ตอนที่ 78-1 การคิดค้นอาหารจานใหม่
ดอกเหมยเขียวในเรือนลั่วเหมยกำลังบานสะพรั่ง กลีบเลี้ยงสีเขียว กลีบดอกสีขาว และเกสรเรียวบางด้านในกลีบดอกแต่งแต้มสีเหลืองสดใสด้านบนเล็กน้อย ดูงดงามรื่นรมย์ยิ่งนัก

แต่จีเหล่าฮูหยินกลับไม่มีอารมณ์ชื่นชมทัศนียภาพอันงดงามในลานบ้าน จีเหล่าฮูหยิน ‘อดอาหาร’ ประท้วงอีกแล้ว นางนอนซมบนเก้าอี้หวาย ถอนหายใจด้วยความขุ่นเคือง

หรงมามายกอาหารที่ปรุงอย่างพิถีพิถันจากห้องครัวมาวางบนโต๊ะอาหาร มีทั้งน้ำกุหลาบ ลูกชิ้นฟักเขียวนึ่ง วุ้นผลึกแก้วผลไม้ น้ำหวานอิงเถา เกี๊ยวจตุรโชค สี่สมบัติตุ๋นน้ำแกง กุ้งอรหันต์…อาหารทุกอย่างที่สามารถนำขึ้นโต๊ะได้ แม้กระทั่งสิ่งที่หมอหลวงจางห้ามก็ยังเพิกเฉยไปก่อนชั่วคราว

ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือการเกลี้ยกล่อมให้นางทานบ้างเล็กน้อยก็ยังดี

“เหล่าฮูหยิน นี่คือสิ่งที่คุณชายสั่งให้พ่อครัวทำให้ท่านเจ้าค่ะ ท่านดูสิ คุณชายจำได้ว่าท่านชอบรสชาติใด” หรงมามาพร้อมรอยยิ้ม

อุบายนี้ใช้ไม่ได้ผลเสียแล้ว!

จีเหล่าฮูหยินไม่ลืมตา นางส่งเสียงฮึดฮัดอย่างเย็นชา “อย่าพูดถึงเจ้าเด็กอกตัญญูนั่นกับข้า แค่ให้กลับมาทานข้าวกับข้าสักมื้อยังไม่ยอม เขาโตแล้วนี่ เก่งกล้าแล้วนี่ หายหน้าหายตาไปเป็นปี ไม่สนใจว่าคนแก่อย่างข้าจะเป็นหรือตาย กลับมาก็หลบหน้าข้า ข้ารู้ดีว่าเขาเกลียดข้า!”

จีหมิงซิวที่อยู่นอกเรือน เงยหน้ามองท้องฟ้าอย่างจนปัญญา

หรงมามายังคงเกลี้ยกล่อม “ดูท่านพูดเข้า คุณชายจะหลบหน้าท่านได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ ผู้ใดบ้างไม่ทราบว่าท่านเป็นผู้ที่รักคุณชายกว่าใครในจวน คุณชายก็ทราบก็เช่นกัน เขาเพียงยุ่งมากเกินไปเท่านั้น ท่านก็พูดเองมิใช่หรือว่าเขาหายออกไปหนึ่งปีเต็ม งานในราชสำนักตั้งแต่ระดับสูงจนถึงระดับล่างต้องล่าช้าไปหลายเรื่อง ต้องจัดการทีละเรื่องอย่างเหมาะสมมิใช่หรือเจ้าคะ”

“เจ้าก็เอาแต่เข้าข้างเขา! จะเอาแต่เข้าข้างเขาสินะ หึ” จีเหล่าฮูหยินกลอกตา

หรงมามาไม่รู้จะกล่าวเช่นไรดี

จีหมิงซิวเรียกสาวใช้ที่กำลังจะยกถาดผลไม้เดินเข้าไป “เจ้าไปถามเหล่าไท่ไท่ว่าต้องทำอย่างไร ท่านถึงจะยอมทานข้าว”

สาวใช้ตอบรับ เข้าไปข้างในและโค้งคำนับจีเหล่าฮูหยิน “เหล่าไท่ไท่เจ้าคะ ต้องทำเช่นไรท่านถึงจะยอมทานเจ้าคะ”

จีเหล่าฮูหยินรู้ว่าหลานชายของนางกำลังแอบฟังอยู่ จึงจงใจพูดให้ดังขึ้น “ไปเรียกซีเอ๋อร์มากินข้าวกับข้า!”

จนป่านนี้ก็ยังไม่ยอมแพ้ที่จะจับคู่ให้เขากับเฉียวอวี้ซี

ในอดีตยามเฉิงฮองเฮาพระราชทานสมรส ผู้ที่พระนางประสงค์ให้หมั้นหมายกับเขาคือบุตรีของเฉียวเจิง มิใช่บุตรีของเฉียวเยว่ซาน หากบุตรีของเฉียวเจิงมิได้ทำเรื่องงามหน้าเช่นนั้น เขาก็อาจยอมรับการแต่งงานแต่โดยดี แล้วเวลานี้เฉียวอวี้ซีมาเกี่ยวข้องอะไรด้วย

จีหมิงซิวยิ้มบางๆ แล้วหันหลังออกจากจวน

หมิงอันรู้ว่าเจ้านายของเขารำคาญคุณหนูใหญ่เฉียว เขาก็รำคาญเช่นกัน ถ้าไม่ใช่เพราะนาง เขาคงไม่โดนเจ้านายของตนโบยหรอก

เขาเดินตามไปอย่างรวดเร็ว “นายท่าน ท่านคิดว่า…ตอนนี้ควรทำเช่นไรดีขอรับ”

จีหมิงซิวยิ้มเย็น “ข้าจะทำเช่นไรได้ รีบไปรับนางมา แล้วเกลี้ยกล่อมเหล่าฮูหยินให้ทานข้าว”

หมิงอันถอนหายใจ นายท่านขาดมารดาตั้งแต่เด็ก มีเหล่าฮูหยินกับพี่สาวเลี้ยงดูมาจนโต ในหัวใจของนายท่าน คนที่ตัดใจทำร้ายมิลงมากที่สุดก็คือท่านทั้งสอง หากไม่ใช่เพราะกลัวเหล่าฮูหยินจะโกรธ นายท่านคงไม่แม้แต่จะเหลียวมองคุณหนูจวนเอินปั๋วน่ารำคาญนั่นด้วยซ้ำ!

รถม้าของจวนอัครมหาเสนาบดีหยุดที่หน้าประตูจวนเอินปั๋ว หมิงอันลงจากรถ คนเฝ้าประตูวิ่งเข้าไปในจวน พร้อมทั้งตะโกนโหวกเหวกราวกับเห็นผี

ครั้งก่อนน้องชายตัดงานปักอวยพรอายุยืนร้อยปีของนางขาด เฉียวอวี้ซีอยากจะปักอีกอันก็ไม่ทันแล้ว ทางเลือกสุดท้ายนางจำเป็นต้องจ้างช่างปักเย็บมาปักแทน แน่นอนไม่ใช่ว่านางไม่ได้ทำสิ่งใดเลย นางปักเมฆมงคลที่ชายผ้าเท่านั้นก็พอ

ขณะที่กำลังปักอยู่นั้น นางได้ยินคนมารายงานว่าใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีมา นางดีใจจนกระโดดไปโดนตั่งล้มคว่ำ แล้ววางเข็มกับด้ายอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ส่องกระจก เมื่อแน่ใจว่าตัวเองงดงามต้องตาต้องใจคนแล้ว นางก็ยกชายกระโปรงเดินออกไปทันที

ผ่านไปครึ่งทางก็พบเฉียวอวี้ฉีกับสวีซื่อ

สวีซื่อเพิ่งกลับมาจากไปหาเฉียวไท่ไท่ นางยังไม่รู้ว่าจีหมิงซิวมา ครั้นเห็นลูกสาวเดินออกไปด้วยอารมณ์แจ่มใส นางจึงรีบถามทันที “เกิดอะไรขึ้น”

เฉียวอวี้ฉีพูดอย่างหยามเหยียด “จะมีอะไรได้อีกเล่า คงจะไปประจบผู้ใดที่จวนของอัครมหาเสนาบดีอีกกระมัง!”

เฉียวอวี้ซีเชิดคาง “วันนี้ข้าอารมณ์ดี ข้าจะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเจ้า” ว่าแล้วก็หันหน้าไปหาสวีซื่อ แล้วยิ้มแย้มบอกอย่างมีความสุข “ใต้เท้ามารับข้าไปที่จวนอัครมหาเสนาบดีเจ้าค่ะ”

เมื่อสวีซื่อได้ยินดังนั้น ดวงตาก็เป็นประกาย “จริงหรือ”

เฉียวอวี้ซียิ้มอย่างเขินอาย “ข้าไปก่อนนะเจ้าคะท่านแม่ แล้วข้าจะกลับมาคุยกับท่านทีหลัง”

สวีซื่อพยักหน้าหงึกหงัก แล้วตบมือนางเบาๆ “ไปเร็ว อย่าให้ใต้เท้ารอนาน!”

เฉียวอวี้ซีเดินจากไปพร้อมกับสีหน้าสดใสดั่งสายลมวสันตฤดู

“ข้าจะไปด้วย!” เฉียวอวี้ฉีคิดจะไปก่อกวน แต่สวีซื่อคว้าตัวกลับมากอดไว้

สวีซื่อจิ้มหน้าผากเขาแล้วเอ็ดว่า “เจ้าน่ะ ปกติจะแกล้งพี่สาวเจ้าก็ไม่เป็นอันใดหรอก แต่อย่าไปก่อกวนถึงจวนอัครมหาเสนาบดีให้เป็นที่ขายหน้าเชียว!”

เฉียวอวี้ฉีหน้ามุ่ย กลอกตาค้อน

เฉียวอวี้ซีเดินออกไปนอกจวนแล้วมองบุรุษรูปงามดั่งหยกที่อยู่หน้ารถม้า ความตื่นเต้นและความสุขล้นทะลักออกมาเต็มหัวใจ

นางเดินเข้าไปหาเขา แล้วเงยหน้าสบตาเขาอย่างลึกซึ้ง “ไม่ได้พบท่านเสียนาน ท่านสบายดีหรือไม่เจ้าคะ”

จีหมิงซิวตอบเสียงเรียบ “ขอบคุณแม่นางเฉียวที่ระลึกถึง ทุกสิ่งเรียบร้อยดี”

ได้ยินเสียงของเขาเช่นนี้นางก็พอใจมากแล้ว เฉียวอวี้ซีไม่สนใจท่าทีรักษามารยาทและการวางตัวเหินห่างในคำพูดของเขา นางตอบอย่างเขินอาย “ใต้เท้าเข้าไปนั่งพักในจวนก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ”

“ไม่ล่ะ เหล่าฮูหยินรอทานอาหารเย็นอยู่”

ที่แท้เพราะจีเหล่าฮูหยินช่วยนาง ดูเหมือนนางคิดถูกที่พยายามประจบเหล่าฮูหยิน รอหลังจากกลับจากจวนอัครมหาเสนาบดี นางจะขอเงินท่านแม่เพิ่มเพื่อไปซื้อไข่เทพจากเมืองแห่งนั้นอีก

นางดึงความคิดกลับมาแล้วคลี่ยิ้ม “ถ้าเช่นนั้นข้าขึ้นรถนะเจ้าคะ”

จีหมิงซิวพยักหน้าเบาๆ เฉียวอวี้ซีเข้าไปนั่งในรถม้า

ระหว่างทางเฉียวอวี้ซียับยั้งชั่งใจไม่ยอมพูดอันใดเพื่อไม่ให้ตนเองดูไร้สาระ แต่นางก็อดไม่ได้ที่จะเลิกเปิดม่านรถมุมหนึ่ง พิจมองบุรุษบนหลังอาชาอย่างเงียบๆ แม้เขาจะสวมหน้ากากแต่ก็ยังหล่อเหลาอย่างไม่น่าเชื่อ เรือนร่างตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าทุกอย่างล้วนสมบูรณ์แบบ ทั้งยังมีชาติกำเนิดในตระกูลขุนนาง แล้วยังเป็นถึงอัครมหาเสนาบดี อยู่ภายใต้คนผู้เดียวอยู่เหนือคนนับหมื่น บุรุษเช่นนี้เป็นบุรุษในฝันของสตรีทุกคน ทว่าเขากำลังจะกลายเป็นสามีของนาง

วันนี้อากาศดี เฉียวเวยซักผ้าปูที่นอนและปลอกผ้านวมทั้งหมด ตัวผ้านวมก็นำออกมาตากแดดบนราวเชือก ต่อมานางเห็นว่าในบ้านเหลือฟืนไม่มาก นางจึงขึ้นเขาเพื่อเก็บฟืน ฝนไม่ตกมาหลายวันแล้ว บนภูเขามีกิ่งไม้แห้งอยู่ค่อนข้างมาก นางแบกฟืนกองใหญ่ไว้บนหลัง

บัดนี้ร่างกายร่างนี้ได้ออกกำลังกายจนแข็งแรงแล้ว การแบกฟืนไว้บนหลังจึงไม่ใช่ปัญหา

ไม่เพียงเท่านั้น นางยังสามารถใช้สองมือหิ้วกรงได้อีกด้วย

เหยื่อถูกล่าบ่อยขึ้น พวกมันจึงค่อยๆ เรียนรู้ที่จะฉลาดขึ้น ไม่ยอมติดกับดักง่ายๆ เหมือนแต่ก่อน บางครั้งนานหลายวันก็ยังล่าไม่ได้สักตัว แต่วันนี้โชคดีมากที่ล่าได้กวางโง่มาหนึ่งตัว!

กวางเผาจื่อตัวนี้ตัวไม่ใหญ่ กะจากสายตาคร่าวๆ น่าจะน้ำหนักราวห้าสิบชั่ง แต่มันยังมีชีวิตอยู่ กรงเล็กเกินไป มันมุดเข้าไปไม่ได้แต่เท้าของมันติดอยู่กับซี่กรง เหตุใดจึงเรียกมันว่ากวางโง่น่ะหรือ ก็เพราะดักสัตว์มานานกว่าครึ่งปี นี่เป็นครั้งแรกที่สัตว์ตัวโตกว่ามาแย่งอาหารกระต่ายป่ากับไก่ป่าที่ตัวเล็กกว่า

น่าจะขายเงินได้หนึ่งหรือสองตำลึง

เจ้ากวางมองเฉียวเวยด้วยแววตาไร้เดียงสา เฉียวเวยยิ้มเย็น “ไม่ต้องมาอ้อนวอนพี่สาว ช่วงนี้พี่สาวขาดเงินจนใกล้บ้า เกือบขายเสี่ยวไป๋แล้วด้วยซ้ำ!”

กวางโง่เบือนหน้าหนีอย่างหมดอาลัยในชีวิต

เฉียวเวยแบกฟืนไว้บนหลัง อุ้มกวางไว้ด้านหน้า จากนั้นเดินดุ่มๆ กลับเรือนหลังน้อย

“ช่วยด้วย…”

“ช่วยด้วย…”

“ช่วยด้วย…”

เดินไปได้ครึ่งทาง เฉียวเวยก็ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือดังเลือนรางเหมือนจะมีแต่ก็เหมือนไม่มี เหมือนไม่ใช่เรื่องจริง

เฉียวเวยหยุดฝีเท้าและมองไปรอบๆ แต่ไม่พบร่างของผู้ใด อาจจะ…หูฝาดเช่นนั้นหรือ

“ช่วยด้วย…”

เสียงร้องขอความช่วยเหลือดังขึ้นอีกแล้ว ดูเหมือนเป็นเสียงของสตรี

เฉียวเวยขมวดคิ้ว นางวางเจ้ากวางโง่ลงแล้วเอาเชือกผูกมันไว้กับต้นไม้ จากนั้นก็วางฟืนบนหลังของนางลงด้วย แล้วถามอย่างระมัดระวัง “ผู้ใด ผู้ใดร้องขอความช่วยเหลือ”

ข้าเอง…

หวังมามาส่งเสียงออกมาจากลำคอ แม้แต่ตัวเองยังแทบไม่ได้ยินเสียงตัวเอง

ในเวลานี้นางถูกแขวนอยู่บนเถาวัลย์ เถาวัลย์นั้นเลื้อยลงมาจากขอบเนินเขาห้อยอยู่กลางอากาศ ไม่รู้ว่าสูงจากพื้นเท่าไร ตอนมองลงไปเห็นทุ่งนากับแม่น้ำนางตัวสั่นเทาไปทั้งร่าง

เหตุที่เป็นเช่นนี้ต้องเริ่มเล่าจากเมื่อคืน นางทำตามคำแนะนำของหลิวชุ่ยฮวาคือเดินตรงไปตามทาง เมื่อถึงทางแยกก็เลี้ยวซ้าย สิ่งที่ทำให้นางโกรธคือนางไม่พบเรือนของคุณหนูใหญ่เลย ยิ่งเดิน ยิ่งออกนอกทางมากขึ้น ป่าก็รกชัฏขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายนางก็เผชิญหน้ากับหมาป่าตัวหนึ่ง

นางตกใจแทบตายรีบปีนขึ้นต้นไม้ แต่นางอายุปูนนี้แล้วให้มาปีนต้นไม้ช่างลำบากเหลือเกิน

หมาป่าขึ้นมากินนางไม่ได้ หลังจากเดินวนอยู่รอบๆ ไม่นานก็จากไป

แต่ฝันร้ายไม่ได้จบเพียงแค่นั้น

ปรากฏว่าหมาป่าไม่ยอมแพ้ มันกลับไปเรียกพวกมาช่วย มันเรียกหมาป่ามาทั้งฝูง หมาป่ากระโดดขึ้นมาอย่างน่ากลัว หลายครั้งนางรู้สึกว่าพวกมันกำลังจะกัดถูกบั้นท้ายของนาง แต่พวกมันก็ร่วงลงไป

หลังจากนั้นไม่นาน หมาป่าก็จากไป

คราวนี้พวกมันไม่กลับมาอีก

ต่อมานางรู้สาเหตุที่พวกมันไม่กลับมาแล้ว ที่แท้ก็เพราะว่ามีเสือตัวหนึ่งมา

ในตอนนั้นนางลงมาที่พื้นแล้ว อยากจะปีนขึ้นไปอีกก็ทำไม่ได้ ดังนั้นนางจึงวิ่งไปข้างหน้าอย่างสุดชีวิต ผลสุดท้ายนางก็พลัดตกลงมาจากหน้าผา

โชคดีตอนนางตกลงมา นางคว้าเถาวัลย์ได้เส้นหนึ่งจึงไม่ได้ตกลงไปกระดูกแหลกเหลวอยู่ด้านล่าง

แต่นางห้อยอยู่ตรงนี้มานานนักแล้ว ใกล้จะทนไม่ไหวเต็มที

ไม่รู้ว่าที่แห่งนี้คือสถานที่บัดซบอันใด นางร้องขอความช่วยเหลือทั้งคืนแต่ไม่มีผู้ใดได้ยิน

ต้องเป็นหลิวชุ่ยฮวาแน่ๆ ที่บอกทางมั่วทำให้นางเป็นเช่นนี้!

ถ้านางรอดไปได้ คอยดูเถอะนางจะฉีกหลิวชุ่ยฮวาเป็นชิ้นๆ!

“ผู้ใด ผู้ใดร้องขอความช่วยเหลือ”

ทันใดนั้นเสียงของเฉียวเวยก็ดังขึ้นไม่ไกลนัก

หวังมามาน้ำตาไหล…

มีคนอยู่ตรงนี้!

คุณหนูใหญ่เจ้าคะ!

บ่าวอยู่นี่!

ช่วยบ่าวด้วย

“มีผู้ใดอยู่หรือไม่”

เฉียวเวยเดินพร้อมกับกวาดตามองไปรอบๆ กระทั่งเดินไปถึงขอบหน้าผาก็ยังไม่เห็นเงาของใคร “หูฝาดกระมัง ไม่มีผู้ใดตอบเลย”

หวังมามากังวลจนน้ำตาไหลพราก ท่านได้ยินถูกแล้ว! ข้าเอง! ข้าอยู่นี่! ช่วยข้าด้วย!

นางอ้าปาก แต่ไม่สามารถส่งเสียงได้เลย

เฉียวเวยเงยหน้าขึ้นมอง “ถ้าไม่มีผู้ใดอยู่ ข้าจะไปแล้วนะ!”

หวังมามากระวนกระวายใจ บนภูเขาที่แห้งแล้งเช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะมีคนมาอีกหรือไม่ จะปล่อยให้คุณหนูใหญ่จากไปเช่นนี้ไม่ได้!

นางแข็งใจกรีดร้องและตะโกนอย่างสิ้นหวัง ทว่าสิ่งที่เค้นออกมาได้มีเพียงเสียงอันแหบแห้งเท่านั้น

เสียงนั้นแปลก คล้ายมนุษย์ แต่ไม่เหมือนมนุษย์

เฉียวเวยมีประสบการณ์ถูกเสือไล่ล่า นางกลัวว่าจะมีสัตว์ร้ายอยู่ใกล้ๆ จึงถอยกลับไปหากวางโง่ตัวนั้นอย่างระมัดระวัง หากเป็นสัตว์ร้าย นางจะโยนกวางให้มันไป “หากเป็นคนก็จงพูด!”

หวังมามาส่งเสียงแหบแห้งออกมา

ยิ่งฟังยิ่งรู้สึกขนลุก ไม่รู้ว่างูพิษหรือสัตว์เดรัจฉาน

เฉียวเวยอุ้มเจ้ากวางโง่ขึ้นมา “หากเจ้าพูดไม่ได้ก็ปรบมือ ข้าจะนับหนึ่ง สอง สาม หากเจ้าไม่ปรบมือ ข้าก็จะถือว่าไม่มีคน! หนึ่ง สอง…”

หวังมามารีบยกมือออกมา หนึ่งข้าง สองข้าง…

ตุบ!

นางตกจากหน้าผาไปเสียแล้ว…

เฉียวเวยไม่รอคำตอบ นางแบกฟืนไว้บนหลังแล้วอุ้มกวางโง่กลับไปที่เรือนหลังเล็ก

หลังจากผูกกวางกับต้นไม้แล้ว เฉียวเวยก็เข้าไปในห้อง

นับรวมเงินที่ป้าหลัวกับชุ่ยอวิ๋นให้แล้ว นางก็มีเงินในมือรวมทั้งสิ้นสามร้อยหกสิบห้าตำลึง เงินจำนวนนี้เป็นเงินที่นางไม่กล้าแม้แต่จะนึกถึง แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าไม่พอใช้ ต้องใช้เงินห้าร้อยตำลึงในการซื้อที่ดิน เงินค่าสร้างบ้านอีกต่างหาก สุดท้ายแล้ว หากเงินไม่ถึงหกหรือเจ็ดร้อยตำลึงก็คงสร้างไม่ได้

เงินหนอเงิน ทำไมมักมีไม่พอ

ยามบ่ายเฉียวเวยทำไข่เยี่ยวม้าอีกสองร้อยฟอง ติดวันที่ทำไว้นอกโถ ก่อนพระอาทิตย์ตกนางยังไปดูที่ดินฝั่งตะวันออกของหมู่บ้าน ปกติห้าวันเมล็ดข้าวฟ่างก็จะแตกหน่อแล้ว ทุกๆ วันนางต้องมาดูสักครั้ง ดูว่าพวกมันแตกหน่อแล้วหรือยัง

ตอนกลางคืนที่เด็กๆ นอนหลับกันหมดแล้ว นางลืมตาและมองดูเพดานสีดำสนิท คิดหาวิธีอื่นในการหาเงิน นางไม่เอาวิธีที่ทั้งช้า ทั้งหาเงินได้น้อยแน่ นางต้องการวิธีที่ทำได้เร็วและหาเงินได้ครั้งละมากๆ

คิดๆ อยู่ก็หลับไป…

วันรุ่งขึ้นนางส่งลูกๆ ไป ‘สำนักศึกษา’ ของซิ่วไฉเฒ่าเช่นเคย มีเด็กมาที่นี่มากกว่าเดิม เพราะไม่คิดเงิน ใครก็มาเรียนได้ แต่หลังจากที่จิ่งอวิ๋นได้เป็นทั่นฮวาก็มีเด็กมาเรียนมากขึ้นอีก ซิ่วไฉเฒ่ามิใช่ว่าผู้ใดมาก็รับหมด เขาก็คัดเลือกคนเช่นกัน เด็กคนไหนดื้อหรือซุกซนเขาก็ไม่รับ เพราะเขากลัวว่าจะกระทบการเรียนของจิ่งอวิ๋นและวั่งซู

“ตอนเที่ยงไปกินข้าวที่บ้านท่านยายนะ แม่จะกลับมาช้าหน่อย” นางมีกวางต้องจัดการ ถ้าโชคดีอาจขายได้เร็ว หากโชคร้ายก็ต้องใช้เวลาหน่อย

ซาลาเปาน้อยทั้งสองพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง วั่งซูถามว่า “ท่านแม่จะขายกวางน้อยนั่นหรือเจ้าคะ”

นางตัดใจไม่ลงอยากจะบอกท่านแม่ว่าความจริงนางอยากเลี้ยงไว้สักตัว กวางจะเปลี่ยนก้นเป็นสีขาวเวลาโกรธ น่ารักมากจริงๆ

เฉียวเวยลูบศีรษะของนาง “วั่งซูตัดใจมิลงหรือ”

วั่งซูพยักหน้า

เด็กคนนี้เห็นสัตว์ตัวน้อยก็ใจอ่อนเสียทุกที เฉียวเวยแสร้งตีหน้าขรึม “ถ้าเช่นนั้นคงต้องขายเสี่ยวไป๋แล้ว”

เสี่ยวไป๋พองขนทันที!

วั่งซูทำหน้ามุ่ย “ถ้าเช่นนั้นก็ขายกวางเถิดเจ้าค่ะ”

เฉียวเวยขนกวางกับขนมขึ้นรถม้าของตาเฒ่าซวนจื่อเข้าไปในเมือง

วันนี้นางออกมาช้า กว่าจะถึงหรงจี้ก็สายจนจะเที่ยงแล้ว แต่หรงจี้ไม่ได้ทำอาหารเช้าขาย ดังนั้นนางจึงไม่ถูกตำหนิอย่างใด

นางลงจากรถพร้อมกับกล่องอาหารขนาดใหญ่สองกล่อง ทันทีที่นางเดินเข้าประตู นางก็ได้ยินเสียงตะคอกของเถ้าแก่หรง “จะไปทำอะไรกิน จะทำอะไรกิน หา? เรื่องเล็กเท่านี้ก็ยังทำไม่ได้! ข้าบอกพวกเจ้าไปกี่ครั้งแล้วว่าวันนี้มีคนจองโต๊ะพิเศษ พวกเจ้ามัวแต่ทำอันใดกัน ไม่รู้จักเตรียมตัวล่วงหน้า ต้องรอลูกค้ามาก่อนค่อยบอกข้าว่าทำอาหารไม่ได้! ตอนข้าจ่ายค่าแรงพวกเจ้า เหตุใดข้าไม่บอกว่าจ่ายไม่ได้บ้างเล่า ว่าอย่างไร?!”

นี่เป็นครั้งแรกที่เฉียวเวยเห็นเถ้าแก่หรงระเบิดโทสะขนาดนี้ เขาราวกับว่าเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ไม่ยิ้มแย้มหัวเราะเหมือนยามปกติสักนิด

เฉียวเวยเข้าออกหรงจี้มาพักใหญ่แล้ว นางย่อมเคยได้ยินมาว่าโต๊ะพิเศษคือสิ่งใด นั่นคือรายการอาหารที่หรูหราที่สุดของหรงจี้ ประกอบด้วยเนื้อสัตว์แปดอย่าง ผักแปดอย่าง น้ำแกงสามอย่างและข้าวสองอย่าง ในบรรดาของเหล่านั้นผักที่เอามาปรุง จะไม่ใช้หัวไชเท้าหรือผักกาดเขียวตามร้านตลาดทั่วไป แต่เป็นเห็ดป่าชนิดต่างๆ ร่วมกับผักตามฤดูกาล ข้าวคือข้าวดำกับข้าวขาว น้ำแกงเป็นน้ำแกงที่ทำจากสัตว์ที่บินอยู่บนฟ้า ว่ายอยู่ในน้ำ วิ่งอยู่ที่พื้นชนิดต่างๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอาหารจานเนื้อว่าจะพิเศษมากเพียงไร

เนื่องจากเป็นวัตถุดิบพิเศษ โต๊ะพิเศษจึงต้องจองล่วงหน้า คนส่วนใหญ่จ่ายไม่ไหว ผู้ที่จ่ายไหวคือคหบดีหรือผู้สูงศักดิ์ คนเหล่านี้เป็นคนที่รับใช้ยากเป็นที่สุด