ตอนที่ 93 มิใช่ว่ามีเด็กอีกคนหรอกหรือ?
อวี้ชิงลั่วกล่าวจบ ก็เดินไปหาจินหลิวหลี
อย่างไรก็ตาม เมื่อกวาดมองไปรับ ๆ ห้องรับรองที่อยู่ด้านหน้า กลับไม่เห็นจินหลิวหลี น่าแปลก เมื่อครู่ก็ยังเห็นว่าอยู่ที่นี่ เหตุใดถึงหายไปแล้ว?
ทันทีที่ขาทั้งสองข้างของนางก้าวออกไป แขนกลับถูกใครบางคนรั้งไว้
อวี้ชิงลั่วหันกลับมามอง ก็พบว่าเย่ซิวตู๋กำลังขมวดคิ้วมองมาที่นาง เอ่ยถามว่า “จะไปไหน?”
“โรงหมอซิ่งเซิง” อวี้ชิงลั่วตอบกลับหนึ่งประโยค และหันหน้าตามหาจินหลิวหลีอีกหน
เย่ซิวตู๋กลับหัวเราะด้วยน้ำเสียงเย็นชา ออกแรงจับแขนนางแรงยิ่งขึ้น “ไปเจอคนแซ่อวี๋?”
จินหลิวหลีทราบข่าว เขายิ่งต้องทราบดียิ่งกว่า
โดยเฉพาะตอนที่เขาทราบถึงคนของราชวงศ์อาณาจักรหลิวอวิ๋นที่นางรักษาให้ที่โรงหมอซิ่งเซิงเมื่อวานนี้ เขายิ่งต้องจับตามองโรงหมอซิ่งเซิงยิ่งขึ้น และทราบถึงแม่นางที่มีทักษะทางการแพทย์ชั้นสูงที่ชาวบ้านในเมืองหลวงพูดถึงในตอนนี้ และทราบยิ่งกว่าว่าอวี๋จั้วหลินในตอนนี้ กำลังนั่งรออยู่ด้านในโรงหมอซิ่งเซิงโดยไม่มีการเคลื่อนย้ายแต่อย่างใด
ครั้นนึกถึง ‘คำพูดหวานหยาดเยิ้ม’ เหล่านั้นที่นางใช้เพื่อยั่วยวนอวี๋จั้วหลินตอนอยู่ที่เจียงเฉิง เย่ซิวตู๋ก็เกลียดเสียจนอยากจะฆ่านางซะ
เย่ฮ่าวหรานเบิกตาโต หูผึ่งฟังบทสนทนาของพวกเขา
คนแซ่อวี๋? หรือว่าจะเป็นอวี๋จั้วหลิน?
อวี้ชิงลั่วไปเจออวี๋จั้วหลิน หรือว่านางจะผูกรักมิรู้คลายต่อเขา? เรื่องนี้ เหตุใดถึงได้ดูเหมือนจะซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ
เย่ฮ่าวหรานเป็นคนชอบเรื่องซุบซิบนินทามาโดยตลอด บัดนี้ดวงตาคู่นั้นจับจ้องไปที่สีหน้าบนใบหน้าของทั้งสองราวกับเครื่องตรวจจับ ไม่กล้าละสายตาแม้แต่นิดเดียว
อวี้ชิงลั่วขมวดคิ้ว สายตามองไปที่แขนของตนเองที่ถูกเขาจับไว้ พยักหน้ากล่าว “แน่นอน”
“ไม่ให้ไป”
“มีสิทธิ์อะไร?”
“พวกเราจะย้ายไปที่ตำหนักอ๋องแล้ว เจ้าไปเก็บของซะ เราจะไปกันตอนนี้เลย” อันที่จริงการเดินทางไปตำหนักอ๋องไม่ต้องเก็บข้าวของอะไร ไปแต่ตัวก็พอแล้ว แต่ตอนนี้เขาไม่มีทางปล่อยให้อวี้ชิงลั่วไปเจอคนแซ่อวี๋เป็นอันขาด
อวี้ชิงลั่วขมวดคิ้ว ภายในใจรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก “ข้าไม่มีของอะไรต้องเก็บ สัมภาระอยู่ในห้อง หากจะไปก็รอให้ข้ากลับมาก่อนค่อยไปก็ย่อมได้ อีกอย่างตอนนี้อวี๋จั้วหลินก็อยู่ที่โรงหมอซิ่งเซิงแล้ว หากข้าไม่ไป ก็จะพลาดโอกาสครั้งนี้”
โทสะของเย่ซิวตู๋เพิ่มขึ้นทีละชั้น จู่ ๆ เขาก็ยื่นมือดึงอวี้ชิงลั่วกลับมา การย่างเท้าของอวี้ชิงลั่วเสียสมดุล จึงหงายหลังเข้าสู่อ้อมกอดของเขา
อวี้ชิงลั่วเกิดความขุ่นเคือง มือทั้งสองข้างผลักออกไปเริ่มปฏิเสธ ทว่าคิดไม่ถึงเลยว่าที่เอวของนางมีมือคู่หนึ่งเพิ่มเข้ามา และกำลังจับเอวของนางไว้จนแน่น
ตามมาติด ๆ ด้วยเสียงนุ่มลึกของเย่ซิวตู๋ที่ดังขึ้นข้างหู “หากเจ้าไปหาอวี๋จั้วหลินในตอนนี้ ข้าจะส่งคนไปบอกเขาทันที ว่าตัวตนของหมอปีศาจก็คือเจ้า…อวี้ชิงลั่ว”
ริมฝีปากของเขาขยับเข้ามาใกล้มาก ขณะที่พูดลมหายใจอุ่น ๆ ก็พัดที่ปอยผมข้างหูของนาง อุณหภูมิเย็นเยียบของริมฝีปากขยับใกล้ติ่งหูของนาง
อวี้ชิงลั่วหดคอโดยไม่รู้ตัว บนใบหน้าย้อมด้วยสีแดงผิดธรรมชาติจาง ๆ
คำพูดเหล่านั้นที่เขาพูดราวกับสิ่งมายา ได้ยินไม่ชัดเจน และไม่สามารถซึมซับเข้าไปได้
อวี้ชิงลั่วตระหนักได้ถึงบางอย่างโดยพลัน นางผลักเขาออกไปแรง ๆ เงยหน้าขึ้น ทว่ากลับประสานเข้ากับดวงตาที่ดูดีคู่นั้นของเขา สายตาของเขาทำให้นางตกใจจนพูดไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง
คนอื่น ๆ ที่อยู่ในห้องรับรองต่างจ้องมองพวกเขาทั้งสองอย่างเงียบเชียบ ท่าทางตกตะลึงนั้นราวกับเขาและเย่ซิวตู๋ทำเรื่องน่าเหลือเชื่อบางอย่างในที่สาธารณะ
โดยเฉพาะเย่ฮ่าวหราน ที่ขยิบตามาที่ตนเองอย่างคลุมเครือ ทั้งยังส่งเสียงจุ๊ ๆ ออกมา
อวี้ชิงลั่วเองก็ไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไป จึงถลึงตากลับไปด้วยท่าทางขึงขัง เบือนหน้าและวิ่งกลับไปที่ห้องของตัวเอง
เย่ซิวตู๋เห็นทิศทางที่นางเดินออกไป ก็นึกว่านางได้ยินคำพูดข่มขู่ของตนเองแล้ว จึงแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก หันกลับมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ พูดกับเสิ่นอิงและคนอื่น ๆ อย่างเย็นชาว่า “รีบไปเก็บของกลับตำหนักอ๋อง”
เนื่องจากทุกคนทราบแล้วว่าเย่ซิวตู๋กลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว นับจากวันพรุ่งเป็นต้นไป ย่อมมีคนจำนวนมากมา ‘หา’ เขา ตำหนักอ๋องแตกต่างจากจวน ที่นั่นมีผู้อารักขาอย่างแน่นหนา คนแบบหลิวเซียงเซียงแม้แต่ประตูตำหนักอ๋องก็ไม่คู่ควร
“ขอรับ”
“ช้าก่อน” เย่ซิวตู๋แอบลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเรียกเสิ่นอิงกลับมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว “เจ้าไปที่คลังแล้วนำเงินออกมาส่วนหนึ่ง ให้พ่อบ้านแบ่งให้คนรับใช้เหล่านั้นที่ได้รับบาดเจ็บในวันนี้”
เสิ่นอิงพยักหน้า “เข้าใจแล้วขอรับ”
ระหว่างที่พูด เขาก็เดินออกจากห้องรับรองด้านหน้าพร้อมกับโม่เสียน
สายตาของเย่ซิวตู๋หันกลับมาอีกหน มองไปยังประตูบานนั้นที่อวี้ชิงลั่วเพิ่งเดินออกไป เมื่อครู่…สายตาของนางดูเหมือนจะผิดปกติ ใบหน้าก็แดงระเรื่อ เป็นสีแดงไม่เหมือนกับเมื่อก่อน นางป่วยหรือ?
อวี้ชิงลั่ววิ่งกลับมาที่ห้อง นั่งลงและจิบน้ำชาคำใหญ่ ก่อนจะตบฉาดเข้าที่หน้าผากตัวเองแรง ๆ
เกิดอะไรขึ้นกับนาง ปรากฏว่ามีวันที่นางถึงขั้นวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงเช่นนี้ด้วย
นอกจากนี้ เมื่อครู่เย่ซิวตู๋พูดข้างหูนางว่าอะไร? ดูเหมือนว่า…จะข่มขู่นาง
บุรุษไร้ยางอายผู้นั้น ในช่วงเวลาที่สำคัญนี้ กลับกล้าข่มขู่นาง?
อวี้ชิงลั่วเม้มปาก กระแทกแก้วชาลงบนโต๊ะแรง ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนและเดินออกไปข้างนอก
ยังไม่ทันที่นางจะเดินมาถึงหน้าประตู จู่ ๆ ประตูก็ถูกคนผลักเข้ามา ใบหน้าที่ดูเหนื่อยล้าของจินหลิวหลีสะท้อนเข้ามาในดวงตาของนาง
อวี้ชิงลั่วชะงักไปครู่หนึ่ง “หลิวหลี? เป็นอะไร? สีหน้าของเจ้าดูแปลก ๆ นะ”
“เปล่า” จินหลิวหลีส่ายหน้า นางนั่งลงบนเก้าอี้ข้าง ๆ ราวกับตกอยู่ในภวังค์
อวี้ชิงลั่วขมวดคิ้วเล็กน้อย ยื่นมือออกไปจับเส้นชีพจรที่มือของนาง ไม่ได้มีอะไรผิดปกติ จึงดูสีหน้าของนางอีกหน แม้ว่าจะทำท่าทางไร้วิญญาณ แต่ก็ไม่ได้ดูเหมือนร่างกายเจ็บป่วย
เมื่อสบายใจขึ้นเล็กน้อย นางจึงเดินมานั่งข้าง ๆ จินหลิวหลี สำรวจอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจ “เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ?”
ในเมื่อไม่ใช่เพราะร่างกายเจ็บป่วย เช่นนั้นท่าทางไร้วิญญาณเช่นนี้อีกฝ่ายคงเป็นความไม่สบายใจ
เพียงแต่เมื่อครู่ตอนที่สั่งสอนหลิ่วเซียงเซียงก็ยังดี ๆ อยู่เลย นี่ผ่านไปแค่ครึ่งชั่วยาม นางกลับเปลี่ยนไปราวกับคนละคน ไม่เหลือท่าทางที่มีเสน่ห์ให้เห็นแม้แต่นิดเดียว
จินหลิวหลีฟุบศีรษะลงบนโต๊ะ หลับตาลงเล็กน้อยพลางกล่าวเสียงเบา “เปล่า แค่เหนื่อยนิดหน่อย”
ตอนนี้อวี้ชิงลั่วไม่มีกะจิตกะใจจะไปแก้แค้นใครแล้ว จึงได้แต่นั่งเป็นเพื่อนนางอยู่ข้าง ๆ ในเมื่ออีกฝ่ายไม่คิดจะพูด เช่นนั้นนางก็ไม่ถาม อีกฝ่ายอยากฟุบนางก็จะนั่งดู กระทั่งนางฟุบจนพอใจแล้ว ค่อยมาคุยกัน
อวี้ชิงลั่วยกน้ำที่อยู่ข้าง ๆ ขึ้นมา สีหน้ากลับคืนสู่ปกติแล้ว นางจิบน้ำสองคำและเงียบไป โดยไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
จนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดิน เสิ่นอิงจึงเคาะประตูเบา ๆ รายงานว่าถึงเวลาเดินทางไปที่จวนอ๋องแล้ว ทั้งสองคนจึงเกิดการเคลื่อนไหวในท่าทางอื่น
เพียงแต่ตอนที่อวี้ชิงลั่วลุกขึ้นไปหยิบกระเป๋าสัมภาระ จินหลิวหลีกลับเปิดหน้าต่างที่อยู่ข้าง ๆ และทิ้งคำพูดไว้หนึ่งประโยคด้วยความรีบร้อน “ข้ายังมีธุระต้องไปทำ ค่ำ ๆ พวกเราค่อยเจอกันที่ตำหนักอ๋องนะ”
ครั้นกล่าวจบ นางก็กระโดดออกจากหน้าต่าง
“หลิวหลี? หลิวหลี? จินหลิวหลี?” อวี้ชิงลั่วตะโกนติดต่อกันหลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงโต้ตอบกลับของอีกฝ่าย
นางนึกขุ่นเคืองในใจ จึงได้แต่หยิบสัมภาระเดินตามเสิ่นอิงไปที่ห้องรับรองด้านหน้า
เย่ซิวตู๋และคนอื่น ๆ พร้อมที่จะออกเดินทางแล้ว ดูเหมือนว่าต่างก็รอการปรากฏตัวของนาง
เย่ฮ่าวหรานยังคงยืนแกว่งพัดพับอยู่ข้าง ๆ ด้วยรอยยิ้ม เมื่อเห็นนางปรากฏตัว ก็รีบวิ่งเข้ามาเพื่อจะช่วยถือกระเป๋าสัมภาระให้ เพียงแต่ระหว่างที่เดินเข้ามา เขากลับชะเง้อมองไปด้านหลังของนางเป็นครั้งคราว แต่กลับไม่เห็นในสิ่งที่เขาอยากเห็น
เขาอดทน แต่ท้ายที่สุดก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป กระซิบถามเย่ซิวตู๋ว่า “พี่ห้า ท่านบอกว่ายังมีเด็กอีกคนมิใช่หรือ? เด็กคนนั้นเล่า?”
……………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
หลิวหลีไปเจอเรื่องน่าตกใจอะไรมาหรือเปล่านะ? แล้วหนานหนานหายไปไหน?
ไหหม่า(海馬)