขาคงไม่เชื่อว่ามีเด็กเช่นนี้อยู่ในโลกจริงๆ

น่าเสียดายที่เด็กดีเช่นนี้ไร้บิดาจนต้องใช้สกุลของมารดา

ป้าจ้าวไม่ค่อยเข้าใจว่าสิ่งใดคือจอหงวน สิ่งใดคือทั่นฮวา แต่นางรู้ว่าอันดับสามหมายถึงอะไร จิ่งอวิ๋นเด็กคนนี้ได้ที่สาม ดังนั้นลูกชายของนางน่าจะได้อันดับสูงกว่ามิใช่หรือ

นางมองไปที่รายชื่อเล่มหนาและพูดด้วยดวงตาที่สดใสเป็นประกายว่า “ใต้เท้าเจ้าคะ จ้าวเซิงได้ที่เท่าไร ที่หนึ่งหรือที่สองเจ้าคะ”

ได้ที่สองก็ไม่เป็นไร เมื่อครู่เขาบอกว่าหนึ่งร้อยตำลึง แปดสิบตำลึงกับห้าสิบตำลึงมิใช่หรือ อันดับที่สองได้แปดสิบตำลึง นั่นก็เป็นเงินจำนวนมากเช่นกัน!

เจ้าหน้าที่เหลือบมองนางอย่างลังเลเล็กน้อยแล้วพลิกดูรายชื่อ “ไม่มีชื่อของจ้าวเซิงในสามอันดับแรก”

“ไม่มีหรือ” ป้าจ้าวปาดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาบนหน้าผากของนาง ทำให้ดินโคลนที่หลังมือติดบนใบหน้าของนาง ยิ่งดูน่าเวทนายิ่งนัก “ถ้าเช่นนั้นเขาได้ที่เท่าไรเจ้าคะ”

เจ้าหน้าที่ตรวจรายชื่อทีละบรรทัด “ไม่มีจ้าวเซิง”

“เหตุใดจึงไม่มีเล่า ท่านดูผิดกระมัง” ป้าจ้าวพูดแล้วเดินไปคว้ารายชื่อมา

หัวหน้าหมู่บ้านเห็นมือสกปรกของนางก็ตกใจมาก รีบปัดมือของนางออก “ท่านเป็นเจ้าหน้าที่ จะดูผิดได้อย่างไร”

ป้าจ้าวไม่ยอมแพ้ “เสี่ยวเฉียว เจ้าอ่านหนังสือออก เจ้าช่วยข้าดูที เขาอ่านข้ามไปหรือไม่”

เฉียวเวยไม่เชื่อว่าเจ้าหน้าที่จะดูผิด แต่เมื่อสบสายตาอันคาดหวังของป้าจ้าว นางก็ลังเล นางหันกลับมามองเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ใจดีมาก เขายื่นบัญชีรายชื่อให้นางตรวจดูทันที นางไล่ดูตั้งแต่อันดันที่หนึ่งไปจนถึงอันดับที่หนึ่งร้อย ไม่มีชื่ออาเซิงหรือชื่อวั่งซูจริงๆ

ไม่แปลกที่ไม่มีชื่อของวั่งซูอยู่ในรายชื่อเพราะนางถูกส่งออกมาเป็นคนแรก แม้แต่ด่านประตูที่หนึ่งนางยังไม่ผ่าน แต่อาเซิงผ่านประตูด่านที่สามนับว่าสอบผ่าน สองวิชาแรกยิ่งเป็นวิชาถนัดของเขา เหตุใดจึงไม่มีในรายชื่อเล่า หรือว่าเด็กเหล่านั้นมีความสามารถเหนือกว่าอาเซิงจริงๆ

เจ้าหน้าที่ประสานมือคำนับหัวหน้าหมู่บ้านและเฉียวเวย “ข้าต้องกลับไปรายงานอีก ขออำลาตรงนี้”

หัวหน้าหมู่บ้านกล่าวรั้ง “ทานอาหารเย็นแล้วค่อยกลับเถิดขอรับ!”

ฮูหยินของหัวหน้าหมู่บ้านรีบพูดเสริม “ใช่เจ้าค่ะ ใช่เจ้าค่ะ ข้าวก็สุกแล้ว! ท่านทานก่อนค่อยกลับเถิดเจ้าค่ะ!”

เจ้าหน้าที่ตอบพร้อมรอยยิ้ม “ขอบคุณหัวหน้าหมู่บ้านเหยาสำหรับน้ำใจ ข้าขอรับด้วยใจ” จากนั้นเขาก็พูดกับเฉียวเวยว่า “รบกวนเฉียวฮูหยินไปส่งข้าได้หรือไม่”

หมายความว่ามีเรื่องต้องการจะพูดกับนาง

เฉียวเวยพยักหน้าแล้วพาเขาเดินออกจากบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน ด้านหลังได้ยินเสียงป้าจ้าวทรุดตัวกระแทกพื้น หลังจากนั้นก็ร้องไห้ออกมา…

หัวหน้าหมู่บ้านคงเข้าใจความหมายของเจ้าหน้าที่จึงไม่ได้ให้ชาวบ้านตามไปส่ง กระทั่งเดินมาถึงทางเข้าหมู่บ้าน เจ้าหน้าที่ก็หยุดและบอกกับเฉียวเวยว่า “คะแนนรวมทั้งหมดของจ้าวเซิงอยู่ในหนึ่งร้อยอันดับแรกจริง”

เฉียวเวยงุนงง “แล้วทำไมเขาถึงไม่อยู่ในรายชื่อเจ้าคะ”

เจ้าหน้าที่พูดด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ “ฮูหยิน รู้หรือไม่ว่าเขาโกงตอนด่านทดสอบหกประตู”

เฉียวเวยตกตะลึง

เจ้าหน้าที่หยิบกล่องลวดลายงดงามใบหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อกว้าง “นี่คือสิ่งที่ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีมอบเป็นรางวัลให้คุณหนู”

“ให้วั่งซูหรือ” เฉียวเวยรับกล่องมา เมื่อเปิดออกก็เกือบทำให้นางตาบอด มันคือลูกคิดสีทองขนาดเท่าฝ่ามือ!

เจ้าหน้าที่มองดวงตาลุกวาวของนางแล้วนึกภาพที่นางเกือบจะร้องไห้เมื่อครู่ สุดท้ายก็กลั้นรอยยิ้มไว้ไม่ไหวจริงๆ “แม้วิชาแรกกับวิชาที่สามคุณหนูจะทำได้ไม่น่าพอใจ แต่วิชาคำนวณกลับทำได้ยอดเยี่ยมมาก ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีทราบว่านางอายุเพียงห้าขวบ แต่สามารถสอบได้คะแนนดีเช่นนี้ จึงมอบของขวัญเล็กๆ น้อยๆ เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่นาง”

อัครมหาเสนาบดีช่างเป็นคนดีจริงๆ!

เขาไม่เพียงสั่งสอนเจ้าหน้าที่ชาติสุนัขผู้นั้น แต่เขายังตาแหลมมองออกว่าผู้ใดมีความสามารถ ดีกว่าขุนนางโง่เขลาผู้คอยรับเบี้ยหวัดแต่มิทำงานทำการพวกนั้นมากนัก!

แต่เดิมเงินหนึ่งพันตำลึงกลายเป็นเป็นหนึ่งร้อยตำลึง นางรู้สึกเศร้ามาก แต่เมื่อมีลูกคิดทองคำนี้ นางกลับรู้สึกเหมือนอากาศสดใสหลังฝนตก ถึงแม้จะใช้จ่ายเป็นเงินไม่ได้ แต่เอามาวางให้สวยงามก็ยังดี! และถ้าวันหนึ่งชีวิตตกต่ำจริงๆ ก็ยังเอามันไปจำนำได้ นั่นก็คงได้เงินมากโขอยู่เหมือนกันมิใช่หรือ

ที่สำคัญกว่านั้น เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองไปสอบด้วยกัน หากพี่ชายได้เป็นทั่นฮวาน้อย แต่วั่งซูกลับไม่ได้อะไรเลย นางคงเศร้ามากแน่ๆ ตอนนี้ดีแล้ว หากนางเห็นลูกคิดทองคำ นางต้องดีใจจนกระโดดตัวลอยเป็นแน่

เมื่อนึกถึงท่าทางน่ารักของลูกสาว แววตาของเฉียวเวยก็อบอุ่นในทันใด

เจ้าหน้าที่กล่าวอำลาเฉียวเวย เฉียวเวยไม่อาจปล่อยให้เขาไปโดยไม่มีอะไรติดไม้ติดมือได้ แต่นางไม่มีเงินติดตัว ดังนั้นนางจึงไปขอยืมเงินหนึ่งตำลึงที่บ้านของป้าหลัว

เจ้าหน้าที่ไม่ปฏิเสธ เขายอมรับและกล่าวขอบคุณ แล้วขี่ม้าออกจากหมู่บ้านไป

หลังจากนั้นหัวหน้าหมู่บ้านก็เข้ามาหาเฉียวเวย ถามว่าเจ้าหน้าที่พูดอะไร

เฉียวเวยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่านางไม่มีสิ่งใดที่บอกหัวหน้าหมู่บ้านไม่ได้ ดังนั้นนางจึงเล่าสถานการณ์ของอาเซิงกับวั่งซูให้เขาฟัง

หลังจากได้ยินดังนั้น หัวหน้าหมู่บ้านก็ถอนหายใจยาว

เรื่องที่จิ่งอวิ๋นสอบได้อันดับสามดังเป็นพลุแตกในหมู่บ้าน เมื่อเฉียวเวยกล่าวลาหัวหน้าหมู่บ้านกลับไปทานอาหารเย็นที่บ้านป้าหลัว ภายในบ้านก็เต็มไปด้วยผู้คนที่มาร่วมแสดงความยินดี

ในหมู่บ้านมีคนได้เรียนหนังสือสักคนก็เป็นเรื่องสุดยอดแล้ว แต่ร่ำเรียนวิชาจนสร้างชื่อเป็นเรื่องสุดยอดของสุดยอด ไม่ได้เคยมีคำกล่าวว่า ‘สรรพสิ่งล้วนด้อยค่า มีเพียงการศึกษาที่สูงค่า’ หรอกหรือ สำนวนของจริงกล่าวไว้เช่นไร พวกเขาไม่รู้หรอก แต่พอจะเข้าใจความหมายอยู่บ้าง

อาเซิงสอบได้เป็นบัณฑิตถงเซิงเมื่อปีกลาย สิบลี้แปดหมู่บ้านละแวกนี้ก็ฮือฮากันทั่วแล้ว นั่นขนาดครั้งนั้นไม่มีเจ้าหน้าที่มาแจ้งข่าวดี แต่ครั้งนี้แม้แต่เจ้าหน้าที่ในเมืองหลวงยังมาหาถึงที่ เห็นได้ชัดว่าจิ่งอวิ๋นเด็กคนนี้โดดเด่นมากเพียงใด!

ภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้านหิ้วน้ำมันงามาสิบชั่ง แป้งหมี่ขาวสิบชั่งไปที่บ้านป้าหลัวเพื่อแสดงความยินดีกับเฉียวเวย นางเกิดในเมืองแต่เนื่องจากครอบครัวของนางยากจน อีกทั้งนางยังเป็นบุตรีของอนุภรรยา สถานะไม่สูงส่ง นางจึงได้แต่งงานกับคนบ้านนอกที่พอมีหน้ามีตาอยู่บ้าง แต่นางยังคงรักษาความเย่อเหยิ่งของคนเมืองไว้ในตัวนาง นางมิใช่คนที่จะไปเยือนบ้านผู้ใดง่ายๆ แม้กระทั่งงานเลี้ยงตอนอาเซิงได้เป็นบัณฑิตถงเซิงนางก็ไม่ไปร่วม

คืนนี้บ้านสกุลหลัวครึกครื้นมาก หากไม่ใช่เพราะป้าหลัวลงมือทานอาหารเย็นแล้ว ทุกคนกระดากอายไม่อยากขอข้าวบ้านผู้อื่นกิน เกรงว่าพวกเขาคงจะอยู่จนถึงดึกดื่น

กลุ่มคนที่ช่วยทำไร่ทั้งหมดกินข้าวที่บ้านของป้าหลัว แต่ป้าจ้าวและอาเซิงไม่มา

เฉียวเวยจ่ายเงินให้ชาวไร่สองคนจากหมู่บ้านข้างๆ คนละหนึ่งร้อยอีแปะ และมอบไข่เป็ดให้ตาเฒ่าซวนจื่อ บ้านเอ้อร์โก่วจื่อกับบ้านป้าจ้าวคนละหนึ่งตะกร้า

ตอนที่หิ้วไข่เป็ดไปมอบให้บ้านสกุลจ้าว เฉียวเวยยังไม่ทันเข้าไปในลานบ้านก็ได้ยินป้าจ้าวก่นด่าอย่างเดือดดาล “เจ้ายังจะมีอนาคตอยู่หรือไม่ ห๊ะ? ข้ากับพ่อเจ้ายอมสละสมบัติทั้งหมดส่งเจ้าเรียนมันง่ายนักหรือ เจ้าคิดว่าพวกเราเก็บเงินมาจากดินหรืออย่างไร ค่าเรียนของเจ้าเดือนละสองตำลึง! เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีค่าเท่าไร เจ้ารู้หรือไม่ว่าเงินจำนวนนั้นซื้อของได้กี่ชิ้น หากไม่ใช่เพราะเจ้าอยากเรียนหนังสือ ครอบครัวเราคงสร้างบ้านใหม่ได้นานแล้ว ข้าก็คงหาเมียให้พี่ชายเจ้าได้นานแล้ว! เพื่อเจ้าแล้ว ทั้งครอบครัวใช้ชีวิตอยู่กันเช่นไร เจ้ามองไม่เห็นหรืออย่างไร เหตุใดเจ้าถึงไม่เอาไหนเช่นนี้ หา!”

“เจ้าพูดมาสิ เจ้าสอบไม่ผ่านซิ่วไฉก็ยังพอรับได้ แต่เหตุใดจึงสอบแพ้จิ่งอวิ๋น จิ่งอวิ๋นอายุเท่าไร จิ่งอวิ๋นไม่มีบิดาด้วยซ้ำ! เด็กไม่มีพ่อเจ้ายังสู้เขาไม่ได้! เจ้ายังจะทำอันใดได้อีก! บอกข้าสิ อนาคตเจ้ายังจะทำอันใดได้อีก เสียเงินมากมายส่งเจ้าเรียนหนังสือ แต่สุดท้ายเจ้ายังต้องกลับมาทำไร่ทำนาอย่างนั้นหรือ ถ้าเช่นนั้นก็อย่าเรียนเลยดีกว่า!”

“ทำไมข้าถึงได้มีลูกไร้ประโยชน์อย่างเจ้า! พ่อของเจ้าป่วยยังตัดใจไปหาหมอมิลง เก็บเงินไว้ส่งเจ้าเรียน! แต่เจ้าไปเรียนอีท่าไหน เรียนแล้วเอาไปทิ้งในท้องวัวหมดหรืออย่างไร! ข้าเสียใจนักที่คลอดลูกอย่างเจ้าออกมา”

เฉียวเวยทนฟังต่อไม่ไหวอีกต่อไป อาเซิงเป็นเด็กสิบขวบ จะว่าโตก็ยังไม่โต จะว่าเด็กก็ไม่เด็ก พูดจาทำร้ายจิตใจเช่นนี้ ไม่กลัวว่าเขาจะทนไม่ไหวหรือ

เฉียวเวยตะโกนเข้าไปในบ้าน “ท่านป้าจ้าว ข้ามาแล้ว!”

เสียงโวยวายในบ้านหยุดทันที

เฉียวเวยเดินเข้าไปในห้องโถงพร้อมกับตะกร้าไข่เป็ด ลุงจ้าวนั่งลับมีดอยู่ในลานหลังบ้าน นางทักทายลุงจ้าว ลุงจ้าวขานรับว่า “เสี่ยวเฉียวมาแล้วหรือ” ฟังออกว่าอารมณ์ไม่ค่อยดี เฉียวเวยถือตะกร้าไข่เป็ดเข้าไปในห้อง

อาเซิงนั่งอยู่บนเตียง ดวงตาเขาแดงก่ำ กำลังข่มกลั้นความโกรธเอาไว้

ป้าจ้าวนั่งบนเก้าอี้ตรงข้ามเขา นางถือผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตา

เฉียวเวยวางไข่เป็ดลงบนโต๊ะ หากจะกล่อมตรงๆ คงยังไม่เหมาะ นางจึงกล่าวว่า “อาเซิงยังไม่กินข้าวเย็นสินะ ไปกินอะไรที่บ้านข้าก่อนสิ”

อาเซิงกำลังจะลุกขึ้น ป้าจ้าวพลันตวาดเสียงดัง “เจ้ายังมีหน้ากินข้าวอีกหรือ!”

แผ่นหลังที่เหยียดตรงขึ้นมาของอาเซิงคุดคู้ลงไปอีกครั้ง เขาบีบนิ้วแน่น ไม่พูดสักคำ

เฉียวเวยเอ่ยกับป้าจ้าวบ้าง “ป้าจ้าว แม่บุญธรรมของข้ามีเรื่องจะคุยกับท่าน ท่านมากับข้าสักประเดี๋ยวเถอะ”

ป้าจ้าวรู้ว่าเฉียวเวยกำลังช่วยหาทางลงให้ตนเอง นางก็มิใช่คนไม่รู้จักดีชั่ว นางสูดจมูกแล้วเดินไปหาเฉียวเวย กำลังจะออกไปพร้อมกับนางอยู่แล้ว แต่พอเดินไปถึงประตูบ้าน อาเซิงที่อยู่บนเตียงก็โพล่งขึ้นว่า “ข้าไม่เรียนหนังสือแล้ว พรุ่งนี้ท่านไปลาออกให้ข้าเถอะ”

ป้าจ้าวพองขนทันที “เจ้าพูดอะไร พูดอีกครั้งสิ!”

ในที่สุดความอัดอั้นตันใจที่อาเซิงกดเก็บเอาไว้ก็ระเบิดออกมา เขาลุกขึ้นแล้วตะเบ็งเสียงตะโกนจนเส้นเลือดปูดโปน “ข้าบอกว่าข้าจะไม่เรียนหนังสือแล้ว! ข้าจะกลับบ้านมาทำนา! ข้าจะไปเรียนงานช่างที่เมืองหลวง! ทำอะไรก็ได้! ข้าจะไม่กินข้าวของท่าน! ข้าจะไม่ดื่มน้ำของท่าน! ข้าจะหาเลี้ยงตัวข้าเอง!”

ป้าจ้าวโกรธจนสำลัก นางชี้หน้าด่าเขา “เจ้าไม่เรียนหนังสือแล้วเจ้าจะทำอะไรได้”

อาเซิงโต้อย่างเกรี้ยวกราด “ถ้าอย่างนั้นท่านทำหรือ ข้าจะทำสิ่งใดท่านก็ไม่ต้องยุ่ง! พรุ่งนี้ข้าจะไปจากบ้าน! ข้าจะไปหาพี่หย่งเหนียน! ข้าจะไม่กลับมาอีก!”

ป้าจ้าวโมโหจนควันแทบจะลอยออกมาจากเจ็ดทวาร “ดี เจ้าไปหาสิ! เจ้าเก่งนักก็ไสหัวไปตั้งแต่ตอนนี้!”

อาเซิงลุกขึ้นยืน ก้าวออกไปด้านนอกโดยไม่หันหลังกลับมามอง!

“อาเซิง!” เฉียวเวยคว้าตัวเขาไว้

ป้าจ้าวโกรธจนหายใจไม่ทัน “เจ้าปล่อยเขา! ดูซิว่าเขาจะกล้าก้าวออกจากประตูนี้หรือไม่! ถ้าเขาไป ข้าก็ไม่มีลูกชายอย่างเขาอีก!”

อาเซิงกัดฟันกรอด “ผู้ใดอยากเป็นลูกของท่านกัน เกิดเป็นลูกของท่านมันดีนักหรือ กินไม่อิ่ม! อยู่ไม่มีความสุข! วันๆ เอาแต่บอกให้ข้าเรียนหนังสือๆ! พวกท่านไม่เคยเห็นข้าเป็นลูก! พวกท่านแค่อยากให้ข้าหาเงินมาให้! พอข้าหาไม่ได้ พวกท่านก็ไม่แยแสข้า! ข้าทนพวกท่านมาพอแล้ว! ข้าจะไม่กลับมาอีก!”

“ข้า…ข้า…ทำไมตอนนั้นข้าไม่โยนเจ้าลงบ่อน้ำปล่อยให้จมน้ำตายเสีย คนเช่นเจ้าต้องไม่ได้ตายดี กล้าพูดกับมารดาเช่นนี้ ข้า…ข้าจะตีเจ้าให้ตาย!” ป้าจ้าวจะก้าวเข้าไปตบหน้าเขา!

เฉียวเวยรีบคว้ามือของนางไว้ “ป้าจ้าว! ท่านใจเย็นๆ ก่อน มีอันใดก็พูดจากันดีๆ!”

ป้าจ้าวยื้อยุด เพลิงโทสะในดวงตาแทบจะลุกโชนออกมาด้านนอก “ข้าไม่มีอันใดจะพูดดีๆ กับเขา! แม้แต่เด็กอายุห้าขวบยังสู้ไม่ได้ ขยะเช่นนี้ยังจะมีประโยชน์อันใด! เสียเงินตั้งมากมายไปเปล่าๆ!”

เฉียวเวยไม่รู้ว่าควรพูดอะไรจริงๆ ในความคิดของป้าจ้าว ผู้ที่อยู่ต่ำกว่าอันดับสามล้วนแต่เป็นขยะเช่นนั้นหรือ ไม่ทราบจริงๆ ว่ากำลังด่าอาเซิงหรือจิ่งอวิ๋นกันแน่

อาเซิงถลึงตาจ้องป้าจ้าวอย่างชิงชัง แล้วหันหลังเดินจากไปทันที!

ป้าจ้าวโกรธจนตัวสั่น “เจ้าไปสิ! ไป! เจ้าไปเลย! ไปแล้วอย่ากลับมาหาข้าอีก! ข้าจะถือเสียว่าไม่เคยมีลูกชายอย่างเจ้า! เจ้าไปตายข้างนอก บ้านจะได้สะอาด!”

เพิ่งเอ่ยจบ ลานหลังบ้านก็มีเสียงดังตู้ม ลุงจ้าวตะโกนสุดเสียง “อาเซิง!”

อาเซิงกระโดดลงไปในบ่อน้ำ

เฉียวเวยไม่คิดว่าเหตุการณ์ที่เห็นแต่ในข่าวจะเกิดขึ้นกับตัวนางจริงๆ แล้วยังมาเกิดในรัชสมัยที่นับย้อนกลับมาเป็นพันปี

ความตกตะลึงในห้วงขณะนั้นไม่ต่างจากฟ้าผ่ากลางแดดจ้า ผ่าลงกลางหัวใจของนาง รวมไปถึงป้าจ้าวด้วย

ไม่มีผู้ใดในบ้านสกุลจ้าวว่ายน้ำเป็น เฉียวเวยจึงกระโดดลงไปในบ่อน้ำและช่วยอาเซิงขึ้นมา

ป้าจ้าวร้องไห้ปานฟ้าถล่มดินทลาย

ป้าหลัวได้ข่าวก็รีบวิ่งมาพร้อมกับชุ่ยอวิ๋น

ป้าหลัวต่อว่าป้าจ้าวอย่างไม่อ้อมค้อมอยู่ในห้องด้านข้าง “ข้าไม่ได้จะด่าเจ้านะเสี่ยวฟาง อาเซิงลูกชายเจ้าไม่เก่งอย่างไร เขาเพิ่งอายุสิบขวบก็เข้าสอบ คว้าตำแหน่งบัณฑิตถงเซิงกลับมาให้เจ้าแล้ว เขาพยายามเพียงไร เจ้ามองไม่เห็นหรอกหรือ เจ้ายังจะไม่พอใจ! ต้องด่าเขาให้ได้! ข้าขอบอกเจ้า หากหย่งจื้อกับหย่งเหนียนของข้าฉลาดได้สักครึ่งหนึ่งของอาเซิง ต่อให้เป็นความฝันข้าก็พอใจแล้ว!”

ในอีกห้องหนึ่งชุ่ยอวิ๋นกำลังดุน้องชาย “ท่านพ่อท่านแม่เลี้ยงเจ้ามายากลำบากเพียงใด เพียงต่อว่าเจ้าไม่กี่คำ เจ้าก็ยังจะเถียง แล้วยังจะไปฆ่าตัวตายอีก เจ้าไม่ลองคิดดูบ้างว่าหากเจ้าตายไป ท่านพ่อท่านแม่จะทำอย่างไร พี่ใหญ่ของเจ้าเป็นคนเกียจคร้าน ลอยไปลอยมาไม่ทำงานทำการ ครอบครัวของเราต้องพึ่งเจ้า เหตุใดเจ้าจึงเอาชีวิตตนเองไปทิ้ง”

ชุ่ยอวิ๋นพูดไปๆ ก็เริ่มร้องไห้

เฉียวเวยถอนหายใจแล้วตบมือของชุ่ยอวิ๋นเบาๆ “พี่สะใภ้ ท่านไปรินชาให้ข้าสักถ้วยเถิด ข้าขอคุยกับอาเซิงสักสองสามคำ”

“เฮ้อ” ชุ่ยอวิ๋นขอบตาแดงระเรื่อ เมื่อลุกขึ้นเดินไปถึงประตูก็ขู่อาเซิงต่อ “ห้ามทำเช่นนี้อีก รู้หรือไม่”

อาเซิงหลุบตาลงแต่ไม่พูดสักคำ

ชุ่ยอวิ๋นเดินออกไป

เฉียวเวยมองเขาและพูดเบาๆ “อาเซิง บอกข้าสิว่าเจ้าคิดอย่างไร”

อาเซิงเงยดวงตาที่แดงก่ำขึ้นมา “ท่านไม่ด่าข้าหรือ”

เฉียวเวยส่ายศีรษะเล็กน้อย “ด่าคนมันเหนื่อย ข้าไม่มีแรงขนาดนั้น ข้าอยากได้ยินจากปากเจ้า”

ไม่เคยมีคนฟังที่เขาพูด ความคิดของเขาไม่สำคัญในครอบครัวนี้สักนิด คุณค่าเดียวในการดำรงอยู่ของเขาคือการเรียนหนังสืออย่างไม่หยุดพัก เรียนจนกว่าจะสอบได้เป็นซิ่วไฉเพื่อลดหรือยกเว้นภาษีให้ครอบครัว เรียนจนกว่าจะได้เป็นขุนนางเพื่อให้ครอบครัวเจริญรุ่งเรือง

เขาอิจฉาจิ่งอวิ๋นกับวั่งซู เพราะมารดาของพวกเขาจะถามพวกเขาว่าชอบกิน เล่นและทำสิ่งใด นางไม่เคยบังคับพวกเขาให้เรียนหนังสือ พวกเขาอยากเรียนก็เรียน ไม่อยากเรียนก็ไปเล่นได้ทั้งวัน แถมยังมีชนชั้นสูงเช่นพี่สือชีกับลุงหมิงให้ความเอ็นดูพวกเขา

แม้พวกเขาจะไม่มีบิดาแต่พวกเขากลับมีความสุขทุกวัน ส่วนตัวเองมีบิดา มีมารดาแล้วอย่างไรเล่า พวกเขาต่างเอาแต่จะบีบให้เขาตาย!

เขามักจะคิดว่ามันคงดีหากเขาเป็นลูกของพี่เฉียวหรือลูกของลุงหมิง แต่เขาไม่ใช่

อาเซิงปรารถนาบิดาผู้เก่งกาจ มารดาผู้อ่อนโยน เฉียวเวยเข้าใจเรื่องนั้น คงไม่มีเด็กคนใดในโลกไม่ปรารถนาให้พ่อแม่เป็นเช่นนั้น ให้ความรักของพ่อเป็นเหมือนขุนเขา ความรักของแม่เป็นดั่งสายน้ำ แต่โลกใบนี้สมบูรณ์แบบเสียที่ไหน

เขาเกิดมาในครอบครัวเช่นนี้ เขาย่อมไม่มีทางเลือก

ทั้งหมดที่เขาทำได้คือเปลี่ยนตัวเอง ทำให้ตัวเองเติบโตแข็งแกร่งพอจนกลายเป็นภูเขาลูกนั้น แล้วค้นหาสายน้ำของตนเอง

เฉียวเวยออกมาจากห้องในหนึ่งชั่วยามถัดมา ป้าจ้าวถามนางเสียงสั่นเครือ “อาเซิงเป็นเช่นไรบ้าง”

“นอนแล้ว” เฉียวเวยตอบเสียงเบา

ป้าจ้าวดูโล่งใจ

ป้าหลัวกับเฉียวเวยออกจากบ้านสกุลจ้าว ระหว่างทางป้าหลัวถอนหายใจไม่หยุด “ข้าไม่นึกเลยว่าเด็กคนนั้นจะทำเช่นนี้ ปกติก็ดูว่านอนสอนง่าย พอดื้อขึ้นมากลับคิดทำลายชีวิตตัวเอง!”

บางทีนี่อาจเป็นสิ่งที่คนบอกกันว่า หากไม่ตายอย่างเงียบงันก็จะระเบิดออกมาในสักวันสินะ