ตอนที่ 150 ไม่ต้องคิดถึงข้า

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 150 ไม่ต้องคิดถึงข้า

เซียวอี้ถอดจี้หยกที่เอวออกมามอบให้เยียนอวิ๋นเกอ

“นี่คือเงินมัดจำ เงินที่เหลือข้าจะให้คนส่งไปให้เจ้าภายหลัง”

เยียนอวิ๋นเกอจ้องจี้หยกในมือเขา ไม่ยอมรับเอาไว้

นางทำสีหน้ารังเกียจ “ใช้จี้หยกแทนเงินมัดจำ ไม่จริงใจ”

เซียวอี้ได้ยินจึงหัวเราะขึ้นมา “เจ้าอยากได้เงินมัดจำแบบใด วันนี้ออกจากจวน นอกจากจี้หยกนี้ ข้าไม่มีสิ่งของอื่นที่มีมูลค่าติดตัวมา”

เยียนอวิ๋นเกอพูด “คืนมีดที่เจ้าแย่งข้าไปคืนมา ข้าจะถือว่าเจ้าจ่ายมัดจำแล้ว”

เซียวอี้พูดอย่างจริงจัง “มีดหายไปแล้ว”

“หายไปแล้วหรือ หายไปได้อย่างไร”

เยียนอวิ๋นเกอไม่เชื่อคำพูดของเขาแม้แต่น้อย

เซียวอี้ทำหน้าบึ้ง “หายไปแล้วก็หายไปแล้ว จะมีเหตุผลมากมายที่ใดกัน เจ้าไม่เอาจี้หยกจริงหรือ เจ้ายอมช่วยข้าแม้แต่เงินมัดจำยังไม่เอา เจ้าหลงใหลในความงามของข้าจริงด้วย”

ถุย!

ไร้ยางอาย

เยียนอวิ๋นเกอโบกมือขับไล่เขาลงจากรถม้า

พูดคุยกับเขา อย่างน้อยต้องโกรธตายไปสามรอบ

เซียวอี้หัวเราะขึ้นมา “ไม่เอาจริงหรือ”

เยียนอวิ๋นเกอพยักหน้าอย่างหนัก “ทำการค้าต้องใช้ความซื่อสัตย์ ในเมื่อรับปากเจ้าแล้ว ถึงแม้ไม่มีเงินมัดจำ แต่ข้าก็จะรักษาสัญญา ข้าเชื่อว่านายน้อยเซียวจะไม่หลอกลวงข้า เพราะมันไม่มีผลดีต่อเจ้า”

เซียวอี้มองนางพูดเหลวไหลด้วยท่าทางจริงจัง มุมปากของเขายกยิ้มขึ้น “เห็นแก่ที่เจ้าเชื่อใจข้าเพียงนี้ เจ้าวางใจ เงินจะส่งไปให้เจ้าโดยเร็ว ส่วนเงินมัดจำนี้เจ้าสมควรรับมันเอาไว้ เจ้าเชื่อใจข้า แต่ข้าไม่อาจไม่รักษากฎระเบียบได้ ทำการค้าจะไม่วางเงินมัดจำได้อย่างไร”

เขายัดจี้หยกใส่มือของเยียนอวิ๋นเกอ จากนั้นกระโดดลงจากรถม้า

เขาโบกมือให้นาง “ขอตัว! ไม่ต้องคิดถึงข้า”

ทันทีที่สิ้นเสียง เขาก็จากไปอย่างรวดเร็ว

ถุย!

มุมปากของเยียนอวิ๋นเกอกระตุก จี้หยกที่ถือเอาไว้เหมือนมันเผาที่ร้อนระอุ ถือก็ไม่ใช่ โยนทิ้งก็ไม่ได้

สาวรับใช้ อาเป่ยไร้แววอย่างยิ่ง “คุณหนู จี้หยกนี้งดงามมาก คงมีมูลค่าไม่น้อยนะเจ้าคะ”

เยียนอวิ๋นเกอโยนจี้หยกให้อาเป่ยทันที “เจ้าเก็บจี้หยกเอาไว้”

อาเป่ยอยากร้องไห้ “นี่เป็นเงินมัดจำที่นายน้อยอี้ให้คุณหนู บ่าวถือไว้ไม่เหมาะสมเจ้าค่ะ”

เยียนอวิ๋นเกอส่งเสียงไม่พอใจ “หากเจ้าคิดว่าตนเองถือไว้ไม่เหมาะสมก็มอบให้บัญชี”

นี่ๆ…

“เหมาะสมหรือเจ้าคะ”

“ไม่มีสิ่งใดไม่เหมาะสม”

ในที่สุดก็จัดการได้ เยียนอวิ๋นเกอปรบมืออย่างสบายใจ

นางไม่สนใจเงินมัดจำแม้แต่น้อย

คนอยู่ในเรือนพักของนาง นางไม่เชื่อว่า เซียวอี้จะกล้าหนีหนี้

แต่เซียวอี้ยัดจี้หยงให้นาง ทำให้สัญชาตญาณบอกนางว่าไม่ใช่เรื่องดี

ดังนั้นจึงต้องอยู่ให้ห่างเอาไว้ คนโบราณไม่หลอกข้า

หลังจากเซียวอี้บอกลาเยียนอวิ๋นเกอแล้ว เขาก็มุ่งหน้าสู่จวนท่านอ๋องจงผิงในเมืองหลวง

พื้นที่ศักดินาของบรรดาท่านอ๋องถูกราชสำนักเรียกคืน

มีเพียงจวน พื้นที่และร้านค้าในเมืองหลวงที่ยังหลงเหลือ

ดังนั้นคนทั้งตระกูลของท่านอ๋องตงผิงจึงมีที่ปักหลัก

คนเฝ้าประตูเป็นคนเก่าแก่ของจวนอ๋อง เขากำลังงีบหลับ

หงส์ที่ตกต่ำเทียบไก่ไม่ได้ วันทั่วไปไม่มีผู้ใดมาเยือน คนเฝ้าประตูย่อมเริ่มละเลยขึ้นมา

ทันใดนั้นเมื่อได้ยินเสียงคนเคาะห่วงบนประตูใหญ่ยังคงตั้งตัวไม่ทัน

เสียงนั้นคุ้นหูอย่างมาก เคยต้องได้ยินนับครั้งไม่ถ้วนในแต่ละวัน

แต่นับจากมาเมืองหลวง ห่วงบนประตูก็ไม่เคยดังขึ้นอีกแม้แต่หนเดียว

คนเฝ้าประตูแคะหู หรือว่าจะหูฝาด

ปังๆ…

ไม่ๆ ไม่ได้หูฝาด

มีคนกำลังเคาะห่วงประตูอยู่จริง

“มาแล้วๆ หยุดเคาะได้แล้ว!”

ในที่สุดคนเฝ้าประตูก็ได้ทำหน้าที่ เขาดีใจอย่างมาก

เมื่อเปิดประตูด้านข้างออก ชะโงกหน้าออกไปดู “อ้าก…”

“ร้องอันใดกัน จำข้าไม่ได้หรือ” สีหน้าของเซียวอี้เคร่งขรึม มีบารมีโดยไม่ต้องแสดงความโกรธ

“นายน้อยหก!”

คนเฝ้าประตูหัวเราะขึ้นมาด้วยความดีใจ “นายน้อยหกกลับมาแล้ว! เร็วๆ นายน้อยหกรีบเข้ามา”

คนเฝ้าประตูพลางเชิญคนเข้าจวน พลางส่งคนไปรายงานท่านอ๋องตงผิงองค์ใหม่ เซียวกั้ว

“รายงานท่านอ๋อง นายน้อยหกกลับมาแล้ว”

เซียวอี้ก้าวเข้าประตูจวนท่านอ๋องไป ไม่ต้องให้บ่าวรับใช้นำทาง เพราะเขาคุ้นเคยกับที่นี่

เขาเดินตรงไปยังห้องตำราที่เรือนนอก

“บอกท่านอ๋อง ข้ารอเขาอยู่ในห้องตำรา”

เซียวอี้กลับจวน ทันใดนั้นทุกคนในจวนต่างตกใจ

ท่านอ๋องตงผิงองค์ใหม่ เซียวกั้วทิ้งงานในมือเดินออกไปยังห้องตำราที่เรือนด้านนอกเป็นเวลาแรก

เซียวซวิ้นก็อยากไปพบเซียวอี้ แต่เมื่อเท้าก้าวออกไป เขาก็ชักกลับมา

เขาหดหู่อย่างมาก สีหน้าเศร้าโศก “ข้าไปทำอันใดกัน พวกเขาพี่น้องย่อมมีเรื่องที่ต้องคุย ข้าเข้าไปก็เกะกะสายตาเท่านั้น”

เขาพึมพำด้วยอารมณ์ที่เศร้าสลด

แม้สูญเสียตำแหน่งท่านอ๋องไป แต่เซียวกั้วก็ไม่ได้ปฏิบัติไม่ดีต่อเขา

แต่เขาไม่อาจก้าวผ่านด่านตัวเองได้

แต่ละวันมักใช้สุราบรรเทาความกลัดกลุ้ม

พระชายาฉินถูกจองจำไว้อยู่ในที่แห่งอื่นร่วมกับท่านอ๋องจงผิง เท่ากับจวนท่านอ๋องที่กว้างใหญ่ไม่มีคนสนใจเขา

เซียวกั้วย่อมไม่แทรกแซงเรื่องของเขา

ดังนั้นเขาจึงยิ่งตกต่ำ

เขาหยิบแก้วสุราขึ้นมามึนเมาตนเองต่อไป

ส่วนเซียวอี้ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเขา

ท่านอ๋องตงผิงองค์ใหม่ เซียวกั้วเดินทางไปยังห้องตำราที่เรือนนอกอย่างรีบร้อน “เจ้ากลับมาแล้ว!”

เขาดีใจอย่างมาก

เรื่องที่เซียวอี้ให้คำมั่นสัญญากับเขาในเวลานั้นล้วนบรรลุผล

เขารับสั่งให้บ่าวรับใช้ถอยไป ก่อนจะขอบคุณอย่างจริงจัง “ขอบใจน้องหกที่ช่วยเหลือ”

เซียวอี้พินิจเขา ก่อนจะยิ้มขึ้นเมื่อได้ยิน “เป็นท่านอ๋องแล้ว บารมีก็แตกต่างไป เสียดาย ไม่มีพื้นที่ศักดินา ไม่มีกองกำลัง ไม่มีส่วย”

เซียวกั้วยิ้มเยาะเย้ยตนเอง “สามารถรักษาชีวิตเอาไว้ก็ดีแล้ว เรื่องอื่นไม่กล้าคาดหวัง”

“เหตุใดจึงไม่กล้าคาดหวัง” เซียวอี้ยิ้มอย่างมีนัย

เซียวกั้วคิ้วกระตุก ภายในใจมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี

เขากดเสียงต่ำ “เจ้าไม่ได้คิดจะทำสิ่งใดอีกใช่หรือไม่ ที่นี่คือเมืองหลวง อยู่ใต้ธุลีของโอรสแห่งสวรรค์ ไม่ใช่พื้นที่ศักดินา”

เซียวอี้พูดเสียงเบา “ข้ายังไม่ได้พูดสิ่งใด เหตุใดท่านอ๋องจึงต้องกังวลเช่นนี้”

“เรียกข้าว่าพี่ใหญ่ พวกเราพี่น้องไม่จำเป็นต้องห่างเหิน”

เซียวอี้โบกมือ “คำเรียกไม่สำคัญ ข้าถามท่าน ท่านพอใจหรือไม่ เต็มใจหรือไม่”

เซียวกั้วขมวดคิ้ว คำถามนี้ตอบได้ยาก

“ท่านเพียงพูดความจริงกับข้าก็พอ”

เซียวกั้วกัดฟัน “ย่อมไม่พอใจและไม่เต็มใจ แต่จวนท่านอ๋องในเวลานี้เหมือนเสือที่ถูกถอดเขี้ยว นอกจากชีวิตและเงินทองแล้ว ไม่มีสิ่งใด อีกทั้งองครักษ์จินอู่จับตาเฝ้าดูเหล่าท่านอ๋องอย่างพวกข้าอยู่เสมอ ฮ่องเต้ในวังหลวงไม่เชื่อใจพวกข้า”

เซียวอี้เลิกคิ้วพลันยิ้ม “สถานการณ์ของท่าน ข้าสืบมาแล้วก่อนเดินทางมา กลับมาคราวนี้ ข้าต้องการตัวของคนผู้หนึ่งจากท่าน”

เซียวกั้วฉงน ที่แท้พูดมากมายเพียงนี้ อีกทั้งยังถามเขาว่าพอใจหรือไม่ เต็มใจหรือไม่ ก็เพื่อต้องการตัวของคนผู้หนึ่ง

อยากจะก่นด่าเสียจริง

เขาถาม “เจ้าต้องการผู้ใด”

เซียวอี้พูด “ตามที่ข้ารู้ จี้ซินแสไม่ได้อยู่ข้างกายท่านอ๋อง เวลานี้ เขาอยู่ในจวนหรือไม่”

เซียวกั้วได้ยินจึงโล่งใจ

“ท่านพ่อถูกจองจำ จี้ซินแสยังไม่มีที่ไป ข้าจึงให้เขาอยู่ในจวนอ๋องจัดการงานทั่วไปแทนข้า ไม่ว่าจวนอ๋องจะตกต่ำอย่างไรก็ไม่ขาดเสบียงในส่วนของเขา”

“ยกจี้ซินแสให้ข้าเถิด เขาอยู่ข้างกายท่านช่างเปล่าประโยชน์”

“เจ้าต้องการจี้ซินแสไปทำอันใด”

“ข้าย่อมมีประโยชน์ ท่านไม่ต้องถามให้มาก”

เซียวกั้วลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้า “ได้! ข้าให้คนไปเชิญจี้ซินแสมา”

กว่าจี้ซินแสจะเดินทางมายังต้องใช้เวลา

ภายในใจของเซียวกั้วเหมือนถูกแมวข่วน

เขาอยากรู้ที่เซียวอี้ถามเขาก่อนหน้านี้ว่าพอใจหรือไม่ เต็มใจหรือไม่มีเจตนาอันใดกันแน่

“น้องหก เจ้ามีแผนการอย่างไรกันแน่”

เซียวอี้ยิ้มอย่างกระจ่าง “พี่ใหญ่ไม่ต้องคาดเดา ท่านก็พูดแล้ว องครักษ์จินอู่ไม่ผ่อนคลายการจับตาดูจวนท่านอ๋องอยู่เสมอมา สิ่งที่ท่านต้องทำเพียงหนึ่งเดียวในเวลานี้คือการเป็นท่านอ๋องที่อยู่อย่างสงบ เรื่องอื่นไม่ต้องถาม”

เซียวกั้วไม่เต็มใจ “เจ้าไม่บอกสิ่งใดกับข้าจริงหรือ”

“บอกสิ่งใดกับท่านหรือ เวลานี้ข้าเป็นขุนนางราชสำนัก ทุกสิ่งที่ข้าทำล้วนปฏิบัติตามคำสั่ง” เซียวอี้พูดด้วยท่าทางจริงจัง

เซียวกั้วหัวเราะเสียงเย็น

คำพูดนี้เขาไม่เชื่อแม้แต่น้อย

เขายังคงรู้จักน้องชาย เซียวอี้ดี

ทุกครั้งที่เซียวอี้พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ไม่เป็นความจริงทั้งหมดก็เป็นเรื่องหลอกลวงทั้งหมด

เห็นได้ชัดว่าคำพูดก่อนหน้านี้เป็นเรื่องหลอกลวงทั้งหมด

เขาไม่ซักไซ้อีก

เพราะการซักไซ้ไม่อาจได้ความจริงกลับมา

เวลานี้ บ่าวรับใช้มารายงานว่าจี้ซินแสมาถึงแล้ว

“เชิญจี้ซินแสเข้ามา!”

จี้ซินแสรับรู้ว่านายน้อยหก เซียวอี้กลับจวนท่านอ๋องระหว่างทาง

ทันใดนั้นหัวใจที่เงียบเหงาร้อนลุ่มขึ้นอีกครั้ง

จากความคิดเห็นของเขา ผู้ที่จะกอบกู้จวนอ๋องได้มีเพียงนายน้อยหก เซียวอี้

นายน้อยอื่นล้วนไม่อาจรับหน้าที่นี้

เมื่อท่านอ๋องตงผิงองค์ก่อนถูกจองจอง เขาก็เตรียมตัวกลับไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่บ้านเกิดแล้ว

แต่ท่านอ๋องตงผิงองค์ใหม่ เซียวกั้วรั้งเขาเอาไว้ เขาจึงยอมอยู่รับใช้จวนอ๋องต่อไป

แต่จวนอ๋องในเวลานี้ เฮ้อ ไม่พูดเสียดีกว่า

“ข้าคำนับนายน้อยหก”

เมื่อจี้ซินแสพบกับเซียวอี้ หัวใจของเขาก็ร้อนลุ่ม แต่เขายังคงรักษาท่าทีของกุนซือเอาไว้ ภายนอกแสดงออกอย่างใจเย็นเป็นธรรมชาติ ไม่หยิ่งยโส แต่ก็ไม่ถ่อมตน

เซียวอี้พลางพินิจ พลางถาม “จี้ซินแสเป็นอย่างไรบ้าง คุ้นเคยกับจวนอ๋องแล้วหรือไม่”

จี้ซินแสไม่ตอบ หากแต่ถามกลับ “ไม่รู้นายน้อยหกมีรับสั่งอันใด”

เซียวอี้เลิกคิ้วพลันยิ้ม เล่ห์เหลี่ยมมากนัก เขาชอบ

เขาถามขึ้นอย่างตรงไปตรงมา “ซินแสยอมตามข้าออกจากจวนอ๋องไปเป็นกุนซือของข้าหรือไม่”

“ไม่กล้าเรียกร้อง แต่มันคือความปรารถนาของข้า!” จี้ซินแสโน้มตัวคำนับ

เซียวอี้หัวเราะร่า “จี้ซินแสเกรงใจ! พี่ใหญ่ ข้าจะพาจี้ซินแสออกจากจวน หากวันอื่นข้าว่าง พวกเราค่อยคุยกัน”

“จะไปแล้วหรือ” เซียวกั้วฉงน

นานๆ ทีจะกลับจวน เขาจิบชาไปคำเดียว แม้แต่ข้าวยังไม่ยอมกิน

หากแพร่กระจายออกไป คนอื่นอาจคิดว่าพวกเขาพี่น้องแตกหักกัน

“ข้ามีงานมาก ไม่อาจอยู่ได้นาน หวังว่าพี่ใหญ่จะให้อภัย”

เซียวอี้ยกมือเตรียมขอตัวลา

เซียวกั้วรีบถาม “อย่างน้อยเจ้าต้องบอกข้าว่าเจ้าพักอยู่ที่ใด หากมีเรื่องควรไปหาเจ้าที่ใด”

“ท่านไปในเมือง…”

เซียวอี้บอกที่อยู่ เซียวกั้วรีบจดเอาไว้

เมื่อเขาหันกลับมา เซียวอี้ก็พาจี้ซินแสจากไปด้วยความเร่งรีบแล้ว

เขารีบตามขึ้นไป ส่งคนไปถึงหน้าประตูใหญ่ ไม่ลืมที่จะกำชับ “มีเวลาก็กลับมาเสียบ้าง จวนอ๋องนี้ก็มีส่วนของเจ้าด้วย”

“ขอบคุณพี่ใหญ่! ขอตัว!”