บทที่ 110.2 บดให้แหลก (2)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

เพราะเรื่องที่แข่งกับกู้จิ่นอวี้แล้วพ่ายแพ้ทำให้คุณหนูจวงรู้สึกอับอายขายหน้า คุณหนูจวงจึงไม่ไปสนใจกู้จิ่นอวี้อีก

นางไม่ได้ไปหา แต่อีกฝ่ายกลับมาหานางถึงที่เสียได้

“เจ้ามาทำอะไร” เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น คุณหนูจวงมองกู้จิ่นอวี้ที่จู่ ๆก็ปรากฏตัวขึ้นในเรือนตัวเอง ก่อนจะถามอย่างไม่สบอารมณ์

กู้จิ่นอวี้แย้มยิ้ม “ข้ามามอบแบบคัดลายมือให้คุณหนู”

คุณหนูจวงสีหน้าพลันเปลี่ยน “เจ้ายังกล้าพูดถึงแบบคัดลายมืออีกรึ เจ้าตั้งใจมาเยาะเย้ยข้าใช่หรือไม่”

กู้จิ่นอวี้ส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนยิ้มจางอย่างอ่อนโยนพลางเอ่ยว่า “คุณหนูเข้าใจปิดแล้ว ข้าจะเยาะเย้ยคุณหนูได้อย่างไร เมื่อวานข้าเห็นลายมือของคุณหนูแล้วพบว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตัวของคุณหนู”

คุณหนูจวงเกิดความสนใจขึ้นมา นางเลิกคิ้วถามว่า “เจ้าหมายความว่าอย่างไร”

กู้จิ่นอวี้บอกอย่างมีชีวิตชีวาว่า “คุณหนูจวงลายมือหนัก รูปแบบอักษรจานฮวาของสตรีทั่วไปนั้นเล็กเกินไป ไม่เหมาะกับแรงมือของคุณหนู หากคุณหนูจวงเปลี่ยนแบบตัวหนังสือ ต้องสามารถฝึกได้มีพลังหนักแน่นมากแน่”

ไม่มีใครไม่ชอบฟังคำพูดดีๆ คุณหนูจวงก็เช่นกัน

ความต่อต้านที่นางมีต่อกู้จิ่นอวี้พลันเปลี่ยนไปมาก “ยังนับว่าเจ้าตามีแวว ข้ารู้สึกมาโดยตลอดว่ารูปแบบตัวหนังสือนั้นมันไม่ค่อยถูก! ไม่ว่าจะฝึกอย่างไรก็ไม่เข้ามือ!”

“คุณหนูจวงลองอันนี้ดูดีกว่าเจ้าค่ะ” กู้จิ่นอวี้หยิบแบบคัดลายมือวางลงบนโต๊ะ

“นี่เป็นลายมือใครรึ” คุณหนูจวงถาม

“ลายมือของท่านโหวน้อยแห่งแคว้นเจา” กู้จิ่นอวี้บอก

คุณหนูจวงพลันเดือดดาลขึ้นมา “เจ้าจะให้ข้าฝึกลายมือของบุรุษรึ”

กู้จิ่นอวี้ยิ้มจางพลางส่ายหน้า “ตัวหนังสือไม่แบ่งแยกชายหญิง แค่สตรีฝีแปรงเบา แบบตัวหนังสือจานฮวาจึงเข้ามือกว่าเท่านั้น แต่หากว่ากันด้วยเรื่องความงดงามแล้ว ยังคงเป็นลายมือของท่านโหวน้อยที่งดงามที่สุด”

ประโยคนี้กลับเป็นความจริง กู้จิ่นอวี้เคยแอบฝึกมาก่อนเช่นกัน ต่อให้ไม่ได้ยอดเยี่ยมถึงแก่นอย่างเขา แต่ก็เขียนได้สวยกว่าแบบจานฮวามากนัก

แบบคัดลายมือแผ่นนี้เป็นสิ่งที่นางขอร้องอ้อนวอนมาจากซูเฟยอย่างยากลำบาก และซูเฟยก็เปลืองน้ำลายขอร้องอ้อนวอนกับทางฝ่าบาทมาอีกที เรียกได้ว่าล้ำค่ายิ่ง

นางก็ตัดสินใจครั้งใหญ่เช่นกันจึงได้หักใจเอาแบบคัดลายมือนี้มาให้

กู้จิ่นอวี้เอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวลว่า “คุณหนูจวงจะลองดูหรือไม่ เริ่มจากการคัดลอกก่อน”

คุณหนูจวงรู้สึกว่าลายมือนั้นงดงามจริงๆ สวยกว่าแบบคัดลายมือที่ตระกูลจวงรวบรวมมาให้นางหลายสิบหลายร้อยเท่า ซ้ำกู้จิ่นอวี้ก็เอ่ยโน้มน้าวนางอย่างละมุนละม่อม ให้ทางลงแก่นางอย่างยิ่งใหญ่

นางให้คนไปเอาพู่กัน กระดาษและแท่นฝนหมึกมา หลังจากคัดลอกได้ไม่กี่ตัว เทียบกับลายมือเมื่อวานนี้แล้ว เห็นได้ชัดมากว่าก้าวหน้าขึ้นจริงๆ

กู้จิ่นอวี้เอ่ยชมว่า “คุณหนูจวงเป็นคนฉลาดเฉลียวจริงๆ ด้วย ตอนแรกข้าฝึกเยอะมากก็ยังสู้แรงฝีแปรงของคุณหนูจวงไม่ได้ ตราบใดที่คุณหนูจวงขยันหมั่นเพียรฝึกฝน ใช้เวลาไม่นานก็สามารถก้าวหน้าเกินกว่าข้าได้แล้ว”

คุณหนูจวงภาคภูมิใจในตัวเอง “นั่นมันแน่อยู่แล้ว!”

……

หลังจากที่เซียวลิ่วหลังกับเฝิงหลินเดินทางไปที่เมืองแล้ว มื้อเที่ยงกู้เสี่ยวซุ่นจึงเป็นคนพากู้เหยี่ยนกับเสี่ยวจิ้งคงมาหากิน ในบรรดาทั้งสามคนนี้กู้เหยี่ยนโตที่สุด แต่ประสบการณ์การใช้ชีวิตน้อยที่สุด เป็นกู้เป่าเป่าสมคำร่ำลือ

ซ้ำกู้เป่าเป่ายังเลือกกินอีกด้วย

“วันนี้ข้าไม่อยากกินบะหมี่!” กู้เป๋าเป่าเบ้ปากบอก

“แต่วันนี้ควรกินบะหมี่นะ” เสี่ยวจิ้งคงแบมือ

เสี่ยวจิ้งคงเป็นคนที่มีแบบมีแผน จัดการอาหารในแต่ละวันได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เซียวลิ่วหลังกินอะไรก็ได้ไม่เลือกกิน ปล่อยตามใจเขาตลอด ส่วนกู้เสี่ยวซุ่นก็ยิ่งไม่เลือกกิน

เมื่อก่อนกู้เหยี่ยนนึกว่าเป็นความคิดของพี่เขย จึงได้ให้ความร่วมมืออย่างไว้หน้า ตั้งแต่รู้ว่าเสี่ยวจิ้งคงวางแผนการกิน เขาก็เริ่มโต้แย้งขึ้นมา

“ข้าไม่สน ข้าไม่กินบะหมี่!” กู้เหยี่ยนกลอกตามองฟ้า

กู้เสี่ยวซุ่นมองเสี่ยวจิ้งคงที่ขมวดคิ้วมุ่น แล้วมองกู้เหยี่ยนที่มีสีหน้าไม่ให้ความร่วมมือ พลันจนปัญญาขึ้นมา

คิดถึงพี่เขยจริงๆ เขาจะกำราบเจ้าสองนี้อย่างไรดีนะ

ก่อนที่กู้เหยี่ยนจะมา เซียวลิ่วหลังกับเสี่ยวจิ้งคงทะเลาะกันตลอด หลังจากกู้เหยี่ยนมาแล้ว เปลี่ยนมาเป็นขัดแย้งภายในกันเอง อันที่จริงหากไม่มีการคุกคามขนานใหญ่นี้ของเสี่ยวจิ้งคง เช่นนั้นกู้เหยี่ยนกับเซียวลิ่วหลังก็คงเป็นขิงก็รา ข่าก็แรง

สรุปคือ น้องชายสองคนนี้เป็นนกกระยางสู้กับหอยกาบ เซียวลิ่วหลังเป็นชาวประมงที่ได้ประโยชน์

กู้เสี่ยวซุ่นปวดเศียรเวียนเกล้าไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรดี เห็นจู่ๆ มีเงาร่างคุ้นเคยปรากฏขึ้น ดวงตาเขาพลันเป็นประกายทันที “พี่สาว!”

ทั้งสองคนที่กำลังทะเลาะกันอยู่พลันเงียบลงทันที ก่อนจะพากันหันหน้ามามองทางนี้

กู้เจียวสะพายตะกร้าใบน้อยมาถึงหน้าประตูสำนักบัณฑิต แล้วมองทั้งสามพลางเอ่ยว่า “เหตุใดจึงยังไม่ไปกินข้าวล่ะ”

“ก็พี่กู้เหยี่ยนน่ะสิ เขาไม่ยอมกินตามแผนของข้า!” เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยด้วยใบหน้าน้อยๆ ที่เคร่งขรึม

กู้เหยี่ยนแค่นเสียงเฮอะออกมา “ตั้งแต่เช้าจรดค่ำก็เอาแต่ฟ้องความเท็จ!”

เสี่ยวจิ้งคงเท้าเอว “ไม่ใช่ฟ้องเสียหน่อย นี่เรียกว่าบอกความจริง! แล้วก็ ที่ข้าฟ้องก็ไม่ใช่ความเท็จด้วย! เป็นความจริงที่มีสีสัน!”

ฟ้องความเท็จอะไรกัน อัปลักษณ์นัก!

กู้เหยี่ยนจุ๊ปาก เอ่ยว่า “ข้าเคยได้ยินแต่ผายลมรุ้ง ไม่เห็นจะเคยได้ยินความจริงสีรุ้งมาก่อน อีกอย่าง แผนการที่เจ้าตัดสินใจเอง ข้าก็ไม่ได้เห็นด้วยเลย!”

เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยอ้างอิงว่า “เมื่อก่อนก็กินกันแบบนี้!”

เสี่ยวจิ้งคงมีโรคย้ำคิดย้ำทำอยู่เล็กน้อย ให้เขาแก้ไขแผนการนั้นคนธรรมดาเถียงเขาไม่ได้ เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นคนมีความสามารถว่ากันด้วยเหตุผลที่จะพูดเกลี้ยกล่อมเขาได้

กู้เจียวถามเสี่ยวจิ้งคงว่า “วันนี้จะกินอะไรรึ”

เสี่ยวจิ้งคงตอบว่า “บะหมี่หยางชุน!”

กู้เจียวมองกู้เหยี่ยน “เจ้าอยากกินอะไรรึ”

กู้เหยี่ยนถลึงตาใส่เสี่ยวจิ้งคงพลางตอบว่า “ข้าวกับปลา!”

กู้เจียวพยักหน้า “พอดีเลย ข้าเอาข้าวมาด้วย มีปลาพอดี พวกเราค่อยหาร้านบะหมี่สั่งบะหมี่กันสักชามก็แล้วกัน”

การจัดการเช่นนี้ทำให้ทั้งสองคนต่างไร้ความเห็นต่างใดๆ

กู้เหยี่ยนฉงนยิ่ง “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าอยากกินปลา เกิดเมื่อครู่ข้าบอกว่าข้าอยากกินเนื้อล่ะ”

กู้เจียวยิ้มบาง “เพราะวันนี้ข้าอยากกินปลามากน่ะสิ”

เป็นฝาแฝดกัน ช่างน่าอัศจรรย์เช่นนี้

พวกเขากินมื้อเที่ยงกันที่ร้านบะหมี่เรียบร้อย กู้เสี่ยวซุ่นก็กลับสำนักบัณฑิตเองโดยไม่ต้องให้ไปส่ง กู้เจียวพากู้เหยี่ยนและเสี่ยวจิ้งคงมาส่งที่โรงเรียน จากนั้นก็ไปหุยชุนถัง นางเอาสมุนไพรที่เก็บจากเขามาขายให้พวกเขา

เวลายังเช้าอยู่ นางกะว่าจะไปดูความคืบหน้าของเครื่องมือเกษตรที่ร้านตีเหล็กเสียหน่อย อีกเดี๋ยวจะได้ทันเวลาเลิกเรียนของพวกกู้เหยี่ยนพอดี

ห่างจากวันที่กู้เจียววาดรูปทิ้งไว้ให้ยี่สิบวันแล้ว

ระหว่างนั้นปั๊มสูบลมที่นางออกแบบถูกช่างไม้ทำเสร็จได้สามวันแล้ว เวลาอีกเก้าวันที่เหลือ ร้านตีเหล็กเร่งทำเครื่องมือเกษตรที่ใช้ในการถลุงเหมืองแร่หนึ่งพันกว่าชิ้นเสร็จสิ้นได้จริงดังคาด

พวกนายช่างต่างตกตะลึงกันใหญ่

บนโลกนี้มีสิ่งล้ำค่ามหัศจรรย์เช่นนี้อยู่จริงๆ!

“เหล่าหวัง ของสิ่งนี้ใช้การได้ดีกว่าเครื่องเป่าลมด้วยน้ำของราชสำนักมากนัก!” ช่างหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยขึ้น

นายช่างชราพยักหน้าอย่างตื่นตะลึง “นั่นสิ อย่าว่าแต่เครื่องเป่าลมด้วยน้ำของราชสำนักเลย เกรงว่าของแคว้นเหลียงก็ยังสู้ไม่ได้”

ว่ากันด้วยเรื่องจิตใจของช่างฝีมือที่มีความคิดสร้างสรรค์กับสิ่งประดิษฐ์เล็กๆ มากมายแล้ว ในบรรดาทั้งหกแคว้นนั้น แคว้นเหลียงเป็นอันดับหนึ่ง ฝีมือของเครื่องเป่าลมโดยน้ำของแคว้นเหลียงถึงจุดสูงสุดแล้ว ตอนนั้นแคว้นเจาไม่เสียดายที่จะใช้ภูเขาเหมืองแร่สามแห่งมาแลกเปลี่ยนเพื่อให้ได้เคล็ดลับการทำสิ่งนี้มา

ทว่าแม้จะเป็นเช่นนี้ สิ่งที่แคว้นเหลียงถ่ายทอดให้แคว้นจ้าวกลับเป็นเพียงแค่เคล็ดลับการประดิษฐ์เครื่องเป่าลมโดยน้ำขั้นต้นเท่านั้น

“แม่นางผู้นั้นเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์มาจากที่ใดกัน” นายช่างหนุ่มนึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงตกใจจนถลึงตาเบิกโต “คงไม่ใช่สายลับของแคว้นเหลียงหรอกกระมัง”

นายช่างชราตบหัวเขาฉาดหนึ่ง “โง่หรือไรเจ้าน่ะ สายลับแคว้นเหลียงจะสามารถเอาเคล็ดลับยอดเยี่ยมเช่นนี้มาบอกพวกเราได้หรือไร”

“ก็จริง” ในที่สุดนายช่างหนุ่มก็มีปฏิกิริยาขึ้นมาว่าท้ายทอยตัวเองเจ็บปวดเพียงใด เขาถลึงตาใส่นายช่างชราอย่างคับแค้น “มือที่ตีเหล็กมันหนักขนาดไหนไม่รู้หรือไร ตบอีกสองที ข้าได้กลายเป็นเหล็กแผ่นแน่!”

นายช่างชราหัวเราะ

นายช่างหนุ่มเอ่ยขึ้นอีกว่า “จะทำอย่างไรกับแม่นางคนนั้น”

นายช่างชราเอ่ยว่า “จะทำอย่างไรอะไรล่ะ อ้อ เจ้าหมายถึงเรื่องเครื่องมือเกษตรน่ะหรือ ในเมื่อนางทำให้ข้าทำเครื่องมือเหล็กพันกว่าชิ้นนี้เสร็จภายในสิบวันได้ เช่นนั้นข้าก็จะทำตามสัญญา เครื่องมือเกษตรของนางข้าไม่เก็บเงินแม้แต่อีแปะเดียว!”

ไม่เพียงเท่านี้ นายช่างชรายังหวังว่าจะสามารถขอบคุณแม่นางคนนั้นต่อหน้าได้ด้วย

แต่น่าเสียดายที่เขาเฝ้ารอมาตลอดทั้งบ่ายแล้วก็ยังไม่เจอกู้เจียว