ตอนที่ 149 ในตระกูลมีเหมือง

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 149 ในตระกูลมีเหมือง

เซียวอี้กลับเมืองหลวง

เยียนอวิ๋นเกอพบเขาบนถนนใหญ่

ไม่พบกันเป็นระยะเวลาสองปี เหตุใดจึงรู้สึกอีกฝ่ายดูดียิ่งขึ้น

นำทัพทำสงคราม ปักหลักอยู่ในที่แจ้ง ตากแดดตากฝน ไม่ควรจะอัปลักษณ์ลงหรือ

สิ่งสำคัญคือผิวของเขาไม่ดำลง

เยียนอวิ๋นเกอสงสัยอย่างมาก

เซียวอี้เลิกคิ้ว พลันเข้าใกล้รถม้า ห่างกันเพียงหน้าต่างรถบานหนึ่ง “เจ้าจ้องมองข้าอยู่นาน เจ้ากำลังหลงใหลในความงามของข้าหรือ”

มุมปากของเยียนอวิ๋นเกอกระตุก

ยังคงเป็นกลิ่นอายที่คุ้นเคย ไร้ยางอาย

นางถามขึ้น “มาถึงเมืองหลวงเมื่อใด”

เซียวอี้ยิ้ม “เมื่อคืน!”

เอ๊ะ?

วันนี้ได้พบช่างเป็นเรื่องบังเอิญเสียจริง

เยียนอวิ๋นเกอเริ่มครุ่นคิด หรือจะเป็นความบังเอิญจากฝีมือของคน

เซียวอี้พยักหน้า “เหมือนที่เจ้ากำลังคิด ข้ารู้ว่าเจ้าจะผ่านถนนเส้นนี้ จึงรออยู่ทางนี้โดยเฉพาะ”

เยียนอวิ๋นเกอได้ยินจึงหัวเราะขึ้นมา “เจ้าตั้งใจมารอข้า เจ้ากำลังหลงใหลในความงามของข้าหรือ”

“หากข้าบอกว่าใช่ เจ้ากล้ายอมรับหรือไม่” เซียวอี้ถามกลับ

เยียนอวิ๋นเกอสะอึก

ไม่กล้า ไม่กล้าแม้แต่น้อย!

นางย่อมไม่กล้ายอมรับ

นางกระแอมไอเสียงเบาเพื่อเบี่ยงเบนประเด็น “เจ้ามาหาข้าด้วยเรื่องใด เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าจะรอข้าได้บนถนนเส้นนี้”

เซียวอี้พูดตามตรง “รู้ว่าวันนี้เจ้าจะไปเป็นแขกในจวนองค์ชายสอง ย่อมรู้เส้นทางการเดินทางของเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะกลับจวนหรือไปที่อื่น ถนนเส้นนี้ย่อมเป็นเส้นทางที่เจ้าต้องเดินผ่าน”

“เจ้าสืบการเคลื่อนไหวของข้าชัดเจนเพียงนี้ ข้าอยากรู้เสียจริงว่าเจ้ามาหาข้าด้วยเรื่องใด”

“ว่างหรือไม่ ทานข้าวด้วยกันหน่อย”

เยียนอวิ๋นเกอส่ายหน้าระรัว “กินอิ่มแล้ว ไม่อยากกิน”

ความหมายแฝงคือไม่อยากกินข้าวกับอีกฝ่าย

เซียวอี้หัวเราะ “มาหาเจ้าเพราะอยากยืมที่ของเจ้าสำหรับคนหลายคน”

เยียนอวิ๋นเกอรีบจับใจความสำคัญ “กี่คน”

มุมปากของเซียวอี้กระตุก ไม่ต้องว่องไวเพียงนี้ได้หรือไม่

เขากระแอมไอเสียงเบาเพื่อกลบเกลื่อน พูดกระซิบ “คนมากเกินไป”

เยียนอวิ๋นเกอขมวดคิ้ว “คนมากเกินไป มีกี่คน สิบคนถือว่ามาก ร้อยคนก็ถือว่ามาก พันคนก็ถือว่ามาก”

“ไม่ถึงพันคน!”

พู่!

เยียนอวิ๋นเกอกระอักเลือด

นางชี้เซียวอี้ “เจ้าๆๆ เจ้าคิดจะหาผลประโยชน์จากข้าหรือ ข้าเป็นแค่คนยากจน เจ้ายังจ้องจะมาหาผลประโยชน์จากข้าอีกหรือ จวนท่านอ๋องตงผิงอยู่ในเมืองหลวง เจ้าไปหาพี่ใหญ่ของเจ้าได้”

เกินไปแล้ว!

นางบุกเบิกปลูกเสบียงง่ายหรือ

ไม่ง่ายเอาเสียเลย

เพิ่งมีผลประกอบการก็ถูกเซียวอี้ปล้นชิง ช่างไร้ยางอาย

เซียวอี้พูดอย่างจริงจัง “ข้าจะจ่ายเงิน ไม่กินดื่มเปล่าๆ !”

ฮึ!

เพียงแค่เงินทองก็จะซื้อนางได้หรือ

ล้อเล่นอันใดกัน

“เจ้าให้เงินมากน้อยเพียงใด” เยียนอวิ๋นเกอถามอย่างสนใจ

เซียวอี้เด็ดขาดอย่างมาก “หนึ่งคนเจ้าคิดเท่าใด ข้าก็จะให้เท่านั้น”

เยียนอวิ๋นเกอเบิกตาโต “ไม่ต่อรองราคาหรือ”

เซียวอี้พยักหน้า “ไม่ต่อรองเด็ดขาด”

เยียนอวิ๋นเกอมองเขาด้วยความสงสัย

นางพึมพำ “เจ้ารวยแล้วหรือ เจ้าไปยึดจวนของท่านอ๋องคนใดมาจึงมีเงินมากเพียงนี้ ไม่แม้แต่จะต่อรองราคา”

เซียวอี้ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ “ข้าจะมีเงินไม่ได้หรือ”

ดูถูกคนเสียจริง

เยียนอวิ๋นเกอใช้ดวงตาข้างไหนมองว่าเขายากจนกัน

เยียนอวิ๋นเกอนับนิ้วคิดบัญชีกับเขา “เจ้าฟังนะ ปีนี้อายุเจ้าคงยังไม่ถึงยี่สิบ ออกมาทำงานก็เพียงสามสี่ปี ข้าเดาว่าเจ้าออกจากจวนอ๋องมาตัวเปล่า คงจะไม่มีเงินมากนัก

เจ้าทำงานกับลุงของเจ้ามาระยะหนึ่ง อาจหาเงินได้บ้าง ต่อมาเจ้าทำงานให้ฮ่องเต้จึงได้เงินอีกเล็กน้อย แต่ล้วนนำมาซื้อเสบียงของข้า เจ้านำทัพทำสงครามอยู่ด้านนอกย่อมหาเงินได้ แต่เจ้ายังต้องแบ่งผลประโยชน์ให้ด้านบน อีกทั้งยังต้องให้รางวัลคนด้านล่าง

เงินของเจ้าเองกลับสามารถเลี้ยงคนหนึ่งพันคน อีกทั้งยังไม่ต่อรองราคา นอกจากเจ้ายึดจวนหรือพลิกสุสานของท่านอ๋องใดขึ้นมา แต่ว่าตามที่ข้ารู้ เรื่องยึดจวนเป็นหน้าที่ของกองทัพเหนือ กองทัพใต้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแม้แต่น้อย อย่างนั้นก็เหลือเพียงความเป็นไปได้เดียวก็คือการพลิกสุสาน!”

คิ้วของเซียวอี้กระตุก เขาตำหนิเสียงเบา “พูดจาเหลวไหล! ข้าแซ่เซียว สุสานใหญ่ที่นับได้ล้วนแซ่เซียว ข้าขุดสุสานของตระกูลตนเองได้หรือ”

“แต่เจ้าสามารถขุดสุสานของราชวงศ์ก่อนได้!” เยียนอวิ๋นเกอทำหน้าตาสมเหตุสมผล

เซียวอี้ทำหน้าบึ้ง “เจ้าอย่าสนใจว่าเงินของข้ามาจากที่ใด อย่างไรแล้วก็ไม่ได้มาจากการขุดสุสาน คนของข้าเลี้ยงไว้ในพื้นที่ของเจ้าก่อน ข้าออกเงิน ง่ายดายเพียงนี้”

เฮอะๆ !

เยียนอวิ๋นเกอกลอกตา “นายน้อยอี้ ข้ายังไม่รับปากเจ้าว่าจะยกพื้นที่ให้เจ้าเลี้ยงคน”

เซียวอี้ขมวดคิ้ว “หากเจ้าเลี้ยงคนเหล่านั้นแทนข้า ข้าจะบอกเจ้าว่าที่ใดมีสุสาน ข้าพาเจ้าไปขุดสุสาน”

เยียนอวิ๋นเกอชี้เขา “เจ้าขุด…อุ๊บ…”

นางถลึงตา แต่พูดไม่ออก

เพราะมือของเขาอุดปากของนางเอาไว้

รังแกกันเกินไปแล้ว

เยียนอวิ๋นเกอกำลังจะลงมือ แต่เขากลับส่งเสียง “ชู่” พลันฉวยโอกาสมุดตัวเข้าไปในรถม้า

สาวรับใช้อาเป่ยโกรธจัด “เจ้าลงจากรถ อย่ารังแกคุณหนูของข้า”

ใบหน้าของเซียวอี้เคร่งขรึมอย่างมาก “มีคนมา หากไม่อยากให้คนรู้ว่าคุณหนูของเจ้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับข้าก็อย่าส่งเสียง”

อาเป่ยปิดปากเงียบทันที

เยียนอวิ๋นเกอขมวดคิ้ว แอบมองออกไปยังพ่อค้าหลายคนนอกหน้าต่างรถ แต่ดูจากฝีเท้าที่มีกำลังของพวกเขา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาผ่านการฝึกฝนมา

เยียนอวิ๋นเกอถลึงตามองเซียวอี้ ราวกับกำลังซักถาม ‘ปัญหาที่เจ้าก่อไว้หรือ’

เซียวอี้พูดเสียงเบา “องครักษ์จินอู่!”

เพื่อให้นางได้ยินอย่างชัดเจน เขาเข้าใกล้อย่างมาก

ทันใดนั้นนางรู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหู

เข้าใกล้เกินไป ระยะนี้อันตรายเล็กน้อย

นางดึงตัวออกห่าง

แต่รถม้ามีพื้นที่เพียงเท่านี้ ไม่ว่าจะถอยอย่างไรก็ถอยได้ไม่มาก

นางทำได้เพียงถลึงตาใส่เขาเป็นเชิงบอกให้เขาถอยห่างออกไป

เซียวอี้จับจ้องสถานการณ์นอกรถม้าอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้สนใจปฏิกิริยาของเยียนอวิ๋นเกอ

เมื่อองครักษ์จินอู่ที่แต่งตัวเป็นพ่อค้าจากไป เขาถึงได้หันกลับมา

เขาพูดกับนาง “องครักษ์จินอู่เกณฑ์คนที่มีวิทยายุทธสูงจากในหมู่ราษฎร”

เยียนอวิ๋นเกอสงสัย “องครักษ์จินอู่แต่งกายเป็นพ่อค้าเพราะตามรอยเจ้าหรือ”

เซียวอี้ส่ายหน้า “คงจะไม่ได้ตามรอยข้า เพียงแค่บังเอิญพบเข้า”

เยียนอวิ๋นเกอครุ่นคิด “ระยะนี้เรื่องที่คึกคักที่สุดในราชสำนักย่อมเป็นเรื่องการเรียกคืนพื้นที่ศักดินา แต่ตามการส่งคืนพื้นที่ศักดินาขององค์หญิงเฉิงหยาง เรื่องนี้จึงคืบหน้าได้อย่างราบรื่น เวลานี้เคลื่อนไหวองครักษ์จินอู่เพื่อจับตาดูผู้ใดกัน”

เซียวอี้ยิ้มอย่างมีลับลมคมใน “เจ้าลองทายดู”

เยียนอวิ๋นเกอครุ่นคิด “เหล่าท่านอ๋องที่ถูกตัดแขนขา หรือว่าบรรดาแม่ทัพ”

เซียวอี้ส่ายหน้า “ไม่ใช่ทั้งเหล่าท่านอ๋องและบรรดาแม่ทัพ หากแต่เป็นขุนนางฝ่ายราชการ”

ข้อมูลมีจำกัด เยียนอวิ๋นเกอยังไม่เข้าใจนัก

เซียวอี้พูดเสียงเบา “เจ้าคิดว่าฝ่าบาทจะแตะต้องแค่ราชวงศ์หรือ แต่ว่าแผ่นดินนี้ หากบอกว่าเป็นแผ่นดินของตระกูลเซียว สู้บอกว่าเป็นแผ่นดินของเหล่าตระกูลใหญ่เสียดีกว่า ตระกูลใหญ่คือปัญหาร้ายแรงที่แท้จริง”

เยียนอวิ๋นเกอผงะ “ฝ่าบาทจะทรงแตะต้องตระกูลใหญ่หรือ พระองค์รีบร้อนจนทนไม่ไหวแล้วหรือ ไม่กลัวถูกต่อต้านหรือ ตระกูลใหญ่ไม่ใช่กลุ่มคนไม่เอาไหนอย่างเหล่าท่านอ๋อง ตระกูลใหญ่มีเงิน มีเสบียง มีคนมีความสามารถ มีกองกำลังส่วนตัว อีกทั้งตระกูลใหญ่ทั่วทั้งแผ่นดินกลมเกลียวเป็นหนึ่งเดียว แม่ทัพส่วนใหญ่ก็มีต้นกำเนิดจากตระกูลใหญ่ ฝ่าบาททรงแตะต้องตระกูลใหญ่ ไม่กลัวแผ่นดินล่มสลายหรือ”

เซียวอี้ยิ้มเย้ยหยัน “เรื่องที่เจ้าคิดได้ ฮ่องเต้ในวังหลวงจะทรงคิดไม่ได้หรือ พระองค์กำลังวางแผนล่วงหน้า เพียงแค่เวลามาถึงก็จะทรงลงมือ”

เยียนอวิ๋นเกอส่ายหน้าระรัว “ขุนนางในราชสำนักล้วนปกครองด้วยตระกูลใหญ่ ก่อนที่บัณฑิตตระกูลต่ำต้อยจะเข้าสู่ราชสำนัก ยึดครองตำแหน่งสูง ฝ่าบาททรงแตะต้องตระกูลใหญ่ย่อมเหมือนเล่นกับไฟ”

เซียวอี้จับมือของนางอย่างกะทันหัน

เยียนอวิ๋นเกอสะบัดฝ่ามือตามสัญชาตญาณ

เพียะ!

ใบหน้าของเซียวอี้ถูกฝ่ามือกระทบเข้า

สาวรับใช้ อาเป่ยหลบอยู่ในมุม พยายามทำตัวให้ไม่มีตัวตน

เป็นสาวรับใช้ช่างยากเย็นนัก!

ได้ยินในสิ่งที่ไม่ควรได้ยิน เห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็น ฮือๆๆ จะตายแล้ว!

นางรีบหลับตาลง แสร้งทำเป็นตัวเองไม่อยู่ตรงนี้

เยียนอวิ๋นเกอซักถามด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง “เหตุใดจึงจับมือข้า”

เซียวอี้ก้มหน้ามอง เขากุมมือต่างหาก จับที่ใดกัน

พูดจาเป็นหรือไม่

‘กุม’ กับ ‘จับ’ จะเหมือนกันหรือ

“ยังไม่ปล่อยออกอีก” เยียนอวิ๋นเกอยกมือแสร้งทำเป็นจะตี

เซียวอี้เพิ่งรู้สึกถึงความเจ็บบนใบหน้า เกรงว่าจะทิ้งรอยนิ้วมือทั้งห้าเอาไว้

หญิงสาวผู้นี้ลงมือรุนแรงเหลือเกิน

เขาปล่อยมือของนางออก พูดเหลวไหลด้วยท่าทางจริงจัง “ข้าเพียงแค่อยากดูลายมือให้เจ้า อยากรู้ว่าสมองของเจ้าเป็นอย่างไร”

เหลวไหล!

คำพูดของเขา เยียนอวิ๋นเกอไม่เชื่อแม้แต่คำเดียว

กลอุบายเช่นนี้หลอกเด็กสามขวบยังพอได้

เซียวอี้รู้ว่านางไม่เชื่อ แต่ก็ไม่คิดจะอธิบายว่าเหตุใดจึงกุมมือของนางอย่างกะทันหัน

เขาไม่อาจพูดความจริงว่ามือของตนเองไม่ฟังคำสั่งการ ตอบรับเร็วกว่าสมอง

เมื่อสมองตอบสนอง มือของเขาก็กุมมือของนางไว้แล้ว

เขาก้มหน้ามองมือซ้ายของตนเอง

มือข้างหนึ่งยังมีความคิดของตนเอง เฮอะๆ …

ในสายตายังมีเจ้านายอย่างเขาอยู่หรือไม่

มือซ้ายข้างนี้ ควรให้รางวัล!

เยียนอวิ๋นเกอทำหน้ารังเกียจ “องครักษ์จินอู่จากไปแล้ว เจ้าลงไปบัดนี้”

เซียวอี้พูด “เจ้ายังไม่ตอบรับข้า”

เยียนอวิ๋นเกอกระอักเลือด

“หากข้าไม่ตอบรับเจ้า เจ้าจะทำอย่างไร”

“เจ้าจะตอบรับ เจ้าต้องการหาเงิน หาเงินจากผู้ใดไม่ใช่หา สู้หาเงินจากข้าดีกว่า อย่างไรข้าก็มีเงิน”

คนมั่งคั่ง!

เยียนอวิ๋นเกอลูบคาง “คนของเจ้ากินมากหรือไม่ ต้องกินเนื้อทุกวันใช่หรือไม่”

เซียวอี้พูดอย่างจริงจัง “สามวันกินเนื้อหนหนึ่ง ทุกมื้อกินอิ่ม”

คำว่ากินอิ่มนี้อุดมคติเกินไป

เยียนอวิ๋นเกอคิดบัญชี เรียกราคาสูง “หนึ่งคนเดือนละห้าก้วน”

เงินห้าก้วนเพียงพอให้ครอบครัวที่มีสี่คนใช้ทั้งปี อีกทั้งยังมีเงินเหลือ

“ได้!” เซียวอี้ไม่แม้แต่จะต่อรองราคา เขาตอบรับทันที

สมกับเป็นคนมั่งคั่ง

เยียนอวิ๋นเกอเกิดความสงสัยขึ้นอีกครั้ง เงินของเขามาจากที่ใดกัน

“ขุดสุสานจริงหรือ” นางถามเขาอีกครั้ง

เซียวอี้ยิ้มให้นาง ฟันของเขาขาวมาก “ไม่ได้ขุดสุสาน แต่มีเหมืองให้ขุด”

ที่แท้ก็มีเหมืองในตระกูล!