ตอนที่ 77-2 ซื้อที่ดินสร้างบ้าน
นับตั้งแต่ตอนเจ้าหน้าที่บอกนางว่าอาเซิงลอกข้อสอบในด่านทดสอบหกประตู นางก็เดาได้แล้วว่าอาเซิงคงถูกบีบจนถึงที่สุดแล้ว แต่นางไม่คิดว่ามันจะสุดโต่งขนาดนี้

หากไม่นับเรื่องครั้งนี้ ความจริงแล้วอาเซิงเป็นเด็กที่เก่งมากคนหนึ่ง แต่น่าเสียดายป้าจ้าวไม่ต้องการลูกที่เก่ง นางต้องการลูกที่เป็นอัจฉริยะ

เมื่อคนเราเกิดความปรารถนาที่ไม่สอดรับกับความสามารถของตน มันก็จะกลายเป็นความทุกข์

เฉียวเวยสั่นศีรษะ เมื่อนึกถึงความยุ่งเหยิงของบ้านสกุลจ้าว นางก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “ยิ่งยากจน ยิ่งปัญหามาก ยิ่งมีปัญหามากเท่าใดก็ยิ่งยากจนลงเท่านั้น”

“นั่นสินะ” เมื่อนึกได้ว่าบ้านสกุลจ้าวติดเงินนางกับเสี่ยวเวยอยู่ ป้าหลัวก็ถอนหายใจเฮือก

เมื่อทั้งสองกลับถึงบ้านสกุลหลัว จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูก็ผล็อยหลับไปบนเตียงแล้ว วั่งซูถือลูกคิดสีทองอยู่ในมือ ขนาดฝันยังไม่ปล่อยมือ เห็นได้ชัดว่านางชอบมันมาก

เสี่ยวไป๋นอนอยู่บนท้องของวั่งซู อุ้งเท้าน้อยๆ ลูบลูกคิดรางน้อยที่ได้มาจากการถอนขนของตัวเองอย่างภาคภูมิใจ

เฉียวเวยคิดว่าปกติตัวเองดีต่อเด็กทั้งสองคนไม่น้อย แต่นางออกจะใจร้ายกับเจ้าตัวจ้อยซุกซนตัวนี้ไปเสียหน่อยจึงเดินไปลูบหัวเล็กๆ ของมัน

ในที่สุดเสี่ยวไป๋ก็ได้รับความใกล้ชิดที่มันใฝ่ฝัน ตอนนี้มันไม่ต้องการลูกคิดแล้ว! มันโถมตัวเข้าไปในอ้อมแขนของเฉียวเวยอย่างออดอ้อน!

โอ้ สบายนักเชียว

เฉียวเวยกอดมันและพูดเบาๆ ว่า “หากวันหนึ่งเจ้าคิดไม่ตก อย่ากระโดดลงไปในบ่อน้ำเชียวนะ กว่าจะเอาขึ้นมาได้คงขึ้นอืดกันพอดี ชนกำแพงเอาเถอะ หนังจะได้สมบูรณ์ ข้าจะได้ยังพอขายขนเพียงพอนได้”

เสี่ยวไป๋ “…”

หัวใจถูกโจมตีสาหัส…

ด้านหวังมามาหลังจากได้พบกับน้าหลิวก็ไม่ได้กลับเมืองหลวงทันที แต่อาศัยอยู่อย่างเงียบๆ ในบ้านของน้าหลิว น้าหลิวบอกกับครอบครัวว่านางเป็นญาติห่างๆ ฝ่ายแม่ที่มาซ่อนตัวอยู่ที่นี่เพื่อไม่ให้เจ้าหนี้หาตัวเจอ ดังนั้นทางที่ดีคืออย่าแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป ครอบครัวหลิวคิดอย่างนั้นจริงๆ ถึงอย่างไรพวกเขาก็เคยถูกบีบให้ใช้หนี้อยู่ทุกปี ถูกบีบจนมีประสบการณ์มากมายแล้ว

ดังนั้นทุกคนในหมู่บ้านซีหนิวจึงไม่มีใครรู้ว่าบ้านสกุลหลิวมี ‘แขก’

‘แขก’ อยู่ที่บ้านสกุลหลิวทั้งวัน เฝ้าดูเฉียวเวยอย่างเงียบๆ เพื่อรอคอยโอกาส

จากการสังเกตของนาง…นางยังไม่พบสิ่งใด ก่อนจากมาฮูหยินบอกว่าคุณหนูใหญ่มีปานจันทร์เสี้ยวเล็กๆ ที่แผ่นหลัง ขอเพียงนางได้เห็นร่างกายของอีกฝ่ายก็จะแน่ใจได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคุณหนูใหญ่หรือไม่ หากไม่ใช่ ฮูหยินก็จะปล่อยนางไป แต่หากใช่ ข้าก็เสียใจด้วยจริงๆ นะเจ้าคะ คุณหนูใหญ่

“เจ้าแน่ใจหรือว่าคืนนี้เหมาะ” หวังมามาถามน้าหลิว

น้าหลิวพูดอย่างมั่นใจ “ไม่ต้องห่วง นางทำไร่มาทั้งวัน หัวถึงหมอนนางก็หลับสนิท ถึงฟ้าร้องก็ไม่ตื่น!”

เด็กๆ ยิ่งไม่ตื่นแน่ๆ ตอนกลางคืนมีเด็กคนไหนบ้างไม่นอนเหมือนหมู

หวังมามาคิดว่าเป็นไปได้ นางใส่ชุดสีดำ ปกปิดใบหน้า แล้วออกจากบ้านโดยการนำของน้าหลิว ในหมู่บ้านมีสุนัขหลายตัว ถ้าใช้ทางตรงต้องถูกพบเข้าแน่ๆ จึงต้องอ้อมไป

น้าหลิวพาหวังมามาออกจากประตูหลังบ้านตรงไปยังตีนเขา จากนั้นค่อยๆ เดินอ้อมตามทางเส้นน้อยเข้าไปในป่า “เอาล่ะ ข้าจะส่งท่านถึงที่นี่ ท่านจำไว้ว่าเดินไปตามทางเส้นนี้เรื่อยๆ ประมาณสองลี้ก็จะเห็นทางแยก ให้ท่านเดินไปทางตะวันออกเข้าใจหรือไม่ เดินไปทางทิศตะวันออกก็จะเจอป่า พอออกมาจากป่าก็จะพบบ้านนางทันที”

“ตะวันออก…” หวังมามาพึมพำ ตอนกลางคืนมืดแล้ว ผู้ใดจะแยกแยะความแตกต่างระหว่างเหนือใต้ออกตกได้กันเล่า

“อยู่ทางซ้าย!” น้าหลิวพูด

หวังมามาจดจำไว้

น้าหลิวเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมอีกคำ “เอาล่ะ เช่นนั้นก็ไปจับลูกสะใภ้ท่านเสีย”

ข้าไม่ชอบหน้านางมาตั้งนานแล้ว ถ้าเอานางไป ที่ดินทางทิศตะวันออกของหมู่บ้านก็เป็นของข้า

ถนนสายนี้เป็นทางที่สวีต้าจ้วงมักจะขึ้นไปบนภูเขาเพื่อล่าสัตว์ เส้นทางไม่น่ากลัวและไม่มีสัตว์ร้าย มีเพียงแมลงขนาดเล็กและหนูนาซึ่งไม่น่ากลัว

หวังมามาถือคบไฟแท่งเล็กๆ ไว้ในมือแล้วเดินลึกเข้าไปด้านใน ใช้เวลาไม่นานนางก็เห็นทางแยกตามที่น้าหลิวพูด เป็นถนนสองสายตัดกันเป็นสี่แยก นางยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น เพราะจู่ๆ ก็รู้สึกสบสน

ต้องเดินไปทางไหนกันแน่

นางกระโดดโหยงด้วยความตกใจ เมื่อหนูนาตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งวิ่งมาชนที่ขา! คบไฟตกพื้น!

ตอนที่นางหยิบคบไฟขึ้นมา จู่ๆ นางก็นึกขึ้นได้ว่าหลิวชุ่ยฮวาบอกให้ไปทางซ้าย

นางถอนหายใจด้วยความโล่งอก เลี้ยวซ้าย เดินไปสู่ความมืดในห้วงราตรี

ทว่านางไม่รู้ว่าตอนที่นางกระโดดโหยงเมื่อครู่ นางเผลอยืนเปลี่ยนตำแหน่ง ดังนั้นตอนนี้ทางซ้ายของนางจึงมิใช่ทางซ้ายที่หลิวชุ่ยฮวากล่าวถึง

เฉียวเวยนอนหลับสบาย เมื่อถึงยามสี่ นางถูกนาฬิกาชีวภาพในร่างกายของนางปลุกให้ตื่นขึ้นมาอย่างตรงเวลา นางเดินไปที่ลานบ้านและสูดอากาศบนภูเขาอย่างสบายใจ!

นางทำขนมและอาหารเช้าตามปกติ จากนั้นก็ไปปลุกเด็กๆ แต่เมื่อนางเข้าไปในห้อง จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูก็ตื่นแล้ว

เฉียวเวยไม่แปลกใจที่จิ่งอวิ๋นตื่นเช้า เขาทำเป็นกิจวัตรอยู่แล้ว แต่น่าแปลกที่หนอนเกียจคร้านอย่างวั่งซูก็ตื่นแล้วเหมือนกัน

“ฮี่ฮี่” วั่งซูส่งยิ้มให้เฉียวเวย

เฉียวเวยเดินไปจูบหน้าผากของนาง “มีเรื่องอันใดหรือ เหตุใดจึงดีใจนัก”

มือเล็กๆ ของวั่งซูเหวี่ยงออกจากผ้าห่ม ถือลูกคิดขนาดเล็กสีทองอร่ามขึ้นมา ยิ้มจนมองไม่เห็นดวงตา “ข้าได้รับรางวัลเจ้าค่ะ!”

เรื่องนี้เอง เฉียวเวยอดหัวเราะไม่ได้

“ข้าเก่งมากหรือไม่เจ้าคะ” วั่งซูยิ้มร่า

เฉียวเวยยิ้มและพยักหน้าน้อยๆ “แน่นอน วั่งซูของเราเก่งที่สุด!”

วั่งซูแต่งตัวเรียบร้อยแล้วก้าวขาสั้นๆ เดินไปปัสสาวะ เฉียวเวยเดินไปหาลูกชายที่ล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้วกำลังเก็บห่อตำราอยู่ตรงหน้าต่าง นางเอนตัวไปหอมแก้มนุ่มๆ ของเขา “ลูกชายข้าก็เก่งเช่นกัน เป็นหนุ่มน้อยที่เก่งกาจที่สุดในโลก”

จิ่งอวิ๋นหน้าแดง ยิ้มอย่างเขินอาย

พี่น้องสองคนเดินจับมือกันไปเรียน เฉียวเวยเข้าเมืองพร้อมกับขนมและไข่เยี่ยวม้า

อาเซิงยังไปสำนักศึกษาอยู่ เฉียวเวยเห็นเขาจากไกลๆ ตาเฒ่าซวนจื่อก็เห็นเช่นกัน เขาถามว่าจะตามไปแล้วให้อาเซิงขึ้นรถหรือไม่ เฉียวเวยส่ายศีรษะ

เด็กคนนี้อยู่กับนาง หมิงซิวและสือชีเพียงหนึ่งวัน เขาก็เริ่มเพ้อฝันถึงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้แล้ว เขาถึงขั้นอยากมีบิดาเหมือนหมิงซิว การคิดเช่นนี้ก็ไม่นับว่าเป็นความผิดมหันต์อันใด แต่ถ้าเจ้าจะดูแคลนพ่อแม่ของตนด้วยเหตุนี้ นั่นย่อมเป็นสิ่งไม่สมควร

เฉียวเวยไปส่งสินค้าที่หรงจี้และกลับไปที่หมู่บ้าน

ตอนนี้นางมีเงินเก็บเหลืออยู่บ้างแล้ว นางอยากจะเปลี่ยนที่อยู่อาศัยให้ดีกว่านี้ บ้านบนภูเขาเป็นบ้านดิน หันหน้าไปยังทิศทางที่ไม่ดี โดนแดดทางทิศตะวันตก หน้าร้อนคงร้อนมาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องรอยรั่ว เฉียวเวยกลัวว่าวันไหนมีพายุฝนฟ้าคะนองใหญ่ มันคงถล่มลงได้ทันที

“เจ้าจะย้ายบ้านหรือ” ป้าหลัวถามด้วยความแปลกใจ

เฉียวเวยยิ้มเล็กน้อย “ไม่ใช่เจ้าค่ะ ข้าชอบภูเขาจริงๆ ข้าเพียงแต่จะทุบบ้านทิ้งแล้วสร้างบ้านหลังใหม่ที่แข็งแรงขึ้นสักหน่อย”

บ้านดินไม่แข็งแรงจริงๆ อีกทั้งยังมีปัญหามากมาย พอถึงฤดูร้อนก็มี งู หนู แมลง มด ผึ้ง และแมลงสาบที่ต่างก็สามารถเจาะกำแพงเข้ามาได้ คนส่วนใหญ่เวลาสร้างบ้านดิน พวกเขาจะเสริมไม้ไผ่ ใบหญ้ากับก้านกกเข้าไปด้วย ครอบครัวที่พอมีเงินเช่น ครอบครัวของป้าหลัวกับครอบครัวของสวีต้าจ้วงจะใช้ไม้และมุงหลังคาด้วยกระเบื้อง บ้านของหัวหน้าหมู่บ้านนั้นหรูหราที่สุดใช้อิฐกับไม้เป็นส่วนใหญ่ อบอุ่นในฤดูหนาวและเย็นสบายในฤดูร้อน ทั้งสวยงามและใช้งานได้จริง

บ้านที่เฉียวเวยอาศัยอยู่ตอนนี้ไม่มีอะไรเลย น่าอัศจรรย์มากที่บ้านอยู่มาได้หลายปีโดยที่มันไม่พังทลายลงเสียก่อน

ป้าหลัวก็คำนึงถึงเรื่องนี้เช่นกัน ดังนั้นนางจึงเห็นด้วยที่เฉียวเวยจะทำบ้านใหม่ “ถ้าสร้างได้เหมือนบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านน่าจะดี”

เฉียวเวยไม่อยากได้บ้านเหมือนหัวหน้าหมู่บ้าน นางอยากสร้างเหมือนบ้านพักตากอากาศในชนบทที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว หากปัจจัยเอื้ออำนวย นางอยากจะขุดสระว่ายน้ำด้วย น่าจะอยู่ได้อย่างสบาย

“สร้างบ้านแพงหรือไม่เจ้าคะ แม่บุญธรรม” นางหาเงินได้สองร้อยตำลึงกับอีกเล็กน้อย จิ่งอวิ๋นได้มาอีกหนึ่งร้อยตำลึง รวมกันแล้วเป็นเงินสามร้อยยี่สิบตำลึง เรียกได้ว่าเป็นเงินก้อนโตเลยทีเดียว

ป้าหลัวขบคิดครู่หนึ่ง “ไม่มีผู้ใดสร้างบ้านในหมู่บ้านมานานแล้ว ไม่รู้ว่าราคาของในตลาดจะเพิ่มขึ้นหรือไม่ แต่…หากเจ้าจะสร้างบ้าน เกรงว่ายังมีปัญหาอยู่”

ปัญหาเรื่องสำมะโนครัว

ที่ดินบนภูเขาไม่ได้เป็นของเฉียวเวย หากนางเพียงอาศัยอยู่ก็ไม่เป็นอะไร ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นบ้านดินน้อยที่ถูกทิ้งร้างซึ่งไม่มีผู้ใดต้องการ แต่หากนางต้องการสร้างบ้านที่นั่น เรื่องก็จะเปลี่ยนเป็นอีกแบบ

ป้าหลัววิเคราะห์ “เจ้าสร้างบ้านแต่ที่ดินมิใช่ของเจ้า วันหนึ่งในอนาคต หากหมู่บ้านจะยึดที่ดินไปทำอย่างอื่น เจ้าก็เก็บบ้านไว้ไม่ได้อีก!”

สองแม่ลูกจึงถือตะกร้าไข่เป็ดไปที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน

หัวหน้าหมู่บ้านไม่อยู่ที่นั่น ภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้านเป็นคนออกมาต้อนรับพวกนาง

ภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้านชอบหญิงม่ายต่างถิ่นคนนี้มาก ยามนางออกไปข้างนอก บอกผู้อื่นว่าทั่นฮวาน้อยเป็นคนในหมู่บ้านของพวกเขา มีหน้ามีตาไม่รู้ตั้งเท่าใด!

ภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้านเชิญทั้งสองไปที่ห้องโถง ชงชาใหม่ให้หนึ่งกา แล้วพูดอย่างมีความสุขว่า “ลมอะไรพัดมารดาของทั่นฮวาน้อยของเรามาถึงนี่”

เฉียวเวยยิ้มเล็กน้อยและอธิบายความตั้งใจของนางอย่างตรงไปตรงมา

ภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้านเดิมทีกลัวว่านางมีชีวิตรุ่งเรืองแล้วจะย้ายไปอยู่ที่อื่น เรื่องนี้บังเอิญตรงกับความต้องการของนางพอดี!

นางยิ้มพลางกล่าวว่า “เจ้าต้องการสร้างบ้านหรือ ไม่ยาก เหตุใดเจ้าไม่ซื้อที่ดินเสียเล่า ข้ากำลังคิดหาวิธีเอาชื่อเจ้ามาขึ้นทะเบียนสำมะโนครัวอยู่พอดี ทำเช่นนี้เจ้าก็จะกลายเป็นคนของหมู่บ้านซีหนิวเราจริงๆ แล้ว!”

เฉียวเวยชะงักครู่หนึ่ง “ที่ดินผืนนั้น…ราคาสูงหรือไม่เจ้าคะ”

ตกบ่ายหัวหน้าหมู่บ้านกับฮูหยินของเขาขึ้นไปบนภูเขาเพื่อวัดที่ดินให้เฉียวเวย

ที่ดินผืนนี้ไม่ได้อยู่บนยอดเขา หากจะเรียกให้ถูกต้องบอกว่าอยู่บนไหล่เขาจุดหนึ่ง ทิวทัศน์สวยงาม ดินอุดมสมบูรณ์แล้วยังอยู่ชิดป่า ถือว่าเป็นที่ดินผืนงามตามหลักฮวงจุ้ยเลยทีเดียว เดิมทีพวกเขาไม่คิดขายที่ดินผืนนี้ให้คนนอก หากเฉียวเวยพูดเรื่องนี้กับหัวหน้าหมู่บ้านเมื่อหนึ่งปีก่อน หัวหน้าหมู่บ้านอาจปฏิเสธอย่างไม่ไยดี แต่ตอนนี้ นางเป็นแม่ของทั่นฮวาน้อย! เมื่อจิ่งอวิ๋นโตขึ้น บางทีเขาอาจกลายเป็นทั่นฮวาหรือจอหงวนตัวจริงก็เป็นได้ ลองคิดดูสิว่าหากหมู่บ้านของพวกเขามีพญาหงส์สีทองถือกำเนิดขึ้นมาสักคน นั่นจะเป็นเกียรติเป็นศรีให้แก่หมู่บ้านมากเพียงใด!

หัวหน้าหมู่บ้านวัดจนเสร็จ มันเป็นพื้นที่ค่อนข้างใหญ่ เกือบหนึ่งในสามหมู่ “เจ้าต้องการซื้อทั้งผืนนี้หรือว่า…”

“ทั้งผืนเลยเจ้าค่ะ” นางต้องการขุดสระว่ายน้ำ

ถ้าเช่นนั้นก็ราคาแพงหน่อย แต่พูดตามตรงต่อให้เป็นคนในหมู่บ้านเองจะซื้อที่ดินผืนใหญ่เช่นนี้ก็ต้องจ่ายเงินไม่น้อย

เฉียวเวยนึกอะไรขึ้นได้ จึงถามอย่างสงสัย “หัวหน้าหมู่บ้าน ท่านแน่ใจหรือว่าที่ดินผืนนี้ขายได้” ในยุคปัจจุบัน ที่ดินส่วนรวมของหมู่บ้านเป็นของส่วนรวม บุคคลทั่วไปไม่สามารถซื้อขายได้ ชาวบ้านมีสิทธิใช้เท่านั้น ไม่มีสิทธิจัดการตามใจชอบ แม้แต่หัวหน้าหมู่บ้านก็ไม่สามารถซื้อที่ดินไว้ใช้ส่วนตัวได้

หัวหน้าหมู่บ้านพยักหน้าตอบว่า “ขายได้สิ!” หากขายไม่ได้ พวกชนชั้นสูงเหล่านั้นจะกว้านยึดครองที่ดินไปทำไมกันเล่า สมัยราชวงศ์ก่อนมีการกว้านยึดครองที่ดินอย่างหนัก จนในที่สุดทางการก็บังคับพร้อมกับที่ประชาชนต่อต้าน จนมาถึงสมัยราชวงศ์นี้การซื้อที่ดินเพื่อใช้ส่วนตัวจึงเข้มงวดขึ้นมาก หากเป็นที่ดินซึ่งทางการจัดสรรให้ชาวบ้าน ชาวบ้านไม่ต้องจ่ายเงินซื้อ แต่หากจะไปซื้อที่ดินนอกเหนือจากนั้น ราคานั้นเพียงพอทำให้คนที่ต้องการซื้อต้องรีบถอยห่าง

เรื่องนี้ต้องได้รับการอนุมัติจากศาลาว่าการ หัวหน้าหมู่บ้านจึงไปที่ว่าการอำเภอในเช้าวันรุ่งขึ้น เขาต้องการทำให้เรื่องนี้สำเร็จจากใจจริง เขาต่อรองจนแทบปากฉีกกว่าจะได้ราคาต่ำที่สุดมา นั่นคือห้าร้อยตำลึง

เฉียวเวยแทบจะปัสสาวะราด!

ห้าร้อยตำลึง เท่ากับสามแสนหยวนในยุคปัจจุบัน!

ที่ดินชนบทขายราคาแพงขนาดนี้เชียว บัดซบจริงๆ!

หัวหน้าหมู่บ้านอธิบายว่า “ถ้าเจ้าซื้อมัน ที่ดินผืนนี้ก็เป็นของเจ้า ลูกๆ หลานๆ ของเจ้าสามารถใช้มันได้ ทางการไม่มีวันริบคืน”

อ้อ ไม่มีกฎว่าใช้ประโยชน์จากที่ดินได้สูงสุดเป็นเวลาเจ็ดสิบปี ลูกหลานของนางใช้ได้เป็นพันปี หากนางไม่อยากใช้ก็ขายได้ ถ้าเป็นเช่นนี้ก็นับว่าไม่แพงเกินไป

วันนี้มากินอาหารเย็นที่บ้านป้าหลัว ป้าหลัวตักหมูตุ๋นหนึ่งช้อนให้จิ่งอวิ๋นกับวั่งซู พลางถามเฉียวเวยว่า “ที่ตัวเจ้ามีเงินเท่าไร”

เฉียวเวยคำนวณคลังสมบัติเล็กๆ ของนางแล้วพุ้ยข้าวกิน “ยังขาดอีกหนึ่งร้อยเจ็ดสิบตำลึง”

ป้าหลัวไม่พูดอะไรอีก รอจนกระทั่งชุ่ยอวิ๋นไปล้างจาน นางจึงดึงเฉียวเวยเข้าไปในห้องของนาง หยิบกล่องเล็กๆ ออกมาจากใต้เตียงแล้วเปิดกุญแจ “นี่สามสิบตำลึง เจ้าเอาไปใช้ก่อน ไม่พอข้าจะคิดวิธีหามาเพิ่ม”

นางมีเงินออมอยู่ในมือเท่านี้ แต่ถ้าได้เงินที่คนยืมไปกลับคืนมา นางน่าจะหาเงินได้อีกห้าสิบตำลึง

นางลดเสียงลงและพูดว่า “อย่าบอกชุ่ยอวิ๋นนะ นางไม่รู้ว่าข้ามีเงินพวกนี้ ขืนนางรู้ นางจะเอาเงินไปเลี้ยงดูครอบครัวพ่อแม่ของนาง”

แม่สามีก็ต้องมีของดีซ่อนจากลูกสะใภ้กันบ้าง

เมื่อเฉียวเวยออกจากห้องไปช่วยชุ่ยอวิ๋นล้างจาน ชุ่ยอวิ๋นก็ปิดประตูและหยิบถุงเงินออกมา ถุงเงินยังมีกลิ่นกำยานอยู่จางๆ

นางวางถุงเงินใส่มือของเฉียวเวย “น้องสาว พี่ใหญ่ของเจ้ากับข้าไม่มีความสามารถ สมบัติทั้งหมดของพวกเรามีเพียงเงินห้าตำลึงนี้ เจ้ารับไป เติมได้นิดหน่อยก็ยังดี เจ้าอย่าไปบอกแม่สามีของข้าเชียวนะ ขืนนางรู้เข้า จะหาว่าข้าแอบเก็บเงินส่วนตัวเอาไปเลี้ยงบ้านแม่อีก”

ลูกสะใภ้ก็มีของดีซ่อนจากแม่สามีเหมือนกัน